เมื่อตอนเย็น ค่ายผู้จัดการสรุปข่าวออกมา ระบุชื่อไม่ตรงกับทาง พล.อ.อนุพงษ์ นะครับ
พล.อ.อนุพงษ์ ระบุว่าผู้มาแถลงการณ์คือ
นายมาร์ดี เพ็งคาน หัวหน้ากลุ่มอิสลามลังกาสุกะ
ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ ระหว่างปี 2527 - 2530 แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มอื่น ๆ จนต้อง
ยุติการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ ปี 2530
แต่ค่ายผู้จัดการระบุว่า ผู้มาแถลงอ้างว่าเป็นตัวแทน “กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย”
คือ
“นายลุกมาน บินลีมา” สมาชิกพูโลเก่าที่ปักหลักอยู่ในสำนักงานขบวนการพูโล ที่เยอรมนี
ที่กว่า 10 ปีที่ผ่านมา พยายามอ้างเป็นตัวแทน ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ ทุกกลุ่ม
โดยเคลื่อนไหวผ่านเว็บไซต์พูโล เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่างๆ ต่อรัฐบาลไทยมาโดยตลอด จนได้
ฉายาจากผู้ที่คร่ำหวอดในวงการข่าวความมั่นคงว่า “นายหน้าค้าสงคราม”
ที่แย่กว่านั้นคือ พล.อ.เชษฐา ผู้ประสานงานหลักฝ่ายไทย ระบุอะไรไม่ได้สักอย่าง!!! ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เปิดเบื้องลึกและเบื้องหลัง “ปาหี่!?” ดับไฟใต้ทาง “ทีวี 5”โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 กรกฎาคม 2551 16:23 น.
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000084256รายงานจาก…ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
พลันที่ภาพข่าวผลการเจรจาหยุดยิงระหว่าง “พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร” อดีต ผบ.ทบ.และอดีต รมว.กลาโหม
ซึ่งปัจจุบันนั่งเป็นหัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กับ “กลุ่มไต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย” ได้รับการออนแอร์
ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เมื่อช่วงข่าวเที่ยงวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงคนไทยจะรับชมได้เท่านั้น
แต่ยังมีการเผยแพร่ไปทั่วโลกอีกด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาในพื้นที่ชายแดนใต้และใกล้เคียง แทนที่จะเป็นปรากฏการณ์ของความยินดีปรีดาของพี่น้องประชาชน
เนื่องเพราะสถานการณ์ “ไฟใต้” ที่ยังความโหดร้ายและรุนแรงอันปรากฏต่อเนื่องมายาวนาน โดยเฉพาะการโหมไฟใต้ให้ลุกโชน
ในยุคหลังที่เกิดจากความอหังการของ “ระบอบทักษิณ” ซึ่งฝันร้ายต่างๆ เหล่านี้น่าจะถึงกาลยุติลงได้อย่างสันติวิธี จากผลการ
เจรจาที่ปรากฏเป็นภาพและข่าวอย่างฮือฮาในหนนี้
ทว่า กลับกลายเป็นมีคำถามผุดขึ้นในจิตใจผู้คนมากมายเข้ามาแทนที่ พร้อมๆ กับความสงสัยว่าภาพและข่าวที่ปรากฏ
ต่อสายตาประชาชนในครั้งนี้นั้น...มีเป็น ความจริงแค่ไหน?! หรือเป็นเรื่องโจ๊กไส่ไข่?! หรือเป็นเรื่องปาหี่ที่มีการหวังผลการเมือง
ของรัฐบาลชุดนี้?!
ทั้งนี้ เพราะที่ภาพและข่าวที่ปรากฏทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในครานี้ ขาดทั้งน้ำหนักในสถานการณ์ความเป็นจริง
แถมเหตุและผลอันน่าเชื่อถือก็ค่อนข้างอ่อนด้อยในหลายประการ
คนที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของ “กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย” แม้จะไม่บอกชื่อสกุล แต่ผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหว
ของชายแดนใต้ใกล้ชิดจะทราบว่า เขาคือ “นายลุกมาน บินลีมา” ซึ่งเป็นสมาชิกพูโลเก่าที่ปักหลักอยู่ในสำนักงานของบขวนการพูโล
ณ ประเทศเยอรมนี
ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีมานี้ “นายลุกมาน บินลีมา” ได้พยายามอ้างตัวว่าเป็นตัวแทนของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
ในพื้นที่ชายแดนใต้ ทุกกลุ่ม โดยเคลื่อนไหวผ่านเว็บไซต์พูโล เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่างๆ ต่อรัฐบาลไทยมาโดยตลอด จนได้ฉายา
จากผู้ที่คร่ำหวอดในวงการข่าวความมั่นคงว่า “นายหน้าค้าสงคราม”
ดังนั้น การที่มีการอุปโลกน์เอา “นายลุกมาน บินลีมา” มาเป็นตัวแทน “กลุ่มไต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย” เพื่อประกาศ
ให้แนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ “หยุดยิง” ซึ่งหมายถึงการยุติสงครามการก่อความไม่สงบ จึงขาด
น้ำหนักแห่งความเชื่อถือและเชื่อมั่นลงไปไม่น้อย
และนอกจากไม่เชื่อมั่นหรือน่าเชื่อถือแล้ว ยังมีความคลางแคลงใจต่อไปว่า การใช้โอกาสและจังหวะก่อนที่จะมีการปรับ
คณะรัฐมนตรี “สมัคร 1” เกิดขึ้นช่วงหลังวันที่ 28 ก.ค.นี้ เป็นไปเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่?!
โดยเฉพาะในตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นั่งถ่างขาไปควบอยู่ในเวลานี้
โดยข้อเท็จจริงแล้ว การเจรจาระหว่างนายทหารที่ทำงานใต้ดิน กับตัวแทนของขบวนการพูโลเก่า รวมถึงขบวนการเบอร์ซาตู
ที่มี “ดร.วัน กอเดร์” เป็นประธานกลุ่มนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่ พล.อ.กิตติ รัตนฉายา ยังเป็นนั่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 อยู่ โดยมีการเดินทาง
ไปเจรจากันทั้งในประเทศซีเรีย สวีเดน เยอรมนี และอียิปต์
อีกทั้งหลังจากเกิดเหตุราดน้ำมันใส่ไฟใต้ระลอกใหม่ของระบอบทักษิณ ซึ่งเดินหน้าปลุกปั้นความเป็น “รัฐตำรวจ” โดย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เชื่อแบบหัวปักหัวปำในข้อมูลตำรวจ นำไปสู่การกวนอำนาจบริหารราชการในชายแดนใต้ให้ปั่นป่วน
มีการยุบทิ้งหน่วยงานสำคัญอย่างกองกำลังผสมพลเรือนตำรวจทหารที่ 43 (พตท.43) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ (ศอ.บต.) และให้ทหารถอนเข้ากรมกอง แต่ให้ตำรวจออกมาใหญ่รับหน้าที่แทน ซึ่งไฟใต้ระลอกใหม่นี้ถือเอาเหตุการณ์
ปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เป็นจุดเริ่มในต้นปี 2547 นั้น
ท่ามกลางสถานการณ์ไฟใต้ลุกโชนระลอกใหม่นี้ ก็ยังคงมีการเดินทางไปเจรจากันระหว่าง “นายทหารจากกองทัพไทย” กับ
“ตัวแทนขบวนการพูโลเก่า” มาโดยตลอด ซึ่งบุคคลที่มีเป็น “คีย์แมน” ของกองทัพรับหน้าที่เจรจา ได้แก่ พล.อ.นิพัทธ ทองเล็ก
พล.อ.ไวพจน์ ศรีนวล พล.ต.อกนิษย์ หมื่นสวัสดิ์ รวมถึงนายทหารระดับ พล.ต. และ พ.อ. ของกองทัพภาคที่ 4 อีกประมาณ 3-4 นาย
จนกระทั่งเมื่อปี 2550 ได้มีการดึงเอา “ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด” อดีตนายกรัฐมนตีของประเทศมาเลเซีย มาเป็นคนกลาง
มีการนัดประชุมแดนนำของขบวนการพูโลเก่าและขบวนการอื่นๆ ด้วย แต่ได้ยกเว้น “ขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต” และ
“ขบวนการมูจาฮีดินอิสลามปัตตานี” มาร่วมเจรจา
และสุดท้ายผลการเจรจาในครั้งนั้นก็ไม่บรรลุเป้าประสงค์ตามต้องการ เนื่องจากตัวแทนของขบวนการต่างๆ ที่มาร่วมโต๊ะเจรจา
ล้วนเป็นผู้ที่ไม่มีบทบาทในการที่จะสั่งการให้ “แนวร่วม” ที่ก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ให้ยุติการปฏิบัติการลงได้
แต่การเจรจาระหว่างนายทหารกลุ่มหนึ่ง กับคนของขบวนการพูโล และเบอร์ซาตู ก็ยังคงมีการดำเนินการไปโดยตลอด
จนกระทั่งสุดท้ายมีนายทหารระดับ “พล.ท.” นายหนึ่งเป็นหัวหน้าคณะไปเจรจากับสมาชิกของขบวนการพูโลเก่าที่ประเทศเยอรมนี
หลังจากการเสียชีวิตของ “ตวนกูนีรอ ตอกอนีรอ” ประธานขบวนการพูโลเก่า เมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการ “อัดเทป”
เพื่อนำมาออกอากาศแสดงเจตนารมณ์ของ “นายลุกมาน บินลีมา” ที่ตั้งตนเป็นผู้นำกลุ่มใต้ดิน เพื่อยุติการต่อสู้ด้วยกำลังและอาวุธ
ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ปฏิบัติการนี้นอกจากจะเป็นเรื่อง “การเมืองในประเทศไทย” แล้ว ยังเป็นเรื่อง “การเมืองของขบวนการ
พูโลเก่า” ด้วย เนื่องเพราะมีการแย่งชิงตำแหน่งประธานขบวนการพูโลเก่าแทน “ตวนกอบีรอ ตอกอนีรอ” ที่เพิ่งเสียชีวิตไป โดยมีการ
ประชุมและเกิดความขัดแย้งกันในกลุ่มสมาชิกระดับนำ
และเป็นไปได้อีกเช่นกันว่า “นายลุกมาน บินลีมา” ฉวยโอกาสนี้ประกาศตัวเป็นหัวหน้า “กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย”
เพื่อก้าวสู่ตำแหน่งประธานขบวนการพูโลเก่าคนต่อไป
ข้อเท็จจริงอีกหนึ่งเรื่อง คือ กองทัพบก, กองทัพภาคที่ 4, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยข่าวความมั่นคงทุกหน่วย
ต่างมีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ผู้ที่บงการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในเวลานี้นั้น เป็นฝีมือของ “ขบวนการบีอาร์เอ็น
โคออร์ดิเนต”
อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนว่า ใครคือประธานขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตที่แท้จริง รู้แต่เพียงว่า “นายสะแปอิง บาซอ”
อดีตครูใหญ่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ น่าจะประธานขบวนการ มี “นายมะแซ อุเซ็ง” เป็นผู้บัญชาการกองกำลัง
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2547 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ตัวแทนของขบวนการบีอาร์เอ็นไม่เคยออกมาแสดงความคิดเห็น
ไม่เคยยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ไม่ปฏิเสธ และไม่ตอบรับในข้อกล่าวหาว่า เป็นผู้บงการก่อความไม่สงบเพื่อแบ่งแยกดินแดน
และที่สำคัญ “แนวร่วมกลุ่มอาร์เคเค” ในพื้นที่ ต่างไม่ยอมรับแกนนำของขบวนการพูโลเก่าในการ “ชี้นำ” และยังมีการสั่งห้าม
แกนนำขบวนการพูโลเก่า รวมถึงขบวนการพูโลใหม่ในพื้นที่ยุ่งเกี่ยวกับการกระทำของแนวร่วมอาร์เคเคใน พื้นที่อย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้แล้ว การที่ “รัฐบาล” และ “กองทัพ” ไม่ออกมาแถลงข่าวเพื่อชี้ให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศรับทราบถึง “ข่าวดี”
ในเรื่องนี้โดยทันที จึงเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่ารัฐบาลและกองทัพเองก็ยังไม่เชื่อว่า “นายลุกมาน บินลีมา” เป็นผู้ที่มีอำนาจ
ในการสั่งการให้แนวร่วมในพื้นที่ชายแดนใต้หยุดก่อความไม่สงบได้จริง
ดังนั้น การวางเฉยของรัฐบาลและกองทัพต่อเรื่องที่ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร แถลงนั้น ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นจริง รัฐบาลและ
กองทัพก็ไม่เกิดความเสียหาย ซึ่งถือเป็นความเสียหายส่วนตัวของ พล.อ.เชษฐาและคณะเพียงอย่างเดียว
แต่ หากเรื่องที่มีการแถลงข่าวปรากฏเป็นเรื่องจริงขึ้นมา สถานการณ์ไฟใต้มอดดับ ปราศจากเสียงปืน เสียงระเบิด และการ
ตกตายของชีวิตประชาชน นอกจาก พล.อ.เชษฐาจะกลายเป็น “ฮีโร่” ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง “รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม” แล้ว
รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ก็ยังได้รับ “ความชอบ” ไปด้วยอย่างเต็มๆ ที่สามารถยุติสถานการณ์ไฟใต้ที่เลวร้ายได้ในรัฐบาล
ของตนเอง
ทั้งหมดทั้งปวงนี้จะมีคำตอบที่ “สมบูรณ์” จากพื้นที่ชายแดนใต้ได้นั้น สังคมคงต้องรอพิสูจน์กันต่อไปว่าสถานการณ์ความ
ไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส รวมถึงอีก 4 อำเภอของ จ.สงขลา นับแต่นี้ไปจะคลี่คลายไปสู่สันติ
เมื่อถึงเวลานั้น “นายลุกมาน บินลีมา” จึงคือผู้นำ “กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย” ที่แท้จริง และ “พล.อ.เชษฐา
ฐานะจาโร” คือคนที่คนไทยทั้งแผ่นดินต้องให้ความเคารพในฐานะที่เป็นผู้ยุติไฟใต้อันยืดเยือยาวนานลงได้อย่างแท้จริง
แต่ในทางกลับกันแล้ว ถ้าสถานการณ์ไฟใต้ยังคงคุกรุ่นรุนแรงต่อไป นั่นก็หมายถึงภาพและข่าวที่เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์
กองทัพบกช่อง 5 เมื่อช่วงข่าวเที่ยวของวันที่ 17 ก.ค.นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ “ปาหี่” ครั้งใหญ่ที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องจารึกไว้