ส่วนพรรคฝ่ายค้านก็กำลังเตรียมการฟ้องร้องดำเนินคดีอีกทางหนึ่งครับ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิเคราะห์-'ครม.สมัคร'ชะตาขาด!!ศาลรธน.ฟันธงแถลงร่วมปราสาทพระวิหารขัดรธน. ม.190วันที่ 08 กรกฎาคม 2551 - เวลา 12:05:45 น.
http://www.matichon.co.th/news_title.php?id=2441เป็นอันว่า คณะกรรมการมรดกโลกมีมติให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเรียบร้อย โรงเรียนกัมพูชาแล้ว
เมื่อเช้ามืดวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ตามเวลาในประเทศไทย
ก่อนหน้านี้
นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่า
ถ้า คณะกรรมการมรดกโลก
มีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ แม้จะเฉพาะตัวปราสาท หากคิดว่า เป็นความผิดความรับผิดชอบของตน
ก็พร้อมจะรับผิดชอบตามที่เห็นว่า เหมาะสม '' เรียนตรงๆ ว่าผมไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ แต่ยืนยันทำปกป้องอธิปไตยของประเทศมาโดยตลอด เราต้องกล้ายืนหยัด
บนความถูกต้องและหลักการ เวลาจะพิสูจน์เองว่าเป็นอย่างไร ยอมรับสภาพทุกอย่าง แม้ว่าจะถูกมองไม่น่าเชื่อถือ
เพราะเคยเป็นทนายความอดีตนายกรัฐมนตรี แต่องคุลิมาลไปฆ่าคนตายยังกลับตัวได้ ผมเป็นทนายโดยวิชาชีพ
ไม่ได้ไปทำชั่วร้ายอะไร ก็ให้คำปรึกษาไปตามหน้าที่ พอมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ทำดีที่สุด
ไม่ได้เป็นที่ ปรึกษาแล้ว'' นายนพดลกล่าว
ไม่รู้คำว่า
'พร้อมจะรับผิดชอบตามที่เห็นว่า เหมาะสม'ของนายนพดลหมายถึงอะไร แต่สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งตีความ
ไปเรียบร้อยแล้วว่า นายนพดลน่าจะลาออก
แต่คนที่รู้จักนายนพดลฟันธงว่า ไม่มีทาง!!
เพราะถ้าพิจารณาดูคำพูดดังกล่าวให้ดี นายนพดลได้กำหนดเงื่อนไขไว้ในประโยค
'พร้อมจะรับผิดชอบ'ว่า
'ตามที่เห็นว่า เหมาะสม'ซึ่งสามารถทำให้นายนพดลพลิ้วได้ในภายหลัง
แต่นายนพดลคงไม่สามารถพลิ้วได้ง่ายๆ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายค้านทำท่าขึงขัง เตรียมข้อหาต่างๆไว้เล่นงานนายนพดลไว้เพียบ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องดูด้วยว่า
มีความเสียหายเกิดขึ้นกับประเทศไทยอย่างไรและดูว่า เป็นความรับผิดชอบควรจะเป็นของใคร ไม่ว่า จะเรื่องเกี่ยวกับ
การปกครองหรือกฎหมายอาญา พรรคมอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.กทม. ไปเตรียมการด้านข้อกฎหมายแล้ว
ในเบื้องต้นข้อกล่าวงหาต่อนายนพดลมีความชัดเจนที่สุดเพราะเป็นผู้ไปลงนาม โดยเฉพาะหากปรากฏว่า ข้อเสนอของกัมพูชา
อ้างอิงการไปลงนามของนายนพดกับกัมพูชาในวันที่ 22 พฤษภาคม 2551ก็คงปฏิเสธไม่ได้ ส่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.)
คงต้องมาดูอีกที เพราะการตรวจสอบค่อนข้างยาก เนื่องจากยังไม่เปิดเผยมติ ครม.ที่เกี่ยวข้องเลยว่า ถ้อยคำเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าจับตาเป็นอย่างมากคือ
การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะชี้ขาดว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา
กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นหนังสือสนธิ สัญญามาตรา 190 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ หรือไม่แถลงการณ์ร่วมดังกล่าว จะเป็นหนังสือสัญญาหรือสนธิสัญญาตามมาตรา 190 หรือไม่
ทั้งนี้ต้องเป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ 5 ประเภทคือ
1.หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย
2.หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงพื้นที่ นอกอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย (sovereign rights)
หรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ
3.หนังสือสัญญาที่จะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา
4.หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง
5.หนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
ถ้าเป็นหนังสือสัญญา 5 ประเภทนี้ รัฐธรรมนูญกำหนดขั้นตอนในการทำไว้ 3 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนแรก ก่อนดำเนินการทำสัญญาดังกล่าว คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
และให้ ครม.เสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภา เพื่อขอความเห็นชอบก่อนลงนาม (มาตรา 190 วรรคสาม)
ขั้นตอนที่สอง เมื่อเจรจาเสร็จก่อนจะทำให้สัญญามีผลต้องนำหนังสือสัญญานั้นไปขอความเห็นชอบ จากที่ประชุมร่วมรัฐสภา
และรัฐสภาต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน (วรรคสอง)
ขั้นตอนสุดท้าย เพื่อลงนามในหนังสือสัญญาตามวรรคสองแล้วก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน ครม.ต้องให้ประชาชน
สามารถเข้าถึงรายละเอียดของสัญญา และต้องแก้ไข เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว เหมาะสมและเป็นธรรม
ขั้นตอนนี้ คงมีไว้สำหรับสัญญาเป็นทางการที่ต้องให้สัตยาบัน แต่แม้เป็นสัญญาแบบรวบรัด เช่น เป็น Executive Agreement
ที่ไม่ต้องให้สัตยาบัน ก็คงต้องเปิดเผยและเยียวยาผลกระทบเช่นเดียวกัน
แต่ ปรากฏว่า ก่อนที่คณะรีฐมนตรีจะมีมติเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ให้นายนพดลไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว
ได้มีเสียงทักท้วงและคัดค้านจากทั้งนักวิชาการ ภาคประชาชนและนักกฎหมายว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวน่าจะเป็น
สนธิสัญญาตามมาตรา 190 ต้องทำตามเงื่อนไขตามที่รัฐธรรมนูญ
แต่ ครม.นายสมัครไม่ฟังเสียง และยังเถียงคอเป็นเอ็น
ไปลงนามผูกพันในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ล่า สุดเมื่อเวลาประมาณ 1100 น.วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
แถลงผลการลงมติที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธร รมนุญว่า มีมติด้วยเสียง 8 ต่อ 1 เห็นว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าว
เป็นหนังสือสัญญาหรือสนธิสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสอง ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน
หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้า
รัฐบาลนาย สมัคร มีหิริโอตตัปปะน่าจะต้องลาออกทั้งคณะเพราะการกระทำที่ผ่านมา
เป็นการจงใจใช้ อำนาจของฝ่ายบริหารขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ถ้าไม่จงใจ ก่อนที่จะลงมติให้นายนพดลไปลงนามในแถลงการณ์ฯ เมื่อมีเสียงทักท้วง เพื่อความรอบคอบควรส่งให้องค์กร
ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายพิจารณาก่อน
แต่เมื่อดู
'จิตเดิมแท้' นายสมัครแล้ว คงอ้างว่า ไม่มีกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญบอกให้ ครม.ลาออกทั้งคณะและคง
'ลอยแพ' ตายเดี่ยว
ซึ่งท่าทีของนายสมัครดังกล่าวบวกกับเงื่อนไขที่คณะกรรมการมรดกโลกขึ้น ทะเบียนปราสาทำพระวิหาร อาจเป็นเงื่อนไข
ให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยดึงมวลชนขับไล่นายสมัคร ได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์คงฉวยจังหวะเข้าชื่อกัน 1 ใน 4 ของจำนวน ส.ส.ที่มีอยู่หรือ 120 เสียงเพื่อยื่นต่อ
ประธานวุฒิสภาเพื่อให้ถอดถอน ครม.ทั้งคณะโดยใช้เงื่อนไขว่า
ครม.นายสมัคร มีการกระทำที่ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่
ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย(มาตรา 270)เมื่อรับเรื่องแล้วประธานวุฒิสภาต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เพื่อไต่สวน
ซึ่งสามารถทำได้อย่างรวดเร็วเพราะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นพยานหลัก ฐานที่ชัดเจนว่า มีการกระทำที่ขัดต่อ
บทบัญญัติของรัฐธรรนูญ
สิ่งที่ต้องพิสูจน์คือ เจตนา ว่า ครม.นายสมัคร 'จงใจ'ที่จะกระทำขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้นถ้า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมตืด้วยเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มี อยู่ ชี้มูลว่า
ครม.นายสมัครจงใจใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ป.ป.ช.ต้องส่งสำนวนการไต่สวนให้แก่วุฒิสภา เพื่อให้ลงมติถอดถอน ครม.นายสมัครซึ่งต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 5
ของจำนวนสมาชิกทเท่าที่มีออยู่หรือไม่น่อยกว่า 90 เสียง
ขณะเดียวกัน ครม.นายสมัครต้องพักการทำหน้าที่ จนกว่าวุฒิสภาจะมีมมติถ้าวุฒิสภามีมติให้ถอดถอน ครม.นายนสมัครต้องพ้นจากหน้าที่ แต่ถ้าคะแนนเสียงไม่ถึง 3 ใน 5
ครม.นายสมัครก็สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้
ดูจากปัจจัยแวดล้อมแล้วชะตากรรมรัฐบาลนายสมัคร คงใกล้ถึงจุดสิ้นสุดในไม่ช้านี้