ประเด็นเรื่องปราสาทพระวิหาร เป็นกรณีขัดแย้งระหว่างประเทศ การต่อสู้นั้นทั้งสองประเทศย่อมต้องทำไปเต็มกำลัง สุดความสามารถ และแน่นอนที่อาจจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะ ยากที่จะเสมอกัน
แต่การที่รัฐบาลสมัครภายใต้การบงการของเจ้าของพรรคตัวจริง ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างมีเงื่อนงำ และแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าไม่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติ กลับไปเข้าข้างกัมพูชาจนออกนอกหน้า เปรียบเสมือนมวยล้ม ย่อมได้รับการก่นด่าจากผู้ชม ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
เราจะเสียปราสาทพระวิหารหรือไม่ เป็นประเด็นหนึ่ง แต่การไปต่อสู้แบบยอมล้มมวย เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และคำว่าขายชาติก็ไม่มากเกินไปสำหรับบุคคลกลุ่มนั้น เป็นเหตุเป็นผลโดยแท้
ประเด็นเรื่องนายยงยุทธก็เช่นกัน เป็นการต่อสู้สองฝ่ายระหว่างผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา ย่อมจะต้องสู้กันเต็มกำลัง สู้กันด้วยเหตุและผล แต่มีประเด็นให้น่าคิดว่าเรื่องนี้เหมือนกรณีปราสาทพระวิหารอย่างยิ่ง เพราะฝ่าย กกต.ซึ่งเป็นฝ่ายบ้านเมืองเช่นเดียวกับรัฐบาลไทย กลับมีพฤติกรรมการต่อสู้แบบล้มมวย จะเห็นได้จากการสร้างหลักฐานเท็จเกี่ยวกับพยานในคดี และเมื่อถูกเปิดโปงจับได้ ก็มีการสอบสวนอย่างไม่เต็มใจ อาจจะส่งผลให้คดีพลิกได้
ในกรณีปราสาทพระวิหาร ผู้รับผิดชอบหนีคำว่าขายชาติไม่พ้น กรณียงยุทธ์ผูรับผิดชอบที่ทำหลักฐานเท็จก็หนคำว่าขายตัวไม่ได้เช่นกัน
ในบณธที่ตอบกระทูนี้ กรณีแรกจบสิ้นไปแล้วว่าไทยเราแพ้เพราะมีการขายชาติ และอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ เราจะได้เห็นกันว่าการขายตัวจะทำให้คนไทยแพ้ครั้งที่สองหรือไม่