ต่อให้คุณนพดลลาออก ก็คงไม่หมดเรื่องหรอกครับ มีข่าวว่าพบลักษณะความผิดอาญาแล้ว
และตามคำพูดของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีเงากระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า
"การดำเนินคดีทางอาญานั้นไม่เกี่ยวกับตำแหน่ง เมื่อใครก็ตามดำเนินความผิดตามกฎหมาย
ความผิดเกิดแล้ว สำเร็จแล้ว หรือเข้าขั้นพยายามกระทำความผิดแล้ว จะอยู่ในตำแหน่ง
หรือไม่อยู่ในตำแหน่งก็ต้องมีความรับผิด"ก็รอดูว่าจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญากันอย่างไรต่อไปนะครับ เรื่องยังไม่หมด -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รมต.ยุติธรรมเงา ปชป. ชี้ขณะนี้พบลักษณะความผิดเข้าข่ายอาญา รมต.ต่างประเทศ แล้วhttp://www.democrat.or.th/viewnews.asp?id_head=9341%20%20&id_main=60&p=0&ca=62&mt=175.92.185.153.216.238.33.205&st=172.102.168.190.167.250.47.2066 ก.ค.51 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีเงากระทรวงยุติธรรม พรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีนายสมัคร สุนทรเวช
นายกรัฐมนตรี วิพากษ์วิจารณ์ในรายกรสนทนาประสาสมัครถึงการทำหน้าที่ของฝ่ายตุลาการว่า ในระบบกระบวนการ
ยุติธรรมบ้านเรา แม้รัฐบาลจะมีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ว่าไม่ได้แปลว่าถูกตรวจสอบจากองค์กรอื่น
ไม่ได้ องค์กรอื่นก็เช่นเดียวกัน หากทำอะไรผิดพลาดก็ต้องถูกตรวจสอบได้
เกี่ยว กับกรณีปราสาทพระวิหารนั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวถึง คำแถลงการณ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ไปดำเนินการนั้น ในตัวของแถลงการณ์เองอาจจะไม่มีผลกระทบทันที แต่ว่าเงื่อนไขหลายอย่างในเอกสารฉบับนี้จะทำให้
เกิดปัญหาในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องการยอมรับแผนที่ของฝรั่งเศส และในประเด็นสำคัญก็คือเอกสารฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือ
สำคัญที่จะถูกใช้ต่อไป ในอนาคตได้ หากไปดูประวัติศาสตร์ จะมีการดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกันนี้เสมอ
นอกจากนี้ รมต.ยุติธรรมเงา พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวยืนยันว่ากรณีปราสาทพระวิหารนั้น ไม่ใช่เรื่องการเมือง
แต่เป็นเรื่องของบ้านเมือง ซึ่งทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายการเมือง หรือประชาชน องค์กรต่าง ๆ ควรมีโอกาส มีสิทธิ์
มีเสียงที่จะมีส่วนร่วมเพื่อการตรวจสอบ เพราะเป็นเรื่องของผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม
“ดังนั้นรัฐบาล โดยเฉพาะท่านนายกฯ อย่านำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นการเมือง ขอให้แยกให้ชัดเจนระหว่าง
ประเด็นการเมือง กับเรื่องของบ้านเมือง โดยเฉพาะในส่วนที่ฝ่ายค้านกำลังดำเนินการนี้ เราดำเนินการในส่วนที่เป็น
ผลประโยชน์ของบ้านเมืองโดยตรง ไม่ใช่เรื่องของการเมือง ซึ่งเราถือว่าเราเป็นตัวแทนของประชาชนกรณีที่ 1 กรณีที่ 2
โดยอำนาจหน้าที่เรามีสิทธิ์ที่จะมีโอกาสที่จะตรวจสอบและชี้แจงทำความเข้าใจ ได้” นายพีระพันธุ์กล่าว
นายพีระพันธุ์กล่าวว่าในเรื่องนี้ ภายหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้ว ทางคณะทำงานฯ ได้ทำการ
ศึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิด พบว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีปราสาทพระวิหาร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์เหมือนจะพยายามแก้ไขปัญหา แต่ขณะเดียวกันพฤติกรรมกลับไม่ได้ส่อไปในทางนั้น
ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเงา จึงได้มอบหมายให้เลขานุการรัฐมนตรีเงา เสนอให้มีการประชุม ครม.เงา
ในสัปดาห์หน้าเพื่อพิจารณาดำเนินคดีอาญากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และบุคคลที่เกี่ยวข้องในความผิด
คดีอาญาในหมวดความมั่นคงของรัฐ มาตรา 119 120 ซึ่งหากภายหลังการประชุมแล้ว มีผลสรุปว่าเข้าลักษณะความผิดดังกล่าว
ก็จะได้ดำเนินการเสนอให้มีการถอดถอนรัฐมนตรีต่อไป
“เรา ตรวจสอบพฤติกรรม พยานหลักฐาน ตั้งแต่ก่อนอภิปรายแล้ว และเราได้พยานหลักฐานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น
จากพฤติกรรมต่าง ๆ หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเบื้องต้นเราเชื่อว่าได้เข้าลักษณะองค์ประกอบความผิดเรียบร้อยแล้ว
ในหมวด ความมั่นคงของรัฐ มาตรา 119 120 แต่เป็นคนละเรื่องกับการถอดถอนรัฐมนตรีนั้นเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ
แต่การดำเนินคดีทางอาญานั้นไม่เกี่ยวกับตำแหน่ง เมื่อใครก็ตามดำเนินความผิดตามกฎหมาย ความผิดเกิดแล้ว สำเร็จแล้ว
หรือเข้าขั้นพยายามกระทำความผิดแล้ว จะอยู่ในตำแหน่ง หรือไม่อยู่ในตำแหน่งก็ต้องมีความรับผิด แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องใหญ่
ความคิดเห็นเหล่านี้ยังจะต้องมีการหารือกันในภาพรวมอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องของบ้านเมือง
หวังว่ารัฐบาลจะไม่นำพวกเรื่องเหล่านี้ไปเป็นประเด็นการเมืองอีก” นายพีระพันธุ์กล่าว
นอกจากนี้ รมต.ยุติธรรมเงา ยังกล่าวอีกด้วยว่า เนื่องจากตนมีความเห็นว่า นโยบายรัฐบาลควรมี 2 ส่วน คือนโยบาย
ของรัฐบาลแต่ละคณะโดยตรง และส่วนที่เป็นนโยบายหลักของประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายทุกรัฐบาลพึงจะต้องสำเหนียกและ
ปฏิบัติตามทุกครั้ง โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติโดยตรง ดังนั้นภายหลังการ
หารือกับคณะทำงานแล้วมีความเห็นตรงกันว่า ในสมัยประชุมสมัยนิติบัญญัติสมัยหน้า จะได้นำเสนอพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแผ่นดิน โดยมีการแก้ไขให้กำหนดชัดเจนว่า สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชนแล้ว
คณะรัฐมนตรีทุกคณะและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวง จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เป้าหมายของ
รัฐบาลทุกสมัยอย่างต่อเนื่อง แยกแยะจากนโยบายของรัฐบาลแต่ละคณะ เพื่อไม่ให้เกิดการดำเนินการที่ขัดแย้งกัน
“กฎหมาย ฉบับนี้มีแต่ผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ได้ไปแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล เพียงแต่บอกว่ารัฐบาลไหน
ที่เข้ามาบริหารประเทศ นอกจากตัวรัฐบาลที่เป็นฝ่ายการเมืองโดยตรง ฝ่ายประจำซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ต้องช่วยกันทำงาน
จะต้องคงนโยบายเดิม และมีการประสานแจ้งกันไว้ทุกรัฐบาลเพื่อความสอดคล้องต่อเนื่อง ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เฉพาะกรณีปราสาท
พระวิหารเท่านั้น ยังมีปัญหาที่เกี่ยวกับชายแดนไทยอีกหลายจุด ฉะนั้นทุกรัฐบาลจะต้องรับรู้ รับทราบและปฏิบัติเป็นแนวเดียวกัน
ไม่ใช่ถึงเวลาผิดพลาดไปแล้ว ก็บอกว่ารัฐบาลนู้นทำ รัฐบาลนี้ทำ ผมมั่นใจว่าใครเป็นนักการเมืองโดยจิตวิญญาณไม่มีใคร
คัดค้านหรอก เพราะว่านี่เป็นประเด็นที่เรียกว่าเป็นปัญหาของบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องของการเมือง” นายพีระพันธุ์กล่าว