วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11079
ข้อหา"ขายชาติ"จาก"ทักษิณ"ถึง"นพดล"โดย นงนุช สิงหเดชะ
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act02100751&day=2008-07-10§ionid=0130ในยุคปัจจุบันหรือยุคร่วมสมัย หากจำไม่ผิด ยังไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคนใดของไทย ถูกกล่าวหาว่า "ขายชาติ" หรือถูกชาวบ้านไปดักตะโกนต่อว่า ว่า "ขายชาติ" ยกเว้นบุคคลสองคนคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากขายชินคอร์ปให้เทมาเส็ก จากสิงคโปร์ โดยไม่เสียภาษี และที่สำคัญไปกว่านั้น การขายกิจการดาวเทียมไทยคม ซึ่งเป็นดาวเทียมที่ได้รับพระราชทานนามให้กับต่างชาติอย่างสิงคโปร์ ที่เกรงกันว่าจะสร้างปัญหาทางด้านความมั่นคงต่อไทย
หลังจากยุบสภาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 และกำหนดให้มีการเลือกตั้ง 2 เมษายนปีเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณได้ลงพื้นที่ย่านสีลม หาเสียงช่วยนายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ลงสมัคร ส.ส. (ซึ่งต่อมาสอบตก) ระหว่างเดินหาเสียงนั้นมีแม่ค้าย่านสีลมตะโกนใส่ว่า "ขายชาติ"
หลังจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำสั่งให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะ ตามด้วยการเกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายนปีเดียวกัน ต่อด้วยศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินให้ยุบพรรคไทยรักไทยฐานทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมในปีถัดมา
ล่าสุดกรณีปราสาทพระวิหาร ทำให้นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตทนายความส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกชาวบ้านบุกไปตะโกนด่าในทำนองเดียวกันถึงกระทรวงการต่างประเทศ ขณะที่นายนพดล วิ่งการกุศลร่วมกับทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
ปัญหาปราสาทพระวิหารจะไม่ทำให้นายนพดลถูกกล่าวหาว่าขายชาติ หากได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างโปร่งใส และเปิดเผยตั้งแต่ต้น แต่การงุบงิบเร่งรีบทำโดยไม่ผ่านการขอความเห็นชอบในวงกว้าง จึงทำให้เรื่องนี้บานปลายอย่างมาก
ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณและนายนพดล อาจต้องตั้งคำถามกับตัวเองให้มากว่า เหตุใดจึงถูกประชาชนจำนวนไม่น้อยมองไปในทางที่ไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติ ทำไมข้อหา "ขายชาติ" จึงคล้ายเป็นสิ่งติดตัวของคนทั้งสองชนิดสลัดไม่หลุด ถ้าเป็นภาษาของนักเลงรถเขาจะพูดกันว่า "สลัดไม่พ้นกระจกหลัง" ซึ่งหมายความว่ารถยนต์ของเรานั้นไม่แรงและไม่เร็วพอ จึงไม่อาจวิ่งทิ้งห่างจากรถยนต์คันหลังที่จี้มาติดๆ ได้ มองกระจกหลังทีไรรถยนต์คันนั้นก็ยังอยู่ในรัศมีของกระจกหลัง
นักเลงรถเขาจะหงุดหงิดมาก ที่หากเขาแซงรถคันใดแล้ว ไม่สามารถทิ้งขาดรถคันที่ตัวเองแซงได้ เพราะรู้สึกเสียฟอร์มว่ารถตัวเองไม่แรงพอ ถ้าเป็นภาษาของชาวบ้านหรือในทางศาสนาก็จะพูดกันว่า "หนีไม่พ้นกรรม" ซึ่งแปลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราล้วนเป็นผลจากการกระทำของเรา
โดยปกติคนไทย โดยเฉพาะคนไทยในยุคปัจจุบัน ไม่จัดว่าอยู่ในกลุ่มพวกหัวรุนแรงคลั่งชาติหรือชาตินิยม แต่ไทยเป็นชาติหนึ่งที่เปิดกว้างยอมรับต่างชาติค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ ดังนั้น ไทยจึงเป็นประเทศที่คนหลายเชื้อชาติหลายกลุ่มอยู่ร่วมกันได้อย่างค่อนข้างราบรื่น ดังนั้น เชื่อว่าถ้าไม่ใช่เรื่องที่ "เหลืออด" และไม่มากเกินไปแล้วจะมาปลุกกระแสคลั่งชาติในหมู่คนไทยได้ยาก โดยเฉพาะในยุคที่คนมีการศึกษามากขึ้น ยอมรับความเป็นโลกาภิวัตน์มากขึ้น
การจะนำกรณีปราสาทพระวิหารในขณะนี้ไปเปรียบเทียบกับความชาตินิยมเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว คงเป็นการเปรียบเทียบบนข้อมูลที่ไม่ทันสมัย
ที่จริงความเป็นชาตินิยมนั้น ทุกชาติจำเป็นต้องมีบ้าง การมีมากเกินไปก็ไม่ดีเพราะจะทำให้เราเบียดเบียนรังแกคนอื่น แต่การไม่มีเลยก็เป็นผลเสีย เพราะถ้าเราไม่มีความเป็นชาตินิยมหรือไม่เห็นแก่ชาติเลย เราก็จะทำทุกอย่างโดยเห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงส่วนรวมและคนรุ่นหลัง
ในทางอุดมคตินั้น หลายคนไม่อยากให้โลกนี้มีเขตแดนหรือแบ่งเส้นประเทศกันเลย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นได้ก็ยิ่งดีเพราะจะทำให้คนไม่ขัดแย้งสู้รบกัน แต่ในทางปฏิบัติเราทำได้หรือไม่ เพราะแม้แต่ในสังคมขนาดเล็ก ในชุมชนที่เราอยู่นั้นเรายังต้องมีการออกโฉนดปักปันเขตแดนระหว่างเรากับบ้านข้างๆ เพื่อให้มีความชัดเจนว่าเรามีสิทธิทำอะไรบนที่ดินแปลงนั้นบ้าง
นักวิชาการหัวเสรีสุดขั้วบางคน เขาถึงกับตำหนิว่าความเป็นชาตินิยมเรื่องปราสาทพระวิหาร ทำให้ไทยเสียความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอย่างเขมร ไม่นึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้จากความสัมพันธ์นั้น กล่าวในทำนองว่าไทยต้องเป็นฝ่ายอ่อนข้อเขมรจึงจะถูก โดยกล่าวอ้างถึงพระพุทธเจ้าหลวงว่าในสมัยถูกฝรั่งเศสรุกรานนั้น ไทยได้ใช้นโยบายการทูต การโอนอ่อนให้ฝรั่งเศสจึงรักษาดินแดนส่วนใหญ่ไว้ได้
แต่นักวิชาการคนนั้นคงไม่ทราบว่า เมื่อคราวจำใจยกที่ดินสยามบริเวณฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงกว่า 1 แสนตารางกิโลเมตร ให้ฝรั่งเศสนั้น พระองค์เสียพระทัยอย่างมากถึงกับประชวร
มาในยุคนี้หมดสมัยแล้วที่ประเทศซึ่งมีกำลังทางทหารมากกว่าจะมายึดครองประเทศใดได้ง่ายๆ ดังนั้น นักวิชาการในยุคปัจจุบันที่ยังอ้างพระพุทธเจ้าหลวงที่ทรงยอมเสียดินแดนเมื่อกว่า 100 ปีมาใช้ในกรณีปราสาทพระวิหาร จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าและน่าเสียใจ หากพระพุทธเจ้าหลวงยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ก็คงจะเสียพระทัยอย่างมากอีกคำรบหนึ่ง
จริงอยู่การผูกมิตรกับเพื่อนบ้านเป็นเรื่องดี แต่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นสิ่งสำคัญที่สุดและเป็นหน้าที่หลักของทุกรัฐบาลก็คือปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตัวเองให้ถึงที่สุด แม้ในทางโวหารหรือคำพูดทางการทูตจะพูดกันไว้สวยหรูว่าการเป็นพันธมิตรกับเพื่อนบ้านหรือชาติอื่นเป็นเรื่องดีที่จะส่งผลดีทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน
แต่ในทางปฏิบัติแล้วสิ่งที่ทุกชาติล้วนทำกันคือตัวเองต้องได้ประโยชน์มากที่สุดหรืออย่างน้อยก็ต้องเท่าเทียมไม่เสียเปรียบคู่เจรจานั่นเอง ถามว่ารัฐบาลไทยในยุคนี้รักษาผลประโยชน์ของไทยเพียงพอหรือไม่กรณีปราสาทพระวิหาร
บัดนี้คณะกรรมการมรดกโลกมีมติให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว ถามว่ารัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร
-----------------
แปะแก้คิดถึง ถึงใครบางคน ที่อ้างว่าเป็นกลางเสียเหลือเกิน
ชอบตัดปะ "มติชน" เวลาเชียร์เหลืยม และ เวลาด่า "ฝ่ายตรงข้าม"