พบบทความของ สว.คำนูญ สิทธิสมาน หนึ่งในผู้ไปฟ้องคดีปราสาทพระวิหารต่อศาลปกครอง
เป็นบทความที่กล่าวถึง ประวัติความเป็นมาของศาลปกครองไว้ได้อย่างน่าสนใจนะครับ
ตอนนี้เห็นมีพวกลัทธิเลือกตั้งออกมาชูประเด็นประหลาด อย่างการ "เลือกตั้งศาล"
บทความนี้น่าจะเป็นคำตอบได้ดี ว่าศาลปกครองมีขึ้นมาปราบลัทธิเลือกตั้ง -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ศาลปกครอง มีค่าต่อประชาธิปไตย....มากกว่ารัฐสภา !??โดย คำนูณ สิทธิสมาน 29 มิถุนายน 2551 12:10 น.
วุฒิสภาก็อภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติไปแล้ว สภาผู้แทนราษฎรก็อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
โดยมีการลงมติไปแล้ว ผลก็ออกมาเห็น ๆ แล้วนะครับว่าไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
แตกต่างกับ
คำสั่งศาลปกครองกลางกรณีปราสาทพระวิหาร ! และถ้าย้อนไปดูคำสั่ง หรือคำพิพากษา ของศาลปกครองในอดีต 3 – 4 ปีมานี้ ไม่ว่ากรณี กฟผ.,
กรณี ปตท., กรณี ASTV หรือล่าสุด...กรณีบอร์ดองค์การเภสัชกรรม ก็จะพบว่าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
อย่างมีน้ำหนักมากทีเดียว โดยเฉพาะในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐของฝ่ายบริหาร
ต้องยอมรับกันว่ามีประสิทธิภาพกว่ากลไกควบคุมโดยรัฐสภา !! บรรดาองค์กรใหม่ ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างอำนาจรัฐ รวมทั้งองค์กรอิสระ หรือ Independent
Regulatory Agency สุดแท้แต่ลักษณะที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 2540 มีผลงานน่าผิดหวังบ้าง ยังไม่มีผลงานบ้าง
และส่วนใหญ่ยากที่จะพ้นจากการแทรกแซงทางการเมือง แต่ต้องยอมรับว่าศาลปกครองเป็นองค์กรทาง
กระบวนการยุติธรรมที่มีหลักการแจ่ม ชัด มีฐานทางวิชาการมั่นคง จนสามารถเป็นที่พึ่งสำคัญของประชาชน
ในยามเสมือนไร้ที่พึ่ง
ผมเคยเขียนไว้หลายครั้งว่า ศาลปกครองน่าจะเป็นองค์กรที่เป็นรากฐานของการปฏิรูปการเมือง
-ปฏิรูประบบ กฎหมาย ต่อไปในอนาคตอีก 10 – 20 ปีข้างหน้า ไม่ว่าการปฏิรูปการเมืองตามแนวทาง
รัฐธรรมนูญ 2540 จะหลงเหลือความสำเร็จอยู่กี่มากน้อย
ทั้งนี้เพราะองค์กรอื่น ๆ โดยเฉพาะที่มีอำนาจจริงมีบทบาทจริง อย่างเช่นคณะกรรมการการเลือกตั้ง
และศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการสร้างขึ้นโดยประยุกต์จากแนวทางของต่างประเทศ อย่าง ขาดรากฐาน
ขาดพัฒนาการ และขาดบุคลากร เมื่อเกิดขึ้นมาก็เติบโตมีอำนาจเลย
ศาลปกครองแม้โดยชื่อโดยรูปแบบอย่างเป็นทางการจะเพิ่งถือกำเนิดมาจาก พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เปิดทำการจริง พ.ศ. 2543 แต่จริง ๆ แล้วมีรากฐานปักหลักมายาวนาน
อย่างน้อยหากตัดตอนนับเฉพาะในยุคปัจจุบันก็ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 จาก พ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีกา
พ.ศ. 2522 ที่ให้มีคณะกรรมการ 2 ประเภทคือ กรรมการร่างกฎหมาย และ กรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในเชิงศาลปกครอง
อันมีที่มาจากแนวคิดของ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ที่ต้องการเตรียมความพร้อมให้แก่ศาลปกครอง
ทั้งทางด้านบุคลากร, ฐานวิชาการ และหลักกฎหมายปกครองเบื้องต้น
ขณะเดียวกันทางด้านมหาวิทยาลัย ผลสะเทือนจากงานเขียนเชิงตั้งคำถามของ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์
คนเดียวกันในเรื่อง “นักนิติศาสตร์หลงทางหรือ” เมื่อ ปี 2517 บวกกับการสนับสนุนส่งเสริมของ ดร.ปรีดี
เกษมทรัพย์ ได้สร้างความตื่นตัวให้กับนักศึกษาวิชานิติศาสตร์ให้เลือกวิชากฎหมายมหาชน ในการศึกษาต่อ
ต่างประเทศในฐานะนักเรียนทุน ที่แยกย้ายกันไปทั้งฝรั่งเศส, เยอรมัน และสหรัฐอเมริกา จนก่อให้เกิด
นักกฎหมายมหาชนรุ่นใหม่ขึ้นมามีบทบาทโดดเด่นในแวดวงนิติศาสตร์ จำนวนหนึ่งในอีก 10 – 15 ปีต่อมา
2 กระแสนี้สามารถผนวกกันเป็น “ชุมชนนักกฎหมายมหาชน” มีบทบาทสูงเด่นในการแสดงความคิดเห็น
ต่อสาธารณชนที่สามรรถถ่วงดุลนักกฎหมาย เอกชนที่ครอบงำสังคมไทยมานาน และมีส่วนสำคัญในการร่วม
สร้างสรรค์หลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ตั้งแต่ครั้งร่วมทำวิจัย 10 หัวข้อ
ให้กับ คพป. (คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย) ชุด ศ.นพ.ประเวศ วะสี เมื่อ ปี 2537 – 2538
พวกเขาเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้เกิดศาลปกครอง ในระบบ “ศาลคู่” คือแยกออกมาจาก
ศาลยุติธรรม แม้ในอดีตจะถูกขัดขวางต่อต้านจนทำให้กฎหมายจัดตั้งศาลปกครองในระบบศาลคู่มี อันต้อง
แท้งไปหลายต่อหลายครั้งใน ปี 2526, 2529, 2531, 2532, 2538 และ 2539 ถ้าไม่เพราะเหตุผลยุบสภา
ก็เพราะ คณะรัฐมนตรีไม่รับหลักการ แต่ถึงที่สุดแล้วก็เพราะอิทธิพลทางความคิดของนักกฎหมายเอกชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกฎหมายเอกชนในศาลยุติธรรม ที่ส่งผ่านไปยังนักการเมือง
ดังนั้นเมื่อศาลปกครองถือกำเนิดได้จริงโดยสภาวการณ์ “โดยสารมากับขบวนปฏิรูปการเมือง”
พวกเขาเหล่านี้จึงรู้ด้วยจิตสำนึกว่าจะต้องพิทักษ์รักษาศาลปกครอง จึงเสมือนตกลงกันแบ่งกำลัง
เข้ามาสมัครเป็นบุคลากรในศาลปกครอง
เราจึงได้เห็น นักวิชาการกฎหมายมหาชนรุ่นใหม่ ระดับอายุ 40 – 50 ปี เข้ามารับตำแหน่งสำคัญ
และถ้าหากจะย้อนอดีตยาวออกไปก็จะพบว่า พ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 ก็เป็นการ
สืบทอดแนวความคิดของท่านปรีดี พนมยงค์ ที่ตราพ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476 ขึ้นเพื่อให้
ทำหน้าที่เป็นศาลปกครอง เสมือนหนึ่งกองเซย เดตาต์ (Conseil d’Etat) หรือสภาแห่งรัฐ (Council of State)
ของฝรั่งเศส แต่ถูกคัดค้านด้วยเหตุผลประชาชนไม่พร้อม-ไม่เข้าใจหลักสิทธิเสรีภาพ, ขาดบุคลากร ทำให้
คณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกิดขึ้นทำหน้าที่เพียงขาเดียว คือ ร่างกฎหมาย
ความพยายามที่จะเพิ่ม ขาที่ 2 คือ พิจารณาคดีปกครอง ต้องล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งใน พ.ศ. 2478,
2489, 2499, 2500 และแม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรก
ที่บัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองไว้ แต่ก็ไร้กฎหมายเฉพาะ ทำให้ไม่มีผลในทางปฏิบัติ
สาเหตุของอุปสรรคขวากหนามนอกจากอิทธิพลทางความคิดของนักกฎหมายเอกชนในศาลยุติธรรม แล้วก็คือ...
ความเกรงกลัวของข้าราชการประจำ นักการเมือง หรือนัยหนึ่งฝ่ายบริหาร
ที่ไม่ต้องการเข้ามาอยู่ใน “กรอบ” ที่จะต้องถูกตรวจสอบ, ควบคุม โดยประชาชน ผ่านศาลปกครอง เป็นที่น่าสังเกตว่าในยุคสมัยฝ่ายบริหาร ตกอยู่ในมือนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ชอบท่องคาถาสวยหรู
เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน จะมีอาถรรพณ์ทำให้ กฎหมายเกี่ยวกับศาลปกครองมีอันต้องตกไป
จุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่เกิด “กรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์” ขึ้นใน พ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522
ก็เป็นยุคเผด็จการทหาร ภายใต้รัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ โดยแท้
วันนี้ นักการเมืองไทยส่วนใหญ่ยังคงท่องคาถา “มาจากการเลือกตั้ง” เหมือนเดิม
แต่พวกเขาก็ถูกต้อนให้เข้าไปอยู่ในกรอบแห่งการตรวจสอบและควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยศาลปกครองแล้ว
แม้จะไม่ชอบใจ แต่ก็โวยวายอะไรได้ยาก
ประชาธิปไตยในเนื้อหา หรือ “การเมืองใหม่” เกิดขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง
ประชาธิปไตยในเนื้อหา หรือ “การเมืองใหม่” ในความหมายนี้ ไม่ได้ถือกำเนิดมาเพียงแค่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้น
และไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน !!