ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
17-04-2024, 01:35
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ระบอบคอมมิวนิสต์โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ระบอบคอมมิวนิสต์โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  (อ่าน 5270 ครั้ง)
wincha
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 123


« เมื่อ: 30-06-2008, 16:42 »

การสร้างคอมมิวนิสต์ขึ้นมาให้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เป็นการสร้างขึ้นมาในอากาศโดยแท้ เป็นการสร้างความกลัวขึ้นมาให้กลัวกันเล่นเท่านั้นเอง

ฉะนั้น การพิจารณาคอมมิวนิสต์ว่า จะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่นั้น จึงไม่ใช่พิจารณาคอมมิวนิสต์ที่สร้างขึ้นมาในอากาศ คอมมิวนิสต์อย่างนั้นตัดทิ้งไปได้ แต่ต้องพิจารณาคอมมิวนิสต์ที่มีอยู่จริงๆ คือ พคท.

ตามทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ์-ลัทธิเลนิน ไม่มีกำหนดว่าให้พรรคคอมมิวนิสต์ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ทุกพรรคก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่า ประมุขของประเทศคอมมิวนิสต์จะเป็นพระมหากษัตริย์หรือไม่ใช่พระมหากษัตริย์

เมื่อ พ.ศ.2490 นายประพันธ์ วีรศักดิ์ โฆษกของพรรคคอมมิวนิตส์แห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์เป็นลายลักษณ์อักษรตีพิมพ์ในนิตยสาร 'มหาชน' ซึ่งเป็นออแกนของ พคท. เกี่ยวกับปัญหาพระมหากษัตริย์ไว้ว่า 'พคท.เป็นพรรคที่ยึดติดมติมหาชนต้องการพระมหากษัตริย์ พคท.ก็จะปฏิบัติตามมติมหาชนนั้น'


ต่อมามีกรรมการกรมการเมืองของ พคท. คนหนึ่งกล่าวว่า 'ถ้าระบบสังคมนิยมของประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเขาจะดีใจอย่างที่สุด'

เหล่านี้แสดงว่า พรรคคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะคือ พคท. ไม่ได้กำหนดไว้แน่นอนว่า ระบอบคอมมิวนิสต์ของเขาจะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศหรือไม่

อย่างไรก็ดี ความมุ่งหมายของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นดังที่คาร์ลมาร์กซ์ เขียนไว้ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ว่า ชาวคอมมิวนิสต์ไม่ต้องการจะปกปิดอำพรางทรรศนะและความมุ่งหมายของตน เขาประกาศอย่างเปิดเผยว่า ความมุ่งหมายของเขาจะบรรลุได้ ก็แต่โดยใช้กำลังโค่นระบบสังคมที่ดำรงอยู่เสียทั้งหมดเท่านั้น

พูดให้ชัดยิ่งขึ้นก็คือ ใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธโค่นระบบการปกครองที่ดำรงอยู่และสร้างระบบเผด็จการชนกรรมาชีพขึ้นแทน (สำหรับประเทศไทยโดยผ่านทางการเข้านำการปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชาติ และใช้ระบอบเผด็จการชนกรรมาชีพล้มล้างระบบเสรีนิยม และสร้างระบบสังคมนิยมขึ้นแทน นี่คือความมุ่งหมายของ พคท.)

ในการปฏิบัติให้บรรลุความมุ่งหมายเช่นนี้ แม้ว่า พคท.จะไม่มีความมุ่งหมายเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ และแม้ว่าผู้นำของ พคท. ยินดีจะให้พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศไทยสังคมนิยมก็ตาม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2008, 16:52 โดย wincha » บันทึกการเข้า

"ความดีของมนุษย์จะสิ้นสุดลงเมื่อมาเป็นนักการเมือง" อริสโตเติ้ล
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #1 เมื่อ: 30-06-2008, 16:45 »

ชักน่าสนใจซะแล้วสำหรับทฟษฎีใหม่นี้ คริ คริ 
บันทึกการเข้า
wincha
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 123


« ตอบ #2 เมื่อ: 30-06-2008, 16:50 »

จึงเห็นได้ว่าตั้งแต่ก่อนยุคสุโขทัยลงมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งยุครัตนโกสินทร์ ขบวนการเผด็จการเป็นขบวนการที่ส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด

ครั้นมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์ทางสังคมของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป ขบวนการเผด็จการกลายเป็นขบวนการที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน และเกิดขบวนการที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนขึ้นแทนนั่นคือ 'ขบวนการประชาธิปไตย'

การที่ขบวนการเผด็จการไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนนั้น ย่อมส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่สอดคล้องกับความต้องการประเทศชาติและประชาชนไปด้วย และการที่ขบวนการประชาธิปไตยจะส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงนั้นไม่สามารถจะทำได้ด้วยการส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์

แต่จะทำได้ด้วยวิธีการเดียวคือเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ (สถาบันพระมหากษัตริย์รัฐธรรมนูญ) และส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์นั้น

ฉะนั้นในยุคสมัยที่สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป โดยทางที่ทำให้ขบวนการเผด็จการไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนแล้วนั้น การที่ขบวนการประชาธิปไตยต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ จึงเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์

แต่ขบวนการเผด็จการเห็นว่า นั่นเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาต้องการจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้ต่อไป โดยเข้าใจผิดว่า นั่นคือการรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเขามองไม่เห็นว่าขบวนการเผด็จการ และสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนต่อไปแล้ว

พระมหากษัตริย์ไทยทรงมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมจึงทรงปฏิเสธขบวนการเผด็จการ และทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตยตั้งแต่สภาวการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นต้นมา ดังเช่นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำขบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยอันไพศาล ทำการปฏิรูปประชาธิปไตย (Democratic refrom) อย่างมโหฬาร ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตย (Democratic revolution) ในขั้นตอนสุดท้าย

ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นซึ่งพระราชประสงค์ส่วนหนึ่งก็คือ จะเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์นั่นเอง และนั่นคือวิธีการรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง

รัชกาลที่ 6 ทรงทำการปฏิรูปประชาธิปไตยต่อไป ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตยในที่สุดเช่นกัน และด้วยเหตุนี้เมื่อคณะ ร.ศ.130 ดำเนินการเพื่อปฏิวัติประชาธิปไตยจึงไม่ทรงเอาโทษในข้อหาว่าคิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย แต่เอาโทษเฉพาะในข้อหาว่า จะประทุษร้ายองค์พระประมุขเท่านั้น และเอาโทษสถานเบาเมื่อเปรียบเทียบกับข้อหาอันเป็นอันอุกฉกรรจ์ยิ่ง ซึ่งตามปกติต้องตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรทีเดียว

รัชกาลที่ 7 ทรงทำการปฏิวัติประชาธิปไตยด้วยพระองค์เอง โดยทรงช่วยเหลือสนับสนุนคณะราษฎรอย่างเต็มที่ และเมื่อคณะราษฎรจะเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการก็ทรงคัดค้านเต็มที่เช่นกันเมื่อคัดค้านไม่ไหวก็ทรงสละราชสมบัติและทรงฝากหัวใจของระบอบประชาธิปไตยไว้กับประชาชนว่า 'ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ผู้ใด คณะใด เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร์' ซึ่งจารึกอยู่ ณ ฐานพระราชอนุสาวรีย์หน้ารัฐสภา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน มีพระราชดำรัสในท่ามกลางกระแสเรียกร้องรัฐธรรมนูญอันไหลเชี่ยวในกรณี 14 ตุลาคม แก่รัฐมนตรีชุดนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อวันเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่วันที่ 16 ตุลาคม 2516 ว่า 'ต้องทำหน้าที่เพื่อบรรลุตามจุดประสงค์ให้สภาพการปกครองเข้าสู่สภาพปกติ ให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสภาพของประเทศ พระมหากษัตริย์ไทยทรงดำเนินการเพื่อประชาธิปไตยอันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตลอดมาจนถึงระบอบเผด็จการในปัจจุบัน'

พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตอบคณะเจ้านายและขุนนางตอนหนึ่งว่า 'เราขอให้ท่านทั้งปวงเข้าใจว่า เราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งต้องบีบคั้นให้หันลงมาทางกลางเหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินในยุโรป ซึ่งมีมาในพงศาวดาร และเพราะความเห็นความรู้ซึ่งเราได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินมาถึง 18 ปี ได้พบเห็น และได้เคยทุกข์ร้อนในการหนักการแรง การเผด็จการ ร้อนของบ้านเมือง ซึ่งมีอำนาจจะมากดขี่ประการใดทั้งได้ยินข่าวคราวจากเมืองอื่นๆ ซึ่งมีเนืองๆ มิได้ขาด แลการซึ่งเราได้ขวนขวายตะเกียกตะกายอยู่ในการที่เปลี่ยนแปลงมาแต่ก่อนจะมีเหตุบ่อยๆ ซึ่งเป็นพยานของเราที่จะยกขึ้นชี้ได้ว่า เราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเหมือนอย่างคางคกตกอยู่ในกะลาครอบที่จะพึงทรมานให้สิ้นทิฏฐิถือว่าตัวโตนั้นด้วยอย่างหนึ่งอย่างใดเลย'

และพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสนอต่อรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรตอนหนึ่งว่า 'ข้าพเจ้าเองได้เล็งเห็นอยู่นานแล้วว่า เมื่อประเทศสยามได้มีการศึกษาเจริญขึ้นมากแล้วประชาชนคงจะประสงค์ที่จะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองของบ้านเมืองเป็นแบบนี้ และตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รับสืบราชสมบัติจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ข้าพเจ้าก็ได้คิดการที่จะบันดาลให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้ และได้กล่าวถึงความประสงค์นั้นโดยเปิดเผยหลายครั้งหลายหน โดยเหตุนี้เมื่อคณะผู้ก่อการฯ ร้องขอให้ข้าพเจ้าเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าจึงรับรองได้ทันทีโดยไม่มีข้อข้องใจอย่างใดเลย'

ข้อเท็จจริงซึ่งยกมาเพียงเล็กน้อยนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนไป พระมหากษัตริย์ไทยมิได้อยู่ในขบวนการเผด็จการ แต่ทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นขบวนการที่มีความเห็นว่า ในสภาวการณ์เช่นนี้สถาบันพระมหากษัตริย์จะมีความมั่นคงได้ ต้องเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ และประเทศชาติต้องมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ขบวนการเผด็จการในอดีตสมัยเท่านั้นสอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงไป แม้ขบวนการเผด็จการนั้นก็ไม่สอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ ซึ่งจะสอดคล้องก็แต่กับขบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น ใช่ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์จะสอดคล้องกับขบวนการเผด็จการก็หาไม่

ในปัจจุบันประเทศไทยครอบงำอยู่ด้วยขบวนการเผด็จการซึ่งยังคงรักษาระบอบเผด็จการไว้ เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา ระบอบเผด็จการรัฐประหารบ้าง จึงไม่สอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์

ที่มา http://www.matichon.co.th/news_title.php?id=2062
บันทึกการเข้า

"ความดีของมนุษย์จะสิ้นสุดลงเมื่อมาเป็นนักการเมือง" อริสโตเติ้ล
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #3 เมื่อ: 30-06-2008, 16:52 »

เจ้าที่ดิน หรือศักดินา ล้วนมาจากกษัตริย์ครับ

แนวทางของ คาร์ล มาร์ก ล้มศักดินา จึงเป็นแนวทางที่คู่ขนานกันชัดเจน

แต่แนวทางนี้อาจจะเป็นแนวใหม่ที่ใช้ได้ก็เป็นไปได้
บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #4 เมื่อ: 30-06-2008, 17:02 »

เอ๊ะ...ช้าก่อน  ระบอบคอมฯนี่เค้าห้ามสะสมเงินเป็นแสนๆล้านนี่นา ทำไงดีหล่ะ...ยึดเป็นของรัฐให้หมด!?! 
บันทึกการเข้า
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #5 เมื่อ: 30-06-2008, 17:08 »

เอ๊ะ...ช้าก่อน  ระบอบคอมฯนี่เค้าห้ามสะสมเงินเป็นแสนๆล้านนี่นา ทำไงดีหล่ะ...ยึดเป็นของรัฐให้หมด!?! 

ปตท ต้องเป็นของรัฐด้วยนิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2008, 17:14 โดย Post-modern ++++ » บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #6 เมื่อ: 30-06-2008, 17:16 »

ปตท ต้องเป็นของรัฐด้วยนิ


แน่นอน...ราคาน้ำมันจะได้แพงสะท้อนความจริงสักทีว่าหากไร้กลไกการแทรกแซงราคาน้ำมันจากภาครัฐแล้ว คนไทยต้องจ่ายราคาค่าน้ำมันแพงขึ้นอย่างไร
บันทึกการเข้า
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #7 เมื่อ: 30-06-2008, 17:19 »


แน่นอน...ราคาน้ำมันจะได้แพงสะท้อนความจริงสักทีว่าหากไร้กลไกการแทรกแซงราคาน้ำมันจากภาครัฐแล้ว คนไทยต้องจ่ายราคาค่าน้ำมันแพงขึ้นอย่างไร

ราคามันจะได้ ไม่ต้องไปแบ่งให้ ตัวเหรี้ย 5-6ตัวที่นอนกินไงละ

บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
E-pen
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 102


« ตอบ #8 เมื่อ: 30-06-2008, 17:29 »

อ้างถึง
ราคามันจะได้ ไม่ต้องไปแบ่งให้ ตัวเหรี้ย 5-6ตัวที่นอนกินไงละ

ตัวเหรี้ย 5-6 ตัวนี่พวกตระกูลโกงจนชิน กินเป็นกิจวัตรหรือเปล่า ?? 

หรือตัวเหรี้ยหน้าเหลี่ยม ๆ สายพันธ์ใหม่แห่งระบอบโกงทุกอณู มุดรูน้องเลียดิ๊ 
บันทึกการเข้า
บักหัวเถิก
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 438



« ตอบ #9 เมื่อ: 30-06-2008, 17:43 »

ย๊าก.....เพราะมัวแต่หลงงมงายประชาธิปไตยตามฝาหลั่งกลัวมันไม่ยอมรับ ขนาดปฎิวัติคราวก่อน


แหมด่าแทบตายประเทศเสียหายงั้นงี้..............แล้วทีมันโกงนะไม่เคยเสียหาย
บันทึกการเข้า

อิรวันชาห์ IrWanSyah
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 870



« ตอบ #10 เมื่อ: 30-06-2008, 19:32 »

พม่ากับปากีสถานยังชิดซ้าย 
บันทึกการเข้า

fineday
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 54


« ตอบ #11 เมื่อ: 30-06-2008, 20:15 »


เพื่อนๆคิดว่า "สิ่งสำคัญสูงสุด" ของ ประชาธิปไตยคืออะไร ?

เราคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตยคือ "การตรวจสอบถ่วงดุล" (มี ย์ ไหมเอ่ย?)
ที่ผ่านมา ประชาธิปไตยไทยเป็นง่อย เพราะการตรวจสอบถ่วงดุลล้มเหลว -- สส.ฝักถั่วเป็นตัวอย่างที่หนึ่ง สว.ยุคสุชินเป็นตัวอย่างที่สอง
ตราบใดที่ การตรวจสอบถ่วงดุล ไร้ประสิทธิภาพ --- "เสียงข้างมาก" ก็ไม่ใช่ "ความถูกต้อง"
และเสียงข้างมากที่ไร้การตรวจสอบถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพนี้ --- ไม่อาจเรียกได้เลยว่าเป็น ประชาธิปไตย

เราไม่เคย ยอมรับคนที่มีความเชื่อว่า "ใครเลือกกู กู(จึงจะ)ดูแล" เป็น "นักประชาธิปไตย"


รอดูกัน... สังคมใหม่จะเป็นอย่างไร
เชื่อว่า ไม่ใช่คอมมิวนิสต์แบบจีนหรือโซเวียตแน่นอน

โดยส่วนตัวแล้วเรามีความคิดคล้ายคุณ -- ตัวอักษรท้ายๆ  qzyz ง่ะ 
หมดศรัทธากับการเลือกตั้งโดยสิ้นเยื่อขาดใยตั้งแต่ปลายสมัยแม้ว๒

การเมืองการปกครอง --- ระบอบ - ตามตัวอักษร มันจะเรียกว่าอะไร ไม่สำคัญ
ตราบใดที่ "มีธรรม" นำหน้า --- สังคมก็อยู่ได้
หรือใครจะเถียง??? 

บันทึกการเข้า
คนไทยคนหนึ่ง
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 744


« ตอบ #12 เมื่อ: 30-06-2008, 20:33 »

สิ่งที่บนเวทีพันธมิตร ยกขึ้นมาพูดเป็นแนวทางเกี่ยวกับประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

 วาทะธรรมทางการเมือง ของท่านพุทธทาสภิกขุ
ประชาธิปไตย ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนเป็นใหญ่นั้นมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ประชาชนเห็นแก่ตัว โดยประชาชน ของประชาชน เพื่อประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด

ระบบประชาธิปไตย มันเป็นระบบครองโลกหรือเกี่ยวถึงกันไปหมดทั้งโลก ถ้าว่าระบบนี้มันมืดมิดแล้วก็ ทั้งโลกมันจะมืดมิด แล้วมันก็กำลังมืดมิดเพราะว่าความเป็นประชาธิปไตยมันไม่ค่อยจะมี

ทางประชาธิปไตยนั่นฟ้าสางอย่างไร พูดสั้น ๆ ก็ว่า คือการทำให้ศีลธรรมกลับมาเป็นรากฐานของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยนี้มันดีต่อเมื่อมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ถ้าไม่มีศีลธรรมเป็นรากฐานมันก็เป็นประชาธิปไตยโกง

ประชาธิปไตยโกงนั่นมันร้ายกาจอย่างไร คือประชาชนทั้งหลายไม่มีศีลธรรม แต่ถือระบบประชาธิปไตย มันก็มีโอกาสที่จะใช้กิเลสของตนอย่างเสรี แต่ละคน ๆ มีเสรีภาพที่จะใช้กิเลสของตนอย่างเต็มที่ แล้วจะทนไหวหรือ ในเมื่อทุกคนใช้กิเลสของตนอย่างเต็มที่

เมื่อประชาชนทุกคนมันไม่มีศีลธรรม มันโกง มันก็เลือกผู้แทนโกง

ระวังให้ดี อย่าเป็นประชาชนโกง เลือกผู้แทนโกง มันจะเป็นการทำลายเกินไป

เมื่อประชาชนเลือกผู้แทนโกง ก็ได้ผู้แทนโกง ผู้แทนโกงทั้งหลายไปประกอบกันเป็นรัฐสภา ก็เป็นรัฐสภาโกง รัฐสภาโกงไปตั้งคณะรัฐบาล ก็เป็นคณะรัฐบาลโกง เจ้าหน้าที่ทุกคนก็เป็นคนโกง โกงกันทั้งบ้านทั้งเมือง จนกระทั่งพระเจ้าพระสงฆ์ก็ไม่เว้น หรือจะโกงขึ้นไปถึงเทวดา เพราะว่าคนโกงมันทำบุญทำกุศลไปเกิดเป็นเทวดา มันก็เป็นเทวดาโกง โกงกันหมดทั้งจักรวาล แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร

ประชาธิปไตยต้องมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ไม่อย่างนั้นจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ที่พูดกันว่า ประชาธิปไตยดีกว่าระบบใดนั้น หลับตาพูด คนไทยนับถือฝรั่งเป็นอาจารย์ เมื่อฝรั่งเขาว่าอย่างไร ก็พูดตามกันไปอย่างนั้น ว่าประชาธิปไตยนี้เพื่อประชาชน ของประชาชน โดยประชาชน แต่ลืมพูดไปว่าที่นี่มีศีลธรรม

เมื่อไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั่นแหละ จะเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2008, 21:08 โดย คนไทยคนหนึ่ง » บันทึกการเข้า
คนไทยคนหนึ่ง
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 744


« ตอบ #13 เมื่อ: 30-06-2008, 20:35 »

"จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน"
เมื่อผมอยู่ในครรภ์ของแม่ ผมต้องการให้แม่ได้รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ได้รับความเอาใจใส่ และบริการอันดีในเรื่องสวัสดิภาพของแม่และเด็ก

ผมไม่ต้องการมีพี่น้องมากอย่างที่พ่อแม่ของผมมีอยู่และแม่จะต้องไม่มีลูกถี่นัก

พ่อกับแม่จะแต่งงานกันถูกกฎหมายหรือธรรมเนียมประเพณีหรือไม่ไม่สำคัญแต่สำคัญที่พ่อกับแม่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขทำความอบอุ่นให้ผมและพี่น้อง ในระหว่าง 2-3 ขวบแรกของผม ซึ่งร่างกายและสมองผมกำลังเติบโตในระยะที่สำคัญ ผมต้องการให้แม่ผมได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์

ผมต้องการไปโรงเรียน พี่สาวหรือน้องสาวผมก็ต้องการไปโรงเรียนจะได้มีความรู้หากินได้ และจะได้รู้คุณธรรมแห่งชาติ ถ้าผมมีสติปัญญาเรียนชั้นสูง ๆ ขึ้นไป ก็ให้มีโอกาสเรียนได้ ไม่ว่าพ่อแม่ผมจะรวยหรือจน จะอยู่ในเมืองหรือชนบทแร้นแค้น เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว ผมต้องการงานอาชีพที่มีความหมาย ทำให้ได้รับความพอใจว่าตนได้ทำงานเป็นประโยชน์แก่สังคม บ้านเมืองที่ผมอาศัยอยู่ จะต้องมีขื่อมีแป ไม่มีการข่มขู่กดขี่หรือประทุษร้ายกัน ประเทศของผมควรจะมีความสัมพันธ์อันชอบธรรมและเป็นประโยชน์กับโลกภายนอก ผมจะได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงความคิดและวิชาของมนุษย์โลก และประเทศของผมจะได้มีโอกาสรับเงินทุนจากต่างประเทศมาใช้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม

ผมต้องการให้ชาติของผม ได้ขายผลิตผลแก่ต่างประเทศด้วยราคาอันเป็นธรรม

ในฐานะที่ผมเป็นชาวนา ชาวไร่ ผมก็อยากมีที่ดินของผมพอสมควรสำหรับทำมาหากิน มีช่องทางได้กู้ยืมเงินมาขยายงาน มีโอกาสรู้วิธีทำกินแบบใหม่ ๆ มีตลาดดีและขายสินค้าได้ราคายุติธรรม ในฐานะที่ผมเป็นกรรมการ ผมก็ควรจะมีหุ้นส่วน มีส่วนในโรงงาน บริษัท ห้างร้านที่ผมทำอยู่

ในฐานะที่ผมเป็นมนุษย์ ผมก็ต้องการอ่านหนังสือพิมพ์ และหนังสืออื่น ๆ ที่ไม่แพงนัก จะฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ก็ได้ โดยไม่ต้องทนรบกวนจากการโฆษณามากนัก

ผมต้องการสุขภาพอนามัยอันดี และรัฐบาลจะต้องให้บริการป้องกันโรคแก่ผมอย่างฟรี กับบริการการแพทย์ รักษาพยาบาลอย่างถูกอย่างดี เจ็บป่วยเมื่อใดหาหมอพยาบาลได้สะดวก

ผมจำเป็นต้องมีเวลาว่าง สำหรับเพลิดเพลินกับครอบครัว มีสวนสาธารณะที่เขียวชอุ่ม สามารถมีบทบาทและชมศิลปะ วรรณคดี นาฏศิลป์ ดนตรี วัฒนธรรมต่าง ๆ เที่ยวงานวัด งานลอยกระทง งานนักขัตฤกษ์ งานกุศลอะไรได้พอสมควร ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำบริสุทธิ์สำหรับดื่ม

เรื่องอะไรที่ผมทำเองไม่ได้หรือไม้แต่ไม่ดี ผมก็จะขอความร่วมมือกับเพื่อนฝูงในรูปของสหกรณ์ หรือสโมสร หรือสหภาพจะได้ช่วยซึ่งกันและกัน

เรื่องที่ผมเรียกร้องข้างต้นนี้ ผมไม่เรียกร้องเปล่า ผมยินดีเสียภาษีอากรให้ส่วนรวมตามอัตภาพ

ผมต้องการโอกาสที่มีส่วนในสังคมรอบตัว ผมต้องการมีส่วนในการวินิจฉัยโชคชะตาทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เมียผมก็ต้องการโอกาสต่าง ๆ เช่นเดียวกับผม และเราสองคนควรจะได้รับความรู้และวิธีการวางแผนครอบครัว

เมื่อแก่ ผมและเมียก็ควรได้ประโยชน์ตอบแทนจากการประกันสังคม ซึ่งผมได้จ่ายบำรุงตลอดมา

เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ ๆ อย่างบ้า ๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ เมื่อตายแล้ว ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เก็บไว้ให้เมียผมพอใช้ในชีวิตของเธอ ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็เก็บไว้เลี้ยงให้โตแต่ลูกที่โตแล้วไม่ให้ นอกนั้นรัฐบาลควรเก็บไปหมด จะได้ใช้เป็นประโยชน์ในการบำรุงชีวิตคนอื่น ๆ บ้าง ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่าฝัง คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกินและอย่าทำพิธีรีตองในงานศพให้วุ่นวายไป

นี่แหละคือความหมายแห่งชีวิต นี่แหละคือการพัฒนาที่จะควรให้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของทุกคน

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณทุกท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์อ่านมาจนจบ ขอความสุขสวัสดีและสันติสุขจงเป็นของท่านทั้งหลาย และพระท่านกล่าวไว้ดังนี้ เกี่ยวกับความสวัสดี

" เราตถาคตไม่เห็นความสวัสดีอื่นใดของสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญา เครื่องตรัสรู้ ความเพียร ความสำเร็จอินทรีย์ และความเสียสละ "

ป๋วย อึ๊งภากรณ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2008, 21:09 โดย คนไทยคนหนึ่ง » บันทึกการเข้า
Solidus
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,381



« ตอบ #14 เมื่อ: 30-06-2008, 21:56 »

สิ่งที่บนเวทีพันธมิตร ยกขึ้นมาพูดเป็นแนวทางเกี่ยวกับประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

 วาทะธรรมทางการเมือง ของท่านพุทธทาสภิกขุ
ประชาธิปไตย ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนเป็นใหญ่นั้นมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ประชาชนเห็นแก่ตัว โดยประชาชน ของประชาชน เพื่อประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด

ระบบประชาธิปไตย มันเป็นระบบครองโลกหรือเกี่ยวถึงกันไปหมดทั้งโลก ถ้าว่าระบบนี้มันมืดมิดแล้วก็ ทั้งโลกมันจะมืดมิด แล้วมันก็กำลังมืดมิดเพราะว่าความเป็นประชาธิปไตยมันไม่ค่อยจะมี

ทางประชาธิปไตยนั่นฟ้าสางอย่างไร พูดสั้น ๆ ก็ว่า คือการทำให้ศีลธรรมกลับมาเป็นรากฐานของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยนี้มันดีต่อเมื่อมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ถ้าไม่มีศีลธรรมเป็นรากฐานมันก็เป็นประชาธิปไตยโกง

ประชาธิปไตยโกงนั่นมันร้ายกาจอย่างไร คือประชาชนทั้งหลายไม่มีศีลธรรม แต่ถือระบบประชาธิปไตย มันก็มีโอกาสที่จะใช้กิเลสของตนอย่างเสรี แต่ละคน ๆ มีเสรีภาพที่จะใช้กิเลสของตนอย่างเต็มที่ แล้วจะทนไหวหรือ ในเมื่อทุกคนใช้กิเลสของตนอย่างเต็มที่

เมื่อประชาชนทุกคนมันไม่มีศีลธรรม มันโกง มันก็เลือกผู้แทนโกง

ระวังให้ดี อย่าเป็นประชาชนโกง เลือกผู้แทนโกง มันจะเป็นการทำลายเกินไป

เมื่อประชาชนเลือกผู้แทนโกง ก็ได้ผู้แทนโกง ผู้แทนโกงทั้งหลายไปประกอบกันเป็นรัฐสภา ก็เป็นรัฐสภาโกง รัฐสภาโกงไปตั้งคณะรัฐบาล ก็เป็นคณะรัฐบาลโกง เจ้าหน้าที่ทุกคนก็เป็นคนโกง โกงกันทั้งบ้านทั้งเมือง จนกระทั่งพระเจ้าพระสงฆ์ก็ไม่เว้น หรือจะโกงขึ้นไปถึงเทวดา เพราะว่าคนโกงมันทำบุญทำกุศลไปเกิดเป็นเทวดา มันก็เป็นเทวดาโกง โกงกันหมดทั้งจักรวาล แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร

ประชาธิปไตยต้องมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ไม่อย่างนั้นจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ที่พูดกันว่า ประชาธิปไตยดีกว่าระบบใดนั้น หลับตาพูด คนไทยนับถือฝรั่งเป็นอาจารย์ เมื่อฝรั่งเขาว่าอย่างไร ก็พูดตามกันไปอย่างนั้น ว่าประชาธิปไตยนี้เพื่อประชาชน ของประชาชน โดยประชาชน แต่ลืมพูดไปว่าที่นี่มีศีลธรรม

เมื่อไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั่นแหละ จะเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุด

ถ้าไม่ใช่คำสอนของ นะจ๊ะ ณ จานบิน ลิ่วล้อแม้วเขาไม่สนหรอกครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: