คนที่พูดว่า 4.6 ตร กม เป็น *พื้นที่ทับซ้อน* คือคนเข้าใจผิด และ ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำนี้
จริงๆแล้ว บนบกไม่มีพื้นที่ทับซ้อน มีแต่พื้นที่ต่างอ้างสิทธิ พื้นที่ทับซ้อนมีได้แต่ในน่านน้ำทะเลเท่านั้น
หลักเกณฑ์การแบ่งเขตแดนสากล มี 3 แบบ
1.ถ้าเป็นภูเขาก็ยึดสันปันน้ำ
คือถ้าฝนตก น้ำจะไหลไปที่ต่ำกว่าทั้ง 2 ด้านของยอดเขา จุดนั้นหละ เรียกว่าสันปันน้ำ หลักสากลจะยึดตรงนี้เป็นเขตแดน
เขาปราสาทพระวิหารก็ยึดถือหลักเกณฑ์นี้ ฉนั้น ตามหลักการแบ่งเขตสากล ภูเขาทั้งลูกเป็นของไทย ศาลโลกพิพากษาเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรเท่านั้น(โดยใช้อำนาจอิทธิพล) สรุปคือ เขมรมีกรรมสิทธิ์ในตัวปราสาทพระวิหาร ส่วนพื้นดินเป็นของไทย (ข้อนี้ไม่ต้องมาเถียง ไปอ่านคำแปลคำพิพากษาจะรู้แจ้ง)
2.ถ้าเป็นแม่น้ำก็ยึดร่องน้ำที่ลึกที่สุด
คือ เอาร่องที่ลึกที่สุดของแม่น้ำเป็นเขตแดน เมื่อหน้าแล้งน้ำลด ในแม่น้ำส่วนที่ลึกที่สุดเท่านั้นที่ยังคงจะมีน้ำเหลืออยู่ นั้นหละ ยึดหลักตรงนี้เขตแดน
3.ถ้าเป็นทะเลก็ยึด 200 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง
คือ วัดจากชายฝั่งของประเทศนั้นๆ 200 ไมล์ทะเล เป็นเขตเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ
แต่เนื่องจากประเทศ แต่ละประเทศมักจะอยู่ติดๆกัน เช่น ไทยกับเขมร เมื่อวัดจากฝั่งไทย 200 ไมล์ทะเล จะมีพื้นน้ำทะเลไปทับและซ้อนกับเขมรซึ่งวัดจากชายฝั่งของเขาเช่นกัน ส่วนนี้หละ เขาถึงเรียกว่า * พื้นที่ทับซ้อน *
วิธีการจัดการของพื้นที่ทับซ้อน ส่วนใหญ่มักจะตกลงร่วมกันพัฒนา แบ่งผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน เช่น กรณีทะเลด้านภาคใต้ของไทย กับ มาเลเซีย
ฉนั้น จงระมัดระวังในการใช้คำว่า พื้นที่ทับซ้อน...........ถ้าเราคำนี้มาใช้กับ 4.6 ตร กท ของเขาพระวิหาร นั่นก็เท่ากับเราต้องเอาดินแดนของเราแบ่งครึ่งหนึ่งให้เขมร
ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ เพิ่งเข้าใจคำว่าพื้นที่ทับซ้อน
เรื่องนี้รัฐบาลควรจะต้องเป็นคนรับผิดชอบอย่างไม่ต้องสงสัย
ก็คงต้องดูว่ารัฐบาลจะตอบโต้การกระทำฝ่ายเขมรอย่างไร ถ้ายังปวกเปียกแบบนี้ สงสัยคะแนนเสียงยิ่งหดหายแน่นอน
ส่วนนพเหล่ก็คงลอยนวลตามระเบียบ แม่งเชี้ยเอ้ย