มติชน วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11083
กฎหมายผิด คนไม่ผิด (ฮา)คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01col02140751&day=2008-07-14§ionid=0116หลังศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง พิพากษาลงโทษนักการเมืองทำผิดกรณีต่างๆ ติดต่อกันเป็นระลอก เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังตามมาแม้บอกว่ายอมรับคำตัดสิน แต่ก็ยังคงแสดงความข้องใจต่อตัวบทกฎหมาย ตั้งแต่รัฐธรรมนูญจนถึงกฎหมายลูกทุกฉบับ กับกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่ากรรมการการเลือกตั้ง กรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ฯ ด้วยสายตาที่มองปัญหาแบบตัดตอน พูดความจริงครึ่งเดียว อยู่เหมือนเดิม คิดว่าต้นเหตุของปัญหา และทำให้ถูกลงโทษเป็นเพราะวรรคท้ายของมาตราโน้นบ้าง มาตรานี้บ้าง ถ้าไม่มีข้อความที่ว่าเสียแล้ว ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา ไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง พรรคไม่ถูกยุบ ทำข้อตกลงระหว่างประเทศใดๆ ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภา ก็ไม่ผิด อะไรทำนองนี้
ถ้าไม่มีกฎหมายเขียนไว้ให้เป็นความผิด ก็จะไม่ผิด แต่เพราะกฎหมายเขียนไว้เลยเป็นความผิด เอาสีข้างเข้าถู แก้ตัวน้ำขุ่นๆ แบบนี้ ก็แน่ซิครับ ถูกวันยังค่ำ ไม่ว่ากรณีอะไรก็ตาม ไม่มีทางผิดไปได้เลย ไม่ได้คิดให้ลึกลงไปถึงต้นตอเลยว่า เพราะพฤติกรรมบิดเบือนรัฐธรรมนูญ แทรกแซงการแต่งตั้งและการปฏิบัติงานขององค์กรตรวจสอบ ใช้อำนาจเงิน และเสียงที่มากกว่าแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์แห่งตนและพวกพ้อง นั่นเอง ถึงทำให้เกิดปัญหา
ครั้นจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ถูกบิดเบือน ทั้งๆ ที่มีจำนวนมือมากมายก็ไม่ยอมเอาด้วย จนเกิดการอภิปรายนัดประวัติศาสตร์ "ส.ส.เป็นทาสในคอก" ของนายเสนาะ เทียนทอง มาแล้ว มาคราวนี้ อ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2550 กลายเป็นปัญหา จะทบทวนกันใหม่ ไม่สนใจว่ารัฐธรรมนูญเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง คณะผู้ร่างสรุปบทเรียนที่ผ่านมาว่าจะเกิดเหตุใช้เงินซื้อเสียง ทุจริตในการเลือกตั้งจึงได้เขียนแนวทางป้องกันไว้ ให้มีโทษทั้งคนและพรรค
ดังความวรรคท้ายมาตรา 237 ที่ว่า ถ้าการกระทำของบุคคลตามวรรคหนึ่ง ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารของพรรคการเมืองผู้ใดมีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้วมิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
และในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองดังกล่าวมีกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันที่มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง ครับ ถ้าไม่มีพฤติกรรมความผิดตามที่กฎหมายเขียนไว้เสียอย่าง การยุบพรรค การตัดสิทธิทางการเมืองก็ไม่มีทางเกิดขึ้น ประเด็นปัญหาจึงไม่ได้เป็นเพราะกฎหมายเขียนห้ามและกำหนดโทษไว้อย่างไร แต่อยู่ที่พฤติกรรมของคนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติกฎหมาย ถูกจับได้ ถูกลงโทษแล้วออกมาโวยวาย กติกาไม่เป็นธรรม กระบวนการรวบรวมหลักฐานไม่เป็นกลาง เรียกร้องให้ลงโทษคน ไม่ให้ลงโทษพรรค อ้างว่า การทำผิดเป็นเรื่องของตัวบุคคลคนนั้น คนอื่นและพรรคไม่ได้ทำผิด ไม่ควรโดนไปด้วย
การที่กฎหมายบัญญติลงโทษพรรคด้วย เจตนารมณ์ก็เพื่อให้พรรคมีความรับผิดชอบ สอดส่อง ควบคุม ดูแลพฤติกรรมของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคไม่ให้ทำผิดกฎหมาย และป้องกันไม่ให้กรรมการบริหารพรรคเป็นนายทุน หนุนหลังให้ผู้สมัครของพรรคทำผิด ถ้าถูกจับได้ก็รับกรรมไปคนเดียว หากจับไม่ได้พรรคก็ได้ประโยชน์เพราะเมื่อชนะเลือกตั้งจำนวนมือ ส.ส.โดยรวมเพิ่มขึ้น พรรคมีอำนาจต่อรองมากขึ้นตามไปด้วย แนวความคิดเกี่ยวกับการยุบพรรคจึงเป็นไปเพื่อให้พรรค เข้มงวดในกฎ ระเบียบของพรรค และเคารพกฎหมาย สอดคล้องกับหลักการตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรค เพื่อส่งเสริมให้พรรคเข้มแข็ง ให้การเมืองมีเสถียรภาพ
แต่พอมีบทบัญญัติให้พรรคทำหน้าที่ของความเป็นพรรค เพื่อความเป็นสถาบันอย่างแท้จริง กลับไม่ยอมรับ ฉะนั้นถ้าจะยกเลิกหลักการ ยุบพรรค ก็ควรจะกลับไปสู่หลักการผู้สมัคร ส.ส.สังกัดพรรคก็ได้ สมัครอิสระก็ได้
แต่ถ้ายังยืนยันหลักการ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค พรรคต้องควบคุมกำกับ ดูแลพฤติกรรมของผู้สมัครด้วย อาจมีข้อโต้แย้งว่า การไม่ยุบพรรคต่างหาก ทำให้พรรคเข้มแข็ง มีอายุยืนยาวต่อไปจนกลายเป็นสถาบัน ถามว่ายืนยาวไปเพื่ออะไร และเพื่อใคร เมื่อเป็นที่รองรับคนทำผิด ไม่มีกลไก มาตรการจัดการกันเองภายใน แถมไม่ยอมให้มีกฎหมายควบคุมภายนอกอีก พรรคจะต่างอะไรไปจากกองโจร นั่นเอง