คุณฮูลิแกนพอมีลูกก็อาจจะเริ่มเปลี่ยนความคิด
ตอนนี้เพียงแค่ปัจจัยมันยังไม่พร้อมให้กิเลสเริ่มทำงาน
เพราะคนเรามีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง
มนุษย์รักตัวเอง กลัวตัวเองตาย กลัวตัวเองไม่สบาย
พอมีลูก ก็จะมองลูกเหมือนกับเป็นการสานต่อชีวิตของตัวเอง
กิเลสมันก็จะเริ่มชักจูงให้เริ่มสะสมเพื่อลูกอีก
เริ่มด้วยการตั้งเป้าว่าจะสะสมเพียง 7 หลัก
พอถึง 7 หลัก กิเลสมันก็จะบอกว่ายังไม่ปลอดภัย เอาเป็น 8 หลักแล้วกัน (เผื่อเงินเฟ้อ)
พอถึง 8 หลัก กิเลสมันก็จะเริ่มหลอกเราอีกว่า 9 หลักชัวร์กว่า
เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เผลอแป๊บเดียว มีเป็นแสนล้าน (แต่เป็นหนี้คนทั้งประเทศ)
ทั้งหมดเป็นเพียงการเอาทรัพยากรในอนาคตมาเปลี่ยนให้เป็นตัวเลขในปัจจุบันเท่านั้นเอง
คนที่ทำก็ทำไปโดยที่ไม่รู้สึกตัว เพราะกิเลสมันครอบงำ
อย่าประมาทครับ ปัจจัยมันยังไม่เกิด กิเลสมันก็ยังไม่เริ่มทำงานหรอกครับ
มันหมักดองเอาไว้รอเกิดเมื่อถึงเวลาปัจจัยครบพร้อม
มีประสบการณ์จากเรื่องราวของคนอื่นมาเยอะเหมือนกันแหละ
ไม่ว่าจะเป็นสามล้อถูกหวย หรือนายสมรักษ์นามสกุลไม่ได้โม้
ต่อให้สะสมไว้เป็นหลายล้าน ถ้าใช้ไม่เป็น หมดได้ในไม่กี่ปี
ต่อให้ผมสะสมให้ลูกหลานมากขนาดหมื่นล้าน ถ้าพวกเขาใช้ไม่เป็น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน
(ไม่ได้ปฏิเสธว่าตัวเองไม่โลภนะ มีเหมือนกันความรู้สึกแบบนี้ แต่ผมเป็นคนไม่เก่งเรื่องการแสวงหาด้วยส่วนหนึ่ง)
ถ้าเมื่อสมัยโบราณ ก็มีส่วนคล้ายกัน กษัตริย์และขุนนางก็มอบตำแหน่งอำนาจผ่านลูกหลานหรือเครือญาติกันทั้งนั้น
แต่ถ้าบริหารอำนาจไม่เป็น อำนาจก็ล่มได้เหมือนกัน
ปล.แต่ตำแหน่งสมัยนั้นมันมีข้อจำกัดแค่คนบางกลุ่ม คือไม่ใช่ใครจะเป็นศักดินากันได้ง่ายๆ
จำกัดว่าคุณต้องรบเก่ง ต้องทำลายข้าศึก(ถ้าเป็นยุคบู๊) หรือไม่ก็แต่งกลอนแต่งนิยายเก่ง(ถ้าเป็นยุคบุ๋น)
แต่ไม่สามารถเอาทรัพยากรณ์ธรรมชาติมาเปลี่ยนเป็นทุน เพื่อยกสถานะของตนเองได้
ดังนั้นถ้าถามว่า ระบบอำนาจศักดินาแบบสมัยก่อน กับอำนาจเงินแบบสมัยนี้ อะไรคุกคามสิทธิมนุษยชน(ทางตรง)มากกว่ากัน
ก็น่าจะเป็นอย่างแรก แต่ถ้าถามว่าอะไรคุกคามทรัพยากรณ์มากกว่ากัน ก็น่าจะเป็นอย่างที่สอง
(ย่อหน้าสุดท้ายนี่นอกเรื่องแล้วอ่ะ)