ขอถามนักเศรษฐศาสตร์ในนี้หน่อยสิ
นโยบายประเทศใหนๆ ก็เห็นมีแต่เพิ่มรายได้ และแน่นอนรายจ่ายก็ต้องเพิ่มตามรายได้อยู่แล้วเพราะของมันก็แพงขึ้น
คำถามก็คือ เหตุใดแต่ละประเทศจึงต้องเพิ่มรายได้ เพิ่มรายจ่ายไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด????
ทำไมไม่ลดค่าแรงลงครึ่งหนึ่งทั่วประเทศไม่ว่าในภาคเอกชน ราชการ หรือผู้ใช้แรงงาน
และลดราคาสินค้าที่จำเป็นลงทั้งหมดลงครึ่งหนึ่ง
สินค้าที่ไม่จำเป็นก็จะกลายเป็นของฟุ่มเฟือย แต่เงินของคนจนที่เดิมมีอยู่ก็กลายเป็นมีค่ามากขึ้น คนจนก็รวยขึ้น (แบบ relative)
คนที่มีเงินมากอยู่แล้วก็ช่างมัน เพราะยังไงมันก็เอาไปกินข้าวไม่ได้หมดอยู่แล้ว (คนรวยไม่ใช่ปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่แล้ว
หรือที่เราต้องเพิ่มทุกอย่างทั้งค่าแรง ค่าของเป็นเพราะจริงๆ แล้วเราถูกดึงจากประเทศอื่นๆ ที่ค้าขายสินค้าฟุ่มเฟือยกับเรา ทำให้เราต้องเพิ่มทุกอย่างให้สูงขึ้นๆ เพื่อให้สามารถซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยจากประเทศอื่น?
หากเราลดค่าแรง และลดค่าสินค้าลงทั้งประเทศพร้อมกันทีเดียวตามสัดส่วน จะเกิดอะไรขึ้นครับ?
การเพิ่มทั้งรายได้และรายจ่าย มีผลต่อ "ดัชนีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ" ในด้าน +
ซึ่งเป็น "เรื่องเอาไปโม้ได้" ของรัฐบาลในระบอบทุนนิยม
การ "่ลดค่าแรงลงครึ่งหนึ่งทั่วประเทศไม่ว่าในภาคเอกชน ราชการ หรือผู้ใช้แรงงาน
และลดราคาสินค้าที่จำเป็นลงทั้งหมดลงครึ่งหนึ่ง"
ในความหมายนี้คือ "การเพิ่มขึ้นของมูลค่าเงิน ( อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราจะสูงขึ้น )"
ซึ่งมีผลให้ "ขายของยาก" เพราะต่างชาติจะเห็นว่า "ข้าวของที่มาจากบ้านเมืองมรึงแพง"
อันเป็นสิ่งที่ "พวกคนรวย - นายทุน" ไม่ชอบ...ขายของยาก - เซ็งลี้ไม่ฮ้อ
แถม "หากขายได้จริง ๆ ก็แลกกลับมาได้เงินนิดเดียว"
เศรษฐกิจแบบทุนนิยมเน้น "พอง ๆ บวม ๆ" แบบทำให้มันดูโต ๆ เข้าไว้ครับ
ไม่ใช่เน้นที่ความ Firm หรือ Rigidity
เพราะทุนนิยม คือ ระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะดังนี้
1. ยอมศิโรราบต่อ "กิเลส ( ไม่มีแต่อยากมี ) + ตัณหา ( มีแล้วแต่ไม่พอ - ไม่รู้จักหยุด )"
2. ยอมรับในหลักเดรัจฉานนิยมเรื่อง "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก"
และ
3. เห็นดีเห็นงามในแง่ "ทำให้เกินพอไว้ก่อน - มีให้เกินพอไว้มาก ๆ" เพราะเชื่อในหลัก "ยิ่งเยอะ - ของยิ่งถูก"
จน
ทำให้เกิดความฉิบหายวายวอดวายทางธรรมชาติ - ทรัพยากร ที่อนุชนคนรุ่นหลังประสบปัญหา ขาดแคลน และเป็นอยู่อย่างยากลำบาก