'ฮุนเซน'รุกหมักยัน'วัดแก้วสิขเรศวร'เป็นของเขมร/'จีบีซี'เหลว!22 กรกฎาคม 2551 กองบรรณาธิการ
"ฮุน เซน" รุกหนักทำหนังสือตอบ "หมัก" เพื่อนรัก ชูแผนที่ฝรั่งเศส-สนธิสัญญา 2450 ยืนกรานพื้นที่บริเวณวัดแก้วสิขเรศวรเป็นของกัมพูชา กินแดนเกือบกิโลเมตร
อ้างศาลโลกตัดสินแล้ว ขณะที่ 2 ฝ่ายเสริมกำลัง เขมรเอาจริงขนรถถัง 8 คันประชิดหันปากกระบอกมาฝั่งไทย ส่วนที่ประชุมร่วมล้มเหลว ถกนาน 8 ชั่วโมงติดข้อกฎหมายถือแผนที่คนละฉบับ "เตีย บัณห์" ยอมรับสุดวิสัยที่จะหาทางออกได้ ต่างฝ่ายยืนกรานไม่ถอนกำลังกลับ อาเซียนติงกัมพูชาฟ้องยูเอ็น ไม่สบายใจที่ถูกทำให้กลายเป็นเวทีระหว่างประเทศการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา วาระพิเศษ ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมอินโดจีน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อเจรจาลดข้อพิพาทบริเวณเขาพระวิหาร ถูกจับตามองอย่างกว้างขวางจากประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน ที่ต้องการให้เรื่องนี้ยุติลงอย่างสันติ
การประชุมในครั้งนี้ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นตัวแทนฝ่ายไทย โดยมี พล.อ.เตีย บัณห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เป็นประธานการประชุมฝ่ายกัมพูชา
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยที่เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ต.ท.นิพนธ์ ศิริวงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายวีรศักดิ์ ฟูตระกูล พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ เสธ.ทหาร พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.นิพัทธ์ ทองเล็ก เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.สุจิตร สิทธิประภา แม่ทัพภาคที่ 2 นายพิษณุ สุวรรณชฏ รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ นายทรงชัย ชัยประดิยุทธ ผู้แทนกองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย นายสุรพล ทัดพิทักษ์กุล ผู้ว่าราชการ จ.สระแก้ว
ทั้งนี้ รอบๆ โรงแรมอินโดจีนมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.สระแก้ว เจ้าหน้าที่สารวัตรทหารบกจากกองกำลังบูรพา และเจ้าหน้าที่ทหารพราน กรมทหารพรานที่ 12-13 โดยมีรถจักรยานยนต์เคลื่อนที่เร็วและรถฮัมวีติดอาวุธปืนลาดตระเวนรักษาความสงบอย่างเข้มงวด
ทันทีที่ พล.อ.เตีย บัณห์ เดินทางถึงโรงแรมเวลา 10.00 น. การหารือก็เปิดฉากขึ้นทันที โดยเป็นการหารือส่วนตัวกับ พล.อ.บูญสร้าง และคณะกรรมการฝ่ายไทยจำนวน 4 คน คือ พล.อ.อนุพงษ์ พล.ท.นิพัทธ์ พล.อ.ทรงกิตติ นายวีรศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายกัมพูชา 4 คน คือ พล.อ.เนียง พาด รมช.กลาโหมกัมพูชา นายลอง วิสาโล รมช.ต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ นายวาร์ กิม ฮอง รมว.อาวุโส/ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฝ่ายกัมพูชา พล.อ.พอล ซาเรือน รอง ผบ.ทหารสูงสุด/เสนาธิการทหารแห่งชาติกองทัพกัมพูชา จนกระทั่งเวลา 13.15 น . ที่ประชุมได้หยุดหารือชั่วคราวเพื่อมารับประทานอาหาร จากนั้นได้ประชุมต่อในเวลา 14.00 น.
สำหรับบรรยากาศการหารือกันนอกรอบนั้น ในช่วงเช้าใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง และในช่วงบ่ายเริ่มประชุมเหลือฝ่ายละ 3 คน ประกอบด้วย พล.อ.บุญสร้าง พล.อ.อนุพงษ์ และนายวีรศักดิ์ ส่วนฝ่ายกัมพูชาคือ พล.อ.เตีย บัณห์ พล.อ.เนียง พาด นายลอง วิสาโล ซึ่งทำให้การประชุมต้องยืดเยื้อออกไปเพราะยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด
รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประประชุมได้มีการหารือโดยได้เสนอในที่ประชุม 3 ประเด็น คือ 1.ห้ามยิง 2.ห้ามเพิ่มกำลังทหารทั้ง 2 ฝ่าย 3.ห้ามนำผลการประชุมไปเป็นประเด็นการเมืองขนอาวุธหนักประชิดชายแดนในขณะที่การเจรจาเป็นไปอย่างเข้มข้นนั้น บริเวณชายแดนบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เส้นทางเข้าสู่เขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด มีรถทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 23 พัน 4 บรรทุกกำลังทหารชุดลายพรางเต็มคันรถกว่า 12 คัน พร้อมลากปืนใหญ่อีกราว 3 กระบอกขึ้นไปยังบนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นการเข้าเสริมกำลังเพิ่มเติมที่เชิงเขาพระวิหาร ร่วมกับทหารจากกองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6) จ.ร้อยเอ็ด, กองกำลังทหารพรานของหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ ที่ได้ทยอยมาตรึงกำลังอยู่ก่อนหน้านี้เต็มบริเวณพื้นที่เชิงเขาพระวิหาร ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุการณ์ฝ่ายกัมพูชาจับกุม 3 คนไทยไปและปล่อยตัวมา
ส่วนฝ่ายทหารกัมพูชามีความเคลื่อนไหวไม่แพ้กัน มีการเสริมกำลัง และนำเอาอาวุธหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปืนอาร์พีจีเข้ามาตรึงกำลังบริเวณชายแดนเขาพระวิหาร เพิ่มเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ยังมีรายงานแจ้งว่า กัมพูชานำรถถัง 8 คันมาเตรียมพร้อมอยู่ที่บ้านโกมุย และบ้านสวายจรุม หมู่บ้านชายแดนด้านหลังเขาพระวิหารฝั่งประเทศกัมพูชา โดยหันปลายกระบอกปืนรถถังเข้ามายังผามออีแดง และบริเวณเชิงเขาพระวิหาร จุดที่ทหารไทยตรึงกำลังอยู่
ขณะที่การประชุมที่โรงแรมอินโดจีนยังไม่มีข้อยุตินั้น อีกด้านหนึ่งที่ประเทศสิงคโปร์ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนได้เรียกร้องให้ประเทศไทยกับกัมพูชาแสดงความอดกลั้นและความระมัดระวังอย่างถึงที่สุดต่อปัญหาการเผชิญหน้าที่แนวพรมแดนของประเทศทั้งสอง พร้อมกับเสนอที่จะยื่นมือเข้าช่วยหาทางออกต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน เผยว่า กัมพูชาได้ชี้แจงว่ากัมพูชาไม่ได้ร้องเรียนหรือขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเข้าแทรกแซงต่อปัญหาข้อพิพาทดินแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร กัมพูชาเพียงแต่แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้คณะมนตรีความมั่นคงทราบเท่านั้น
นายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ กล่าวว่า สถานการณ์ได้บานปลายออกไปอย่างน่าอันตราย กองกำลังจากทั้งสองประเทศได้เผชิญหน้ากันในพื้นที่พิพาทใกล้กับปราสาทพระวิหาร อาเซียนไม่สามารถนิ่งเฉยโดยไม่สูญเสียความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี เขาบอกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศของอาเซียนได้รับคำยืนยันว่า ไทยกับกัมพูชาจะใช้ความอดกลั้นอย่างถึงที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้กันในเรื่องข้อพิพาทพรมแดน
อาเซียนติงกัมพูชา
ที่น่าสนใจคือนายฮัสซัน วิรายุดา รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกัมพูชาที่ทำหนังสือไปถึงยูเอ็น กลายเป็นประเด็นในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้อาเซียนรู้สึกไม่สบายใจ และอาเซียนได้ออกแถลงการณ์ร่วม หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะหาข้อยุติได้ในการเจรจาที่อรัญประเทศ
นายจอร์จ เยียว รมต.ต่างประเทศสิงคโปร์ ในฐานะประธานที่ประชุมฯ ได้อ่านแถลงการณ์ว่า อาเซียนขอให้ไทยและกัมพูชาใช้ความอดกลั้นและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างฉันมิตร และหวังว่าการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา และการหารือในกรอบทวิภาคีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้น ทั้งนี้ อาเซียนพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกทางด้านต่างๆ แก่ไทยและกัมพูชา หากทั้งสองฝ่ายต้องการ
นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า สิ่งที่ประเทศกัมพูชายื่นไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เป็นเพียงการแจ้งให้ทราบ โดยไม่ได้เรียกร้องให้ทำอะไร ซึ่งเราก็ได้อธิบายกับประธานคณะมนตรีความมั่นคงฯ ไปแล้วในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติการระหว่างประเทศโดยทั่วไป ไม่เฉพาะแต่กรณีปราสาทพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชาเท่านั้น หลายๆ ข้อพิพาทระหว่างประเทศก็ไม่ได้ถูกนำเข้าที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพราะมีกลไกในการเจรจากันทั้งในระดับทวิภาคีระหว่างประเทศคู่กรณี
การเจรจา 2 ฝ่ายไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้มีหนังสือลงวันที่ 19 กรกฎาคม ตอบจดหมายของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งลงวันที่ 18 กรกฎาคม โดยมีใจความสำคัญว่า พื้นที่บริเวณวัดแก้วสิขเรศวรนั้น ตาม "แผนที่ผนวก 1" ซึ่งศาลโลกได้ใช้ในการพิจารณาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ถือว่าตั้งอยู่ภายในดินแดนของกัมพูชาในระยะประมาณ 700 เมตรโดยชอบด้วยกฎหมาย แผนที่ผนวก 1 ฉบับนี้ เขียนขึ้นเมื่อปี 2451 อันเป็นผลจากการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยาม ซึ่งตั้งขึ้นตามข้อตกลงปี 2447 และสนธิสัญญาปี 2450 ระหว่างฝรั่งเศสกับสยาม ซึ่งได้รับการยอมรับจากราชอาณาจักรสยาม
จดหมายจากผู้นำของกัมพูชาระบุด้วยว่า ในคำวินิจฉัยของศาลโลกนั้น ศาลโลกได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งถึงความชอบด้วยกฎหมายของแนวเส้นเขตแดนตามแผนที่ผนวก 1 อย่างไรก็ดี ตนมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า ความพยายามร่วมกันของเราทั้งสองจะบรรลุถึงซึ่งทางออกที่น่าพึงพอใจของทั้งสองฝ่ายต่อปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นพลจัตวาเจีย เกียว ผู้บัญชาการทหารในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร เปิดเผยว่า คุน คิม รองผู้บัญชาการทหารบกของกัมพูชาได้ไปตรวจเยี่ยมพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารในวันจันทร์ และได้บอกกับกำลังพลให้มีความอดทน และให้รัฐบาลเป็นผู้แก้ไขปัญหา
ทั้งนี้ คำพิพากษาของศาลโลกที่มีการรับรู้ในฝ่ายไทย คือศาลโลกตัดสินเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา แต่ไม่ได้ตัดสินเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ อีกทั้งแผนที่ที่กัมพูชาใช้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกก็ไม่ได้ผนวกเอาพื้นที่บริเวณวัดแก้วสิขเรศวรเข้าไปด้วย และไทยถือว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย
ยังมีรายงานว่าภาคเอกชนของกัมพูชาส่งอีเมล์กระจายไปถึงกลุ่มเอ็นจีโอทั้งในสหรัฐ สหภาพยุโรป ขอบริจาคอาหารและหยูกยาไปช่วยเหลือทหารเขมรที่ประจำการอยู่บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นการด่วน ในอีเมล์มีการตีพิมพ์ภาพทหารเขมรที่ปราสาทพระวิหารด้วย สรุปผลประชุมไร้ข้อตกลง
ที่โรงแรมอินโดจีน การประชุมย่อย 2 ฝ่ายได้เสร็จสิ้นลงในเวลา 18.30 น. หลังใช้เวลาหารือกันอย่างยาวนานถึง 8 ชั่วโมง ทำให้การประชุมใหญ่ร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายที่เตรียมไว้ต้องยกเลิกไป เนื่องจากเวลาไม่พอ เพราะการประชุมจะต้องยุติก่อนเวลา 20.00 น. ที่จุดผ่านแดนจะปิด ทั้งนี้ สำหรับการแถลงข่าวร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย ได้ใช้ผลการประชุมส่วนตัวมาแถลงข่าวร่วมกัน
พล.อ.บุญสร้างแถลงข่าวถึงผลการประชุมว่า การประชุมวันนี้เป็นเรื่องไม่ง่าย ดังนั้นการประชุมจริงยังไม่เกิด มีแต่การประชุมวงเล็กด้วยบรรยากาศที่ดีตลอด 8 ชม แต่ทั้งนี้ยังติดขัดในข้อกฎหมายที่มีปัญหา จึงต้องให้หน่วยเหนือขึ้นไปตัดสินใจ เราจะนำข้อเสนอแนะที่เหมาะสมให้รัฐบาลนำไปแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม โดยทั้ง 2 ฝ่ายต้องนำผลไปรายงานรัฐบาลในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ที่เราทำได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายคือทั้ง 2 ฝ่ายจะไปสั่งการทหารที่เผชิญหน้าให้อยู่ในความสงบไม่ให้มีเหตุรุนแรง
ด้าน พล.อ.เตีย บัณห์ แถลงว่า การประชุมครั้งนี้เราพยายามทำเต็มที่ ขอย้ำว่าที่ พล.อ.บุญสร้างเรียนมาเป็นสิ่งที่เราทำมา ทุกอย่างถือว่าเป็นสิ่งที่ก้าวหน้าอย่างดี แต่มาขัดต่อกฎหมายบางอย่างจึงทำให้การปฏิบัติเป็นรูปธรรมต้องเอาไว้ก่อน เพราะเรายังปฏิบัติไม่ได้ ตอนนี้จึงได้มาแค่นี้ สิ่งที่เราเข้าใจกันลึกซึ้งคือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าไม่ให้เกิดความรุนแรง แต่สิ่งที่ลดอุณหภูมิแห่งความตึงเครียด ขอเรียนว่ายังไม่มีการลดลง เพราะอย่างที่ทราบคือที่ผ่านมามีอุณหภูมิขึ้นมา ทำให้เราเป็นห่วง เราจึงอยากลดอุณหภูมิคือการเผชิญหน้ากัน แต่ถึงติดอยู่ที่ข้อกฎหมายทำให้ผลงานที่หารือกันก่อนที่ประชุมเป็นทางการ ก็เลยยังเปิดไม่ได้ จึงหารือนอกรอบนี้ก่อนและนำเรื่องนี้ไปอีกสู่ระดับหนึ่ง เป็นสิ่งที่ได้ปฏิบัติมาในวันนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าข้อกฎหมายที่ติดขัดคืออะไร และจะมีการถอนทหารหรือไม่ พล.อ.บุญสร้างตอบว่า ตอนนี้ไม่ทำอะไร เพราะติดข้อกฎหมายซึ่งซับซ้อนมาก เราจึงนำนักกฎหมายของแต่ละคณะมา ส่วนข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคคงต้องไปถามนักกฎหมาย ส่วนทหารจะถอนหรือไม่นั้นตอนนี้จะให้ตรึงกับที่ไว้ก่อน แต่อยู่ในความสงบไม่ให้เกิดความรุนแรง การจะไม่ยิงกัน และไม่มีการเสริมกำลังทั้งอยู่กับที่ไม่ให้ใช้ความรุนแรง และไม่มีการเสริมกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย การหารือไม่ถือว่าล้มเหลว เพราะประชุมมา 8 ชม. ได้อะไรมาเยอะ แต่อาจจะไม่มีข้อสรุปให้รัฐบาล แต่ตอนนี้ต่างคนต่างทราบว่าจุดยืนแต่ละฝ่ายมีอย่างไร และสิ่งที่เป็นรูปธรรมในการเจรจาครั้งนื้คือให้ทุกคนอยู่ในความสงบ และในที่ประชุมไม่ได้นำการที่สมเด็จฮุน เซน ส่งจดหมายไปที่ยูเอ็นมาหารือกัน เพราะตอนนี้พยายามจะลดปัญหาการเผชิญหน้าเป็นหลัก ซึ่งเรายังพูดอะไรไม่ได้ ตั้งใจว่าจะประชุมอีกครั้งหลังจากแต่ละฝ่ายนำประเด็นไปสู่ระดับสูง ซึ่งอาจจะประชุมหลังเลือกตั้ง
พล.อ.เตีย บัณห์ บอกว่า ตอนนี้ถือว่าสุดวิสัยที่เราจะหาทางออกได้ เราก็ต้องไปตามทางที่เราจะไปได้ การประชุมนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ส่วนปัญหาพื้นที่เรามีหน่วยงานที่ดูแลและต้องทำกันทั้ง 2 ฝ่ายว่าเป็นอย่างไรที่ทับซ้อนและไม่ทับซ้อนอย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวทางเจ้าหน้าที่ได้ตัดบทผู้สื่อข่าวที่จะซักถามต่อ โดยอ้างว่า พล.อ.เตีย บัณห์ จะต้องรีบเดินทางกลับก่อนที่ด่านจะปิด
จากนั้น พล.อ.บุญสร้างให้สัมภาษณ์ถึงการติดขัดข้อกฎหมายว่า เราถือแผนที่คนละฉบับ เรื่องพื้นฐานก็มีแค่นั้น ส่วนจะเกี่ยวกับข้อกฎหมายอย่างไรต้องไปถามนายวีระชัย และการประชุมครั้งต่อไปจะเป็นเมื่อไหร่ยังไม่รู้ คงอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งคณะกฎหมายคงประสานงานกัน ส่วนจะสามารถลงเอยกันได้หรือไม่ ถ้าลงเอยกันได้ก็มาประชุม แต่ถ้าลงเอยไม่ได้มาประชุมก็เสียเงินเปล่า
เมื่อถามว่าจะนำรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบอย่างไร ผบ.สส.ตอบว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ทำ เพราะเขาเชี่ยวชาญเรื่องกฎหมาย และเขาจะรู้รายละเอียดเยอะ อย่าไปคิดว่าการประชุมล้มเหลว
ซักว่าที่ประชุมมีการเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาถอนตัวออกจากพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่ พล.อ.บุญสร้างตอบว่า ถ้าการประชุมไม่ลงเอยสิ่งเหล่านี้ก็ออกมาไม่ได้ การประชุมวันนี้เราจะทำเฉพาะในข้อเสนอแนะเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่เสนอแนะจะนำไปสู่รัฐบาล แต่เมื่อกฎหมายไม่ลงตัวก็ยังทำอะไรต่อไม่ได้
พล.อ.บุญสร้างกล่าวถึงแนวโน้มการถอนทหารออกจากพื้นที่ว่า เราคงยอมไม่ได้ เพราะเกี่ยวกับอธิปไตยและดินแดนของประเทศ ขณะนี้ทหารเหนื่อยอยู่และวางกำลังอยู่ มานั่งเจรจาให้ถอนกำลังคงทำไม่ได้ หลังจากนี้จะร่างข้อเจรจาทั้งหมดให้นายกรัฐมนตรีและทีมงานได้พิจารณา และจะมีการนัดหารือในระดับใดเมื่อไหร่ก็ดูว่าจะเป็นระดับกองทัพ รัฐบาลหรือจีบีซี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการหารือเมื่อเวลา 17.00 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้โทรศัพท์เข้ามาสอบถามผลการหารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. โดย ผบ.ทบ.ได้รายงานผลแก่นายกฯ ประมาณ 15 นาที จากนั้น ผบ.ทบ.ได้เรียกแม่ทัพภาคที่ 2 และแม่ทัพภาคที่ 1 มาสั่งการถึงกรณีการตรึงกำลังทหารบริเวณแนวชายแดนที่มีปัญหา โดยได้ย้ำถึงมาตรการให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ ทั้งนี้ ผบ.ทบ.มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด นอกจากนี้ พล.อ.เตีย บัณห์ ได้โทรศัพท์ไปหาสมเด็จฮุน เซน ด้วย
พล.ท.นิพัทธ์ ทองเล็ก เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เปิดเผยว่า ในการเจรจาได้เริ่มตั้งแต่จุดแรก แต่พอถึงข้อสุดท้ายปรากฏว่าไม่สามารถไปต่อได้ เพราะติดขัดข้อกฎหมาย ทั้ง พล.อ.บุญสร้าง และ พล.อ.เตีย บัณห์ จึงโทรศัพท์ไปหานายกฯ 2 ฝ่าย และก็ให้รอการประชุมครั้งหน้าที่น่าจะมีขึ้นหลังวันเลือกตั้งกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถบอกได้ว่าข้อกฎหมายที่ติดขัดคืออะไร เอาเป็นว่าถ้าพูดกฎหมายนี้จะไปเกี่ยวถึงกฎหมายโน้น มีผลต่อข้อนี้ ซึ่งมันก็เริ่มมาตั้งแต่เรื่องเอ็มโอยู
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แม้จะไม่สามารถหาข้อยุติเกี่ยวกับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในกรณีปราสาทพระวิหารได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ปัญหาถูกนำขึ้นสู่โต๊ะเจรจา และทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงและลุกลามต่อไป ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง จึงอยากเอาใจช่วยทุกฝ่ายที่ทำงานในเรื่องนี้ และต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
"ขณะนี้มีการตรึงกำลังทั้ง 2 ฝ่าย เป็นไปอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเตือน ว่าหากกรรมการมรดกโลกไปอนุมัติให้มีการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว ก็จะมีคนเข้าไปในพื้นที่แน่นอน การบริหารจัดการก็จะเกิดการโต้แย้ง ที่ผมเสนอก็อยากให้ทุกอย่างอยู่บนโต๊ะเจรจา โดยยึดหลักว่าพื้นที่ตรงนั้นยังไม่มีการปักปันเขตแดน และไม่ควรมีใครไปทำอะไรส่งผลกระทบกับพื้นที่นั้น และการจัดการร่วมกันก็ต้องไม่กระทบสิทธิ์ซึ่งกันและกัน"
ไม่ยอมรับแถลงการณ์ร่วม
ถามว่า ขณะนี้กัมพูชาเดินหน้ามากกว่าการเจรจาในระดับทวิภาคี แต่มีการร้องเรียนไปยังองค์การสหประชาชาติด้วย กระทรวงการต่างประเทศควรดำเนินการอย่างไร นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ไทยควรเดินหน้าในเชิงรุกอย่างที่ตนเคยเสนอไปตั้งแต่ต้นว่า ไทยไม่ยอมรับในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว และต้องทำความเข้าใจกับคณะกรรมการมรดกโลก โดยไม่ควรเพิกเฉยในเรื่องนี้ เพราะมีหลายประเทศที่สนใจในเรื่องเหล่านี้อยู่ จึงต้องทำความเข้าใจในมุมของเราด้วย เพราะกัมพูชาเดินหน้าในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
"ให้ชาวโลกทราบว่าไม่มีใครรังแกใคร แต่เป็นเรื่องสิทธิและมีการโต้แย้งกันอยู่ ซึ่งเราสามารถพูดคุยและตกลงกันได้ในฐานะเพื่อนบ้านกัน การประชุมอาเซียนไทยก็ต้องแสดงท่าทีว่าเราไม่มีเจตนาละเมิดสิทธิ์ใคร เพียงแต่ไทยต้องรักษาสิทธิ์ของตัวเอง และสนับสนุนแนวทางสันติวิธีเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งไม่มีอะไรดีไปกว่าการนั่งเจรจากัน และถ้ามีโอกาสต้องแสดงข้อคิดเห็นกันว่าตั้งแต่ต้นทำไมเราจึงคิดว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของเรา และทำไมจึงมีการเสนอให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกัน จะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด" นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอัษฎา ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เชื่อว่าไม่มีการเผชิญหน้าเด็ดขาด น่าจะทำความเข้าใจกันได้ ส่วนเรื่องเขตแดนที่ยังไม่มีการตกลงกัน ร้องขอว่าอย่าเข้าไปยุ่ง ขอให้เจ้าหน้าที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนดำเนินการจะได้ลดความขัดแย้งในเรื่องนี้ลง
ส่วนที่นายสมัครออกมาตำหนิคนไทย 3 คนว่าเป็นคนบ้านั้น ดูแล้วไม่เหมาะสมนักในฐานะนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เป็นปัญหาก่อนหน้านี้คือ การยอมรับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่กรุงปารีสนั้น ถือเป็นข้อผิดพลาดทางการทูตของนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เขายังมองว่าการที่กัมพูชาทำหนังสือถึงยูเอ็น แสดงถึงความไม่บริสุทธิ์ใจ แต่ถือว่าเขาใช้วิธีการแจ้งก่อน ส่วนยูเอ็นจะเข้ามาประสานรอยร้าวกับข้อพิพาทนี้หรือไม่นั้น ตนมองว่าคงไม่แน่ เพราะนายฮุน เซน ให้ทูตทำหนังสือแจ้งสมัชชาใหญ่ที่มีสมาชิก 190 ประเทศ คล้ายกับสภาเป็นเพียงการแจ้งให้ทราบเฉยๆ ทำเหมือนหนังสือเวียน ในกรณีนี้ไม่น่าหนักใจ แต่เป็นเหมือนการประจานประเทศไทยของเรา เพื่อเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกประณามไทย เหมือนกรณีที่เวียดนามบุกเขมร
สำหรับการหารือที่โรงแรมอินโดจีน กลุ่มธรรมยาตราหรือกลุ่มคณะกรรมการแห่งชาติกอบกู้รักษาอธิปไตยของชาติด้วยอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย จำนวน 7 คน นำโดยนายสมาน ศรีงาม เลขาธิการกลุ่ม ได้มายื่นหนังสือเรียกร้อง 4 ข้อให้กับ พล.อ.บุญสร้าง โดยมี พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2/ผบ.กกล.บูรพา เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว สำหรับข้อเรียกร้องคือ 1.ให้รุกกลับทางการเมือง 2.รุกทางกฎหมายระหว่างประเทศ โดยยึดถืออนุสัญญากรุงโตเกียว ค.ศ.1941 เพราะสนธิสัญญาสยาม ฝรั่งเศส ค.ศ.1904-1907 ถูกยกเลิกไปแล้วและข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศสเป็นโมฆะ และคำตัดสินของศาลโลกต้องเป็นโมฆะ 3.การรุกทางทหาร 4.การรุกด้วยการเจรจา เป็นการเจรจาไปรุกไป.
อ่านข่าวย้อนหลัง
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=22/Jul/2551&news_id=161383&cat_id=501 นายกฯไร้วุฒิภาวะอารมณ์และอดีตรมว.กต.ทนายหน้าหอของนักธุรกิจการเมืองแม๊วๆ เคยยืนว่า เขมรต้องการปราสาทเขาวิหารเท่านั้น ส่วนดินแดนรอบข้างไม่เกี่ยว....
สองแกนนำพรรคพลังประชาชนยืนยันกับคนไทยว่าจะไม่ให้ประเทศไทยเสียดินแดนแม้แต่หนึ่งตารางนิ้ว วันนี้ประชาชน พวกเราได้รับรู้ว่าสองแกนนำพรรคพลังประชาชน โกหกพกลมอย่างไร้ยางอาย ตลบแตลง ปลิ้นปล้อน พูดดำเป็นขาว มาตลอด.....'ฮุนเซน'รุกหมักยัน'วัดแก้วสิขเรศวร'เป็นของเขมร!