ขอเอามาลงไว้เป็นที่เก็บข้อมูลนะครับ เพราะเห็นว่าต่อเนื่อง และเป็นมุมมองวิชาการ ที่ไม่ได้มีเรื่องประโยชน์ทับซ้อน
ต่อกรณีนี้ ผมเห็นด้วย (สอดคล้องกับแนวคิด อ.ศรีศักร และอธิบดี วีระชัย (อาจรวมถึง รมต.เตช ด้วย) คือเป็นจุดยืนไทยมาโดยตลอด)
การเมืองเรื่องปราสาทขอม "วสุ โปษยะนันทน์":ฟังแค่ชื่ออาจไม่ค่อยคุ้นหู แต่ถ้าพ่วงท้ายด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะ สถาปนิก กลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร,
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ประธานกรรมาธิการการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยาม, ผู้ช่วยเลขานุการ อิโคโมสไทย (องค์กรเพื่อการอนุรักษ์โบราณสถานและมรดกวัฒนธรรม ซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้กับยูเนสโก), ผู้ชายคนนี้ถือเป็นอีกคนหนึ่งในสถานการณ์เดินหน้าทวงคืนปราสาทขอมของกัมพูชาที่หลายคนอยากตั้งคำถาม
โดยเฉพาะกรณีที่เขาประกาศถอนตัวจากการทำงานร่วมกับกัมพูชาและคณะผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศ ในการทำแผนบริหารจัดการพื้นที่กันชนในเขตไทย เมื่อคราวขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพื่อประท้วงการไม่ยอมรับฟังเหตุผลทางวิชาการของฝ่ายไทย ซึ่งเขาได้ฟันธงถึงเบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องนี้ว่า เป็นการล่าอาณานิคมรูปแบบใหม่ของประเทศมหาอำนาจ
ตอนนั้นทำไมถึงถอนตัว อันนั้นสืบเนื่องมาจากมติของไครสต์เชิร์ช ที่บอกว่าให้เลื่อนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไปเป็นครั้งหน้า ซึ่งก็หมายถึงการประชุมที่ควิเบกที่ผ่านมา แล้วก็ให้ไปทำแผนบริหารจัดการ รวมไปถึงพื้นที่กันชนที่อยู่โดยรอบให้ครบถ้วน ซึ่งก็หมายถึงตรงฝั่งไทยด้วย ทางรัฐบาลกัมพูชาก็เลยมีหนังสือเชิญมาที่กระทรวงการต่างประเทศ ไทยเองก็มอบหมายให้ผมเป็นผู้แทนไปเข้าร่วมในการเป็นผู้เชี่ยวชาญที่จะไปช่วยกัมพูชาทำแผนบริหารจัดการพื้นที่กันชนในเขตไทย อันนี้คือโจทย์ที่เขาว่ามา แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า พื้นที่ที่อยู่ในประเทศไทยมันไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่กันชน แต่มันควรจะต้องเป็นส่วนหนึ่งซึ่งมีคุณค่าในฐานะที่เป็นมรดกโลกด้วย
แต่ว่ากัมพูชาเขาไม่ได้สนใจเลย เพราะว่าเขามุ่งที่จะขอให้ได้เป็นมรดกโลกโดยชื่อเขาอย่างเดียวโดยไม่มีฝ่ายไทยมาเกี่ยวข้อง และคนที่ไม่รับฟังไม่เฉพาะกัมพูชาแต่รวมถึงผู้เชี่ยวชาญชาติอื่นๆ ที่มาร่วมด้วย เพราะฉะนั้นมันก็ป่วยการที่จะทำงานร่วมกัน
แล้วเห็นได้ชัดว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญนั้นก็ไม่ได้มีมุมมองที่จะช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของปราสาทพระวิหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าปราสาทมันจะเป็นของชาติใดก็ตาม เห็นได้ชัดเลยว่าเขามีธงอยู่แล้วว่า เขาต้องการที่จะให้เป็นไปตามที่กัมพูชาต้องการ หรือ... ที่ผมบอกว่ากัมพูชาต้องการนี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วเบื้องหลังเบื้องลึกใครต้องการกันแน่ หรือยูเนสโกต้องการ...อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็ทำให้เราไม่สามารถทำงานกับทีมนั้นได้ ก็เลยต้องประกาศแยกตัว
แสดงว่าในการทำงานระดับนานาชาติอย่างนี้มีวาระซ่อนเร้น ผมทำงานวิชาการมาเกือบ 20 ปี ครั้งนี้เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับลักษณะที่เป็นการทำงานในระดับระหว่างประเทศจริงๆ ทำให้รู้สึกว่าเพื่อที่จะให้ได้อะไรขึ้นมาบางอย่าง อย่างเช่นกรณีนี้ก็คือให้ได้มรดกโลกขึ้นมาอีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งมันจะมีผลประโยชน์ มีเรื่องอะไรต่างๆ อีกมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เพิ่งจะได้เห็นว่าเขามีความพยายามกันจริงๆ จังๆ มีการวางระบบเพื่อจะไปถึงเป้าหมายนั้น
โดยที่แม้ว่าจะเป็นองค์กรด้านวิชาการ แต่ก็สามารถที่จะหลบหลีกความเป็นวิชาการอย่างแท้จริงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ว่านั้นให้ได้ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราต้องทำรายงานข้อโต้แย้งไปที่องค์กรอิโคโมสซึ่งเป็นผู้ประเมินในครั้งนี้ด้วย ในฐานะที่ทั้งกรมศิลปากรและอิโคโมสไทยก็เป็นสมาชิกของอิโคโมส
มองอย่างไรเมื่อปราสาทพระวิหารได้เป็นมรดกโลกแล้วกัมพูชายังทวงคืนปราสาทตาเมือนอีก
ผมมองว่าการใช้ปราสาทหินเข้ามาเป็นเหมือนสัญลักษณ์ให้เกิดการรวมใจให้เป็นหนึ่งเป็นเรื่องที่กัมพูชาเขาใช้มาตั้งแต่อดีตแล้ว ทางฝรั่งเศสเองก็เคยใช้นครวัด มาเป็นจุดหรือหัวใจสำคัญที่ใช้ในการเรียกร้องให้ฝรั่งเศสสามารถดึงเอาดินแดนของกัมพูชาทั้งหมดมาอยู่ในครอบครอง โดยการชูประเด็นว่า นี่คือสัญลักษณ์ของชาติกัมพูชา นี่คือสัญลักษณ์ความเป็นหนึ่งของเขมร เพราะฉะนั้นเขาก็สำเร็จไปตั้งแต่ยุคนั้น ทำให้เขมรรวมกันเป็นหนึ่ง แม้ว่าความเป็นหนึ่งนั้นจะอยู่ภายใต้การดูแลของฝรั่งเศสก็ตาม
ขณะนี้ก็เหมือนกัน เขาพยายามใช้เขาพระวิหาร ซึ่งเป็นบริเวณซึ่งมีความละเอียดอ่อนที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยมาตั้งแต่ก่อนคำตัดสินของศาลโลกและเป็นประเด็นที่เจ้าสีหนุใช้ฟ้องต่อศาลโลกสำเร็จมาครั้งหนึ่งแล้ว มันก็เป็นแผลที่อยู่ในใจของคนทั้งสองชาติ เพราะฉะนั้นการใช้มรดกทางวัฒนธรรมที่มีหน้าตาเป็นปราสาทขอม มันก็เลยเป็นรูปธรรมที่ใช้ได้ง่ายในการที่จะเร้าให้เกิดกระแสความรักชาติหรืออะไรขึ้นมาในหมู่คนกัมพูชา มันก็เลยไม่แปลกที่จะมีการไล่ไปตามโบราณสถานอื่นๆ ที่เลาะตามเขตแดนชายแดน ซึ่งก็อยู่ในรูปแบบที่เป็นศิลปะขอมทั้งสิ้น
ถ้าดูจากข้อมูลทางวิชาการ กรณีปราสาทตาเมือนคิดว่าจะจบลงอย่างไร ต้องดูว่าใช้ข้อมูลทางวิชาการไหนเป็นตัวกำหนดว่าเป็นของใคร มันคงไม่ชัดเจนนัก ต้องไม่ลืมว่าความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมขอม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เส้นเขตแดนปัจจุบัน แต่ว่ามันเข้ามาในประเทศไทยตั้งเยอะ แล้วก็ไม่ได้อยู่แค่บริเวณเทือกเขาพนมดงรักยังมีพื้นที่ต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นการที่จะมองว่าอารยธรรมของขอมจำกัดอยู่เฉพาะในบริเวณที่เป็นประเทศกัมพูชาเท่านั้น อันนี้ในทางวิชาการก็เลยบอกได้ไม่ชัดนัก
หรือถ้าจะอ้างว่า ที่ไหนที่เขมรเคยแผ่อิทธิพลไปถึง ตามที่ฝรั่งเศสเคยใช้อ้างเหมือนกัน ที่บอกว่า...ตรงไหนก็ตามที่มีหลักฐานโบราณวัตถุโบราณสถานของเขมร ให้ยึดถือว่าเป็นดินแดนที่เคยเป็นเขมรทั้งหมด หมายถึงเขมรสามารถอ้างสิทธิเหนือดินแดนนั้นได้ คือถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คงไปได้ค่อนประเทศเลย ซึ่งถ้าอย่างนั้นเราจะไม่สามารถอ้างได้เหรอว่าเราก็เคยมีดินแดนประเทศราชกว้างไกลไปแค่ไหน แล้วเราสามารถทวงคืนได้หมดหรือเปล่า หรือว่าดินแดนที่เป็นชนเผ่าไทยทั้งหลายมีหลักฐานไปถึงสิบสองปันนา เราจะสามารถยึดถือว่านั่นคือประเทศไทยได้ด้วยหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นคำถามที่คำตอบก็คงเห็นพ้องต้องกันว่า...มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น
แต่ดูเหมือนว่ากัมพูชาจะเดินหน้าเต็มที่ คิดว่ารัฐบาลไทยควรดำเนินการอย่างไร ผมคิดว่ามันคงจะต้องมีการประชุมร่วมกันของทุกๆ ฝ่าย ว่าทิศทางของประเทศไทยในเรื่องความสัมพันธ์กับกัมพูชาจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งอันนี้จริงๆ แล้วเป็นความเห็นผมตั้งแต่เดิม แล้วก็สอดคล้องกับที่นายกฮุนเซนได้พูดด้วยว่า เราและกัมพูชายังไงก็มีประเทศอยู่ตรงนี้แหละ ยังไงคงย้ายประเทศหนีกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นในการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างไรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราว่า จะอยู่กันด้วยความอึมครึมมีแรงกดดันซึ่งกันและกันตลอดไป หรือว่าจะสงบโดยการที่เราจะต้องยอมเขาทุกอย่าง หรือจะสงบด้วยการที่จะมีนโยบายอะไรที่จะทำให้มีการได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย อันนี้เป็นสิ่งที่จะต้องมีการสรุปร่วมกันออกมาว่าท่าทีของเราจะเอาอย่างไร และได้ท่าทีที่ชัดเจนแล้ว ทุกฝ่ายจะต้องเป็นเสียงเดียวกันที่จะต้องไปให้ถึงเป้าหมายที่ว่านั้นให้ได้ ซึ่งผมว่าถ้ามันมีท่าทีที่ชัดเจนว่าเราจะเอาอย่างไร การดำเนินการไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก
คิดอย่างไรที่มีการนำประวัติศาสตร์มาปลุกเร้าความรู้สึกชาตินิยม คือผมมองว่า ถ้าในมุมมองที่เรามองเข้าข้างโบราณสถานก็จะเห็นว่ามันดูไม่เป็นธรรม เหมือนกับโบราณสถานหรือมรดกทางวัฒนธรรม ถูกใช้เป็นเครื่องมือ แต่เราเคยมีการตั้งคำถามบ้างหรือเปล่าว่า ก
่อนหน้านี้เราเคยนึกถึงคุณค่าของโบราณสถานมากน้อยแค่ไหน ก่อนที่จะมามีประเด็นว่ามันจะกลายเป็นของใคร นอกจากแค่ว่าไปเที่ยว แล้วก็ไปเดินกันอย่างเต็มที่ มีการไปตั้งตลาด ร้านค้า อันนี้คงไม่ได้มองเฉพาะปราสาทพระวิหาร คงหมายถึงโบราณสถานทุกๆ แห่ง คุณมองเห็นคุณค่าของมันจริงหรือเปล่า หรือว่าไปแล้วก็..เฮ้อ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ดูแล้วก็ไม่ได้เข้าใจ ฝ่ายที่จะต้องให้ความรู้ในเรื่องนี้ได้มีบทบาทให้ข้อมูลอย่างเต็มที่หรือเปล่า ทำให้คนที่มามองเห็นคุณค่า เพื่อที่จะรักษารากเหง้าของตัวเอง ให้รู้ว่าเรามีวัฒนธรรม มีประวัติความเป็นมาของชาติเราอย่างยาวนานอย่างไรเราได้ทำในบทบาทนี้มากน้อยแค่ไหน สำหรับคำถามนี้ถ้าเราตอบได้ว่า อ้อ..เราเห็นคุณค่ามาโดยตลอด เรามีความภูมิใจในมรดกวัฒนธรรมของเรา เรามีความชื่นชม ไม่ว่ามันจะอยู่ตรงไหน แต่ว่าถ้ามันมีความเกี่ยวเนื่องกับอดีตที่ยิ่งใหญ่ของเรา เราก็รู้สึกภาคภูมิใจ แล้วเราดูแลอย่างดีมาตลอด เราทำเพื่อรักษาคุณค่าตรงนั้นมาตลอด ผมว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราก็คงไม่เสียใจ
แต่ที่ผ่านมามันจะไม่เป็นอย่างนั้น? เราเหมือนกับต้องการรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของเรามากกว่ารักษาปราสาท เรานึกถึงตัวตนของเรามากกว่า แล้วก็อย่างที่ว่า จริงๆ แล้วถ้าเราสามารถถอดความรู้สึก ความเป็นตัวตนออกไปได้ อันนี้ผมหมายถึงทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา มองให้เห็นเนื้อแท้ของโบราณสถาน ให้เห็นถึงคุณค่าของมัน จริงๆ สิ่งต่างๆ ที่ผ่านมามันคงไม่เกิดขึ้น กรณีนี้ผมไม่ได้พูดถึงว่ามันอาจจะมีเบื้องหลัง ผลประโยชน์หรืออะไรที่นอกเหนือจากแต่ละฝ่ายของไทยและกัมพูชาเอง ในฝ่ายของต่างชาติเขาก็อยากที่จะเข้ามามีบทบาท อยากที่จะเข้ามากอบโกยผลกำไรจากดินแดนที่ไม่ใช่บ้านเขา อันนี้คงจะเป็นเรื่องการล่าอาณานิคมในยุคปัจจุบันที่มันได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบไป
การที่ยูเนสโกก็ดี ชาติอื่นๆ ก็ดี ทำอะไรก็ได้เพื่อขอให้ได้มามีบทบาทในประเทศนั้นๆ แล้วก็สามารถที่จะเป็นประตูนำไปสู่ผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นหนึ่งทางด้านวิชาการ ทั้งที่บางประเทศไม่เคยมีปราสาทหินเลย แล้วอยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์ปราสาทหิน โดยที่คนกัมพูชาไม่มีสิทธิที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญได้เลย อันนี้ผมก็มองว่าเป็นความน่าเศร้าใจของเจ้าของมรดกที่ไม่สามารถจะปกป้องมรดกของตัวเองไว้ได้ด้วยตัวของตัวเอง
จริงๆ แล้วระหว่างเขมรกับไทย เราไม่ควรจะมาแบ่งแยกกันเลย เพราะเราคือลูกหลานของบรรพชนเดียวกัน น่าจะร่วมมือกันมากกว่า นี่คือสิ่งที่อยากจะฝากเอาไว้ว่าวัฒนธรรมของภูมิภาคของเราคือมรดกร่วมกันของทุกๆ คน
Presentable
ปราสาทพนมรุ้ง
แม้จะทำงานด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม โดยเฉพาะที่เป็นปราสาทหินหลายแห่ง แต่ปราสาทพนมรุ้งเป็นสถานที่ที่คุณวสุบอกว่า มีความประทับใจมากที่สุด เพราะเป็นที่แรกที่ทำให้มีความรู้สึกอยากมาทำงานที่เกี่ยวข้องกับปราสาทหิน
"จะว่าเป็นความงามของตัวปราสาทอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่ เป็นเรื่องของบุคคลที่ผมประทับใจด้วย คือ ดร.สัญชัย หมายมั่น แต่ก่อนท่านเป็นหัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ท่านเป็นอาจารย์พิเศษ ตอนที่ผมเรียนวิชาอนุรักษ์ เป็นคนที่ทำให้ผมรู้ว่าการทำงานด้านสถาปัตย์ ไม่ได้มีเฉพาะการออกแบบอาคารสมัยใหม่ แต่ยังมีงานอนุรักษ์สถาปัตยกรรมโบราณด้วย ก็เลยเป็นจุดแรกที่ได้สัมผัสกับปราสาทหิน และการทำงานด้านอนุรักษ์ก็เลยประทับใจ พอดีช่วงที่ผมเรียนจบ มีการรณรงค์ทวงคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์พอดี ก็เลยอินมาก"
(อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ใน
www.oknation.net/blog/NENA)
Source :
http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/16/news_285172.php