เดลินิวส์ แฉความชั่วของ คตส. กรณี รถดับเพลิง กทม เปิดหลักฐานเด็ดรถดับเพลิง พิสูจน์ความโปร่งใส คตส.
น่าสงสัยและน่าเคลือบแคลงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ คตส. มีมติให้ชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถดับเพลิง กทม. มูลค่า 6,687 ล้านบาท เพียงแค่ 5 คน ประกอบด้วย 1. นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย 2. นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย 3. นายสมศักดิ์ คุณเงิน อดีตผู้ช่วยเลขานุการ รมว.มหาดไทย 4. นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ กทม. และ 5. พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.
แต่ไม่มีรายชื่อของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. คนปัจจุบันรวมอยู่ด้วย
นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส.ชี้แจงว่า เหตุที่ไม่รวมนายอภิรักษ์เข้าไปด้วย ก็เพราะว่า นายอภิรักษ์เข้ามาเกี่ยวข้องภายหลัง อีกทั้งการเปิดแอลซี นั้นก็เพราะต้องการทำตามสัญญาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ ยังถูกกระทรวงมหาดไทยมีหนังสือสั่งให้เร่งดำเนินการ จึงทำให้เกิดคำถามว่า คตส. ได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับนายอภิรักษ์และบุคคล อื่น ๆ โดยครบถ้วนแล้วหรือยัง
คำตอบก็คือ อาจจะตรวจแล้วไม่ได้นำเข้ามาไว้ในสำนวน หรือ ไว้ในสำนวนแต่ไม่เห็นว่าเป็นการกระทำผิด หรือตรวจพบหลักฐานการเปิด แอลซี ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องทั้งหมด
ตามสัญญาการซื้อขายรถดับเพลิงที่นายสมัคร สุนทรเวช ลงนามกับฝ่ายออสเตรีย ได้ระบุว่า สัญญาจะไม่มีผลบังคับจนกว่าจะมีการเปิดแอลซี ดังนั้นเมื่อนายอภิรักษ์ มาเปิดแอลซี จึงทำให้สัญญาซื้อขายเกิดความสมบูรณ์
แอลซี คืออะไร จริง ๆ แล้ว แอลซี คือ หนังสือหรือตราสาร รับรองการชำระเงินที่ออกโดยธนาคาร
ตามขั้นตอนการซื้อขายระหว่างประเทศ จะไม่มีการจ่ายเงินสด แต่ เพื่อความมั่นใจไม่ให้ถูกเบี้ยวเงิน กทม. จะต้องเอาเงินสดไปวางค้ำประกัน หรือมีวงเงินเครดิตรองรับ กับธนาคารกรุงไทย จากนั้นธนาคารกรุงไทย ก็จะเปิดแอลซีไปยังธนาคารของออสเตรีย เสร็จแล้วธนาคารออสเตรีย จะส่ง แอลซี ไปยังบริษัทสไตเออร์ เพื่อผลิตรถดับเพลิงตามที่กำหนดไว้ในแอลซี
เมื่อบริษัทสไตเออร์ ผลิตสินค้าได้ตามสเปกที่กำหนดในแอลซี ก็จะนำสินค้าไปส่งที่ท่าเรือ เพื่อให้ศุลกากรตรวจปล่อย จากนั้นบริษัทเรือที่รับขนส่งรถดับเพลิงก็จะออกหนังสือรับมอบสินค้ามาให้บริษัทสไตเอ
อร์ เสร็จแล้วบริษัทสไตเออร์ ก็จะเอาเอกสารของบริษัทเรือและอื่น ๆ ส่งไปยังธนาคาร ออสเตรียเพื่อขอรับเงิน
หลังจากธนาคารออสเตรียจ่ายเงินให้กับบริษัทสไตเออร์ไปแล้วก็จะมาเรียกเก็บกับธนาคารก
รุงไทย และธนาคารกรุงไทย ก็จะมาเรียกเก็บ จาก กทม. อีกทอดหนึ่ง
ขั้นตอนทั้งหมดมีเพียงแค่นี้
ปรากฏว่า มติ ครม. กำหนดให้ กทม. ซื้อรถและเรือดับเพลิงจาก บริษัทสไตเออร์ด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งไม่มีการประมูล ด้วยเหตุผลที่ว่า อุปกรณ์เหล่านี้ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศไทย จึงต้องซื้อจากต่างประเทศ ความ ปรากฏในลำดับต่อมาว่า ทั้งรถและเรือผลิตขึ้นภายในประเทศไทย โดยรถปิกอัพเป็นของยี่ห้อมิตซูบิชิสตราดา ราคาคันละ 7.4 แสนบาท แต่เอามาขายให้ กทม. รวมภาษีแล้วตกคันละ 6.8 ล้านบาท
ส่วนเรือดับเพลิง 30 ลำ ก็ผลิตที่ บริษัทซีทโบ๊ท แถวพัทยา ตรงนี้ เองเป็นเงื่อนงำสำคัญที่จะชี้ให้เห็นว่า นายอภิรักษ์ เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถดับเพลิงหรือไม่ และอย่างไร
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2547 นายสมัคร สุนทรเวช ขณะที่ยังเป็น ผู้ว่าฯ กทม. ได้ลงนามในหนังสือ กท.1800/4322 ส่งถึงกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำกัด มหาชน เพื่อขอเปิดแอลซี ซึ่งระบุให้ ส่งมอบสินค้า ได้ที่ท่าเรือในยุโรป หรือสนามบินยุโรป หรือสถานที่ใด ๆ ในประเทศไทย
ต่อมาพอนายอภิรักษ์เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ก็มีหนังสือขอยกเลิกแอลซี เนื่องจากนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้นได้ยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. จึงนำเรื่องการจัดซื้อรถดับเพลิงมา ทบทวนใหม่ และท้ายสุดนายอภิรักษ์ ก็ตัดสินใจจัดซื้อต่อไป โดยมีหนังสือเลขที่ กท 0200/77 ลงวันที่ 10 ม.ค. 2548 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย เพื่อขอเปิดแอลซี
แต่แอลซีของนายอภิรักษ์ได้ระบุให้ ส่งมอบสินค้าที่ท่าเรือหรือสนามบินในยุโรปเท่านั้น ไม่ได้ระบุว่า สถานที่ใด ๆ ในประเทศไทยเหมือนกับของนายสมัคร สุนทรเวช
ต่อมาในวันที่ 21 ม.ค. 2548 หรือหลังจากเปิดแอลซีไปแล้ว 11 วัน นายอภิรักษ์ ได้ขอแก้ไขแอลซี ในหัวข้อที่ 79 อนุญาตให้มีการส่งมอบสินค้าได้ ณ สถานที่ใด ๆ ในประเทศไทย
ประเด็นที่ คตส. ควรจะพิจารณาเป็นพิเศษก็คือ ใครเป็นคนไปสั่งให้นายอภิรักษ์แก้แอลซี หากไม่มีใครสั่ง นายอภิรักษ์แก้แอลซี ในประเด็นนี้ทำไม
ถ้านายอภิรักษ์อ้างว่า จำเป็นต้องเปิดแอลซี ซื้อรถดับเพลิงในวันที่ 10 ม.ค. 2548 เพราะกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งบังคับ แต่ในข้อเท็จจริงกระทรวงมหาดไทยไม่ได้มีคำสั่งให้นายอภิรักษ์ แก้ไขแอลซี เปลี่ยนสถานที่ส่งมอบสินค้าจากท่าเรือยุโรปมาที่ท่าเรือประเทศไทยแต่อย่างใด
หากนายอภิรักษ์บอกว่า แก้ไขเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรีย นายอภิรักษ์ก็น่าจะรู้ว่า บริษัทสไตเออร์ เป็นของสหรัฐ ไม่ใช่ของออสเตรีย แล้วจะไปรักษาสัมพันธ์กันได้อย่างไร
เงื่อนงำในการแก้ไขแอลซี ครั้งนี้ ทำให้บริษัทสไตเออร์ได้ประโยชน์ มหาศาล เพราะตามแอลซี เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2548 บริษัทสไตเออร์ จะต้องนำเรือจากบริษัท ซีทโบ๊ท 30 ลำ วิ่งกลับไปที่ยุโรป เพื่อทำพิธีศุลกากร ที่นั่น เพื่อเอาเอกสารไปขึ้นเงินกับธนาคารออสเตรีย เสร็จแล้วก็นำเรือวิ่งกลับมายังประเทศไทย ผ่านพิธีศุลกากรที่แหลมฉบังหรือท่าเรือคลองเตย
การแก้ไขแอลซี ให้บริษัทสไตเออร์ส่งมอบสินค้าที่ใด ๆ ในประเทศไทย ทำให้ประหยัดค่าขนส่งที่จะย้อมเรือดับเพลิงไทยให้เป็นเรือดับเพลิงออสเตรีย และทำให้การส่งมอบสามารถทำได้โดยสะดวกไม่มีปัญหาเรื่องถิ่นกำเนิดของสินค้า
นายอภิรักษ์ ตอบได้หรือไม่ว่า ไปแก้แอลซีทำไม พร้อม ๆ กับ คตส. ต้องตอบได้ว่า ทำไมไม่ค้นหาข้อเท็จจริงตรงประเด็นนี้
นี่ยังไม่รวมไปถึงการตรวจสอบเพื่อลงนามรับมอบรถดับเพลิงต้นแบบ ที่บริษัทสไตเออร์ไปจ้างให้บริษัทโซมาติที่เบลเยียม ซึ่งนำขบวนโดยนายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม. และเห็นว่า เป็นรถมิตซูบิชิผลิตในประเทศไทย
นายวัลลภ ทำไมไม่ห้ามการรับรถต้นแบบ และทำไมไม่มาราย งานความผิดปกติประการนี้ต่อนายอภิรักษ์ เพื่อดำเนินการแก้ไข
ถ้ารถดับเพลิงดังกล่าวเป็นยี่ห้อเบนซ์ หรือโฟล์คสวาเก้น ซึ่งหน่วยดับเพลิงออสเตรียใช้ยี่ห้อนี้อยู่ ก็พอจะอธิบายได้ว่า จำเป็นต้องซื้อแพงถึงคันละ 6.8 ล้านบาท แต่นี่เป็นรถมิตซูบิชิผลิตในประเทศไทย
คตส. ต้องถามตัวเองว่า มีความเอนเอียงหรือไม่ ความสุจริตหรือ ไม่ และได้กระทำหน้าที่ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ลงวันที่ 30 ก.ย. 2549 เพื่อจับทุจริตที่ก่อให้เกิดความเสียหายในทุก ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์
หรือทำหน้าที่เพียงแค่ทำลายล้างฝ่ายหนึ่ง และอุ้มอีกฝ่ายหนึ่ง.
วันที่ : 28 กุมภาพันธ์ 2550
จาก :
http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages...pe=1&Template=2