Can ไทเมือง
|
|
« เมื่อ: 28-06-2008, 19:32 » |
|
'ทนายพันธมิตร'ดี๊ด๊าศาลระงับมติครม. ลั่นฟ้องต่อรายตัว
นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ภายหลังที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีเขาพระวิหาร จากการยื่นฟ้องโดยพันธมิตรฯ ว่า
รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เพื่อประชาชนไทย เนื่องจากยังสามารถรักษาปราสาทเขาพระวิหารไว้ได้
และต่อจากนี้ ตนจะเตรียมดำเนินคดีกับนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและครม. อธิบดีกรมสนธิสัญญา และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในความผิดทำให้เสียดินแดน ( ป.อาญามาตรา 119 ) และทำให้รัฐต่างประเทศเป็นปฏิปักษ์กับรัฐไทย(ป.อาญามาตรา 120 )
นอกจากนี้ จะร้องเรียนกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินคดีกับครม. ในความผิดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ( ม. 157 )
จากรายการเก็บตกเนชั่น ทนายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ บอกว่าจะยื่นคำฟ้องให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า โดยจะร้องผ่าน ปปช. เพราะกรณีนี้ประชาชนฟ้องเองไม่ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนไทยคนหนึ่ง
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 28-06-2008, 20:00 » |
|
ฝักถั่วในสภา ที่ไปยกมือไว้วางใจ ก็อาจจะโดนด้วย
งานนี้ จะมีคนหมดอนาคตไม่สามารถกลับไปสู้หน้าประชาชนในพื้นที่เพียบ
เราเตือนไว้ก่อนหน้านี้แล้วไม่ยอมฟังกันเอง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ใครทำอะไรไว้ กรรมมันติดจรวดจริงๆ เพราะมีคนเป็นแสนแช่งอยู่ทุกวัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 28-06-2008, 20:11 » |
|
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 119 ในกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาล ศาลมีอำนาจสั่ง บังคับตามสัญญาประกันหรือตามที่ศาลเห็นสมควรโดยมิต้องฟ้อง เมื่อศาลสั่งประการใดแล้ว ฝ่ายที่ถูกบังคับตามสัญญาประกันหรือ พนักงานอัยการมีอำนาจอุทธรณ์ได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้ เป็นที่สุด" มาตรา 120 ผู้ใดคบคิดกับบุคคล ซึ่งกระทำการเพื่อ ประโยชน์ ของรัฐต่างประเทศ ด้วยความประสงค์ที่จะก่อให้เกิดการดำเนินการรบต่อรัฐ หรือทางอื่นที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือ จำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี http://www.lawyerthai.com/law/articles.php?articleid=9&cat=524ทำไมมาตรา 119 แปลกๆ????
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2008, 22:43 โดย RiDKuN »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Can ไทเมือง
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 28-06-2008, 20:17 » |
|
119 น่าจะเกี่ยวกับการทำให้สูญเสียดินแดนหรืออธิปไตย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 28-06-2008, 20:19 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 28-06-2008, 20:24 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนไทยคนหนึ่ง
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 28-06-2008, 20:24 » |
|
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติ ให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499" มาตรา 3 ประมวลกฎหมาย อาญาท้ายพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2500 เป็นต้นไป
หมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร
มาตรา 119 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา 120 ผู้ใดคบคิดกับบุคคล ซึ่งกระทำการเพื่อ ประโยชน์ ของรัฐต่างประเทศ ด้วยความประสงค์ที่จะก่อให้เกิดการดำเนินการรบต่อรัฐ หรือทางอื่นที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือ จำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
หมวด 2 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2008, 20:34 โดย คนไทยคนหนึ่ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 28-06-2008, 20:33 » |
|
อยากเห็นคนชั่วที่สมคบต่างชาติทำลายอธิปไตยแผ่นดินตัวเองโดนประหารชีวิตจัง
ประหารชีวิตเสร็จ ให้สร้างรูปปั้นเหมือนมันขึ้นมาแล้วจารึกชื่อมันไว้ แล้วให้คนรุ่นหลังถ่มน้ำลายใส่
แบบ "ฉินไคว่ 秦桧 & เมีย" ที่หังโจว (Hangzhou) มณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang) มันวางอุบายฆ่าแม่ทัพงักฮุยที่ปกป้องอธิปไตยของชาวจีน จนเป็นเหตุให้แผ่นดินชาวฮั่นสูญเสียแก่ชนต่างชาติ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2008, 20:35 โดย 不能说的事实 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
justy
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 28-06-2008, 20:34 » |
|
"มาตรา 119 ต้องระวางโทษประหารชีวิต "อย่าลืมถ่ายทอดสดผ่านทีวีทุกช่องด้วยน่ะค่ะ ดี๊ด๊า..ดี้ด๊า..ดี้ด๊า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
พรรคไทยรักไทยมิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่า กฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า พรรคไทยรักไทย มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อ
|
|
|
personal jesus
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 28-06-2008, 20:41 » |
|
ขอให้เจอแบบนี้ จะได้ไม่เป็น เยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น แบบนี้ต้องเล่นแรง ต้องเจอของจริง ไม่งั้นยังมีคนคิดที่จะทำอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
fineday
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 28-06-2008, 20:43 » |
|
ดีใจที่ไม่ลืมพ่วงอธิบดีกรมฯไปด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 28-06-2008, 20:44 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลูกหินฮะ๛
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 28-06-2008, 21:03 » |
|
วิธีประหารชีวิต กบฎ ในสมัย รัชกาลที่ 5 ::::: อ่านแล้วขนลุก ::::: วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้ สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม
สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์
สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก
สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด
สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด
สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย
สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า
สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน)ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย
สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย
สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)
สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดค! รูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก
สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)
สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า
สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย
สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า
สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ
สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย
สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่
สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้ กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย
สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย
สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลูกหินฮะ๛
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 28-06-2008, 21:05 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
西施无情
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 28-06-2008, 21:45 » |
|
สยอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nominee
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 28-06-2008, 22:03 » |
|
ถ้าเป็นรายการโทรทัศน์ ก็ติดเรต ฉ (เฉพาะผู้ใหญ่) ได้เลย คุณลูกหินช่วยทำ Mosaic แปะ ลดระดับเหลือซัก ด (เด็ก 6-13 ขวบ) จะดีไม๊คับ ผมจะได้พอดูได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นักปฏิวัติ
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 29-06-2008, 00:55 » |
|
ส่งไปให้ ครม.ทุกคนเลย จะได้เป็นมรณสติ (เป็นการทำบุญนะครับ) แต่จริงๆกะขู่ เตือนสติให้เกิด หิริ(ละอายชั่ว) โอตตัปปะ (กลัวบาป ผลของบาป)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"สุดยอดกลยุทธ์ คือชนะโดยไม่ต้องรบ" ซุนวู
"ผู้นำชั้นเลิศนั้น เพียงแต่เป็นที่รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่ ชั้นรองลงมา เป็นที่รักและสรรเสริญ ชั้นรองกว่านั้น เป็นที่เกรงกลัวและเกลียดชัง" เหล่าจื๊อ เต้าเต๋อจิง
|
|
|
นักปฏิวัติ
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 29-06-2008, 00:56 » |
|
ปรินท์สี ส่งไปให้ ครม.ทุกคนเลย จะได้เป็นมรณสติ (เป็นการทำบุญนะครับ) แต่จริงๆกะขู่ เตือนสติให้เกิด หิริ(ละอายชั่ว) โอตตัปปะ (กลัวบาป ผลของบาป)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"สุดยอดกลยุทธ์ คือชนะโดยไม่ต้องรบ" ซุนวู
"ผู้นำชั้นเลิศนั้น เพียงแต่เป็นที่รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่ ชั้นรองลงมา เป็นที่รักและสรรเสริญ ชั้นรองกว่านั้น เป็นที่เกรงกลัวและเกลียดชัง" เหล่าจื๊อ เต้าเต๋อจิง
|
|
|
|
Register_AC
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 29-06-2008, 05:35 » |
|
เชียร์ๆ ... เอาเลยครับ เชือดเหล่ให้เหลี่ยมดู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Limmy
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 29-06-2008, 11:28 » |
|
โหวตให้ S2 สถาน 2 ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บักหัวเถิก
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 29-06-2008, 14:19 » |
|
ขึ้นศาลจริงๆๆไอ่เหล่เก่งกฎหมายเดี๋ยวมันแมร่งก็หาเหตุบรรเทาโทษลงอีก เช่น เคยทำคุณความดีแก่ประเทศชาติ ฯลฯ
แบบนี้ทุกราย รอดูพี่เหลี่ยมก็เหมือนกันมันคงอ้างแบบนี้ละครับ คิดเองนะเท่าที่รู้มา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
西施无情
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 29-06-2008, 14:40 » |
|
13:39 น.
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 61 ส.ว.ที่ยื่นอภิปรายรัฐบาลเมื่อวันจันทร์ที่ 23 มิ.ย.กล่าวถึงความคืบหน้าในการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเพื่อให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 190หรือไม่ว่า ขณะนี้มีส.ว.ร่วมลงชื่อเกิน 70 คนแล้ว และจะยื่นเรื่องให้ประธานวุฒิสภา ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญในเวลา11.00 น. วันที่ 30 มิ.ย.นี้ "ตรงนี้ชัดเจนว่าเป็นการทำสัญญาระหว่างประเทศเพราะคำสั่งระงับยับยั้งของศาลปกครองที่ออกมาก็ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีส.ว.บางส่วนหารือกันว่าจะเข้าแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับ ครม.ทั้งคณะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานะปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยเพราะเป็นการลงมติโดยครม.ทั้งคณะ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
1ktip
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 29-06-2008, 16:42 » |
|
ลงฑัณท์ตามลูกหินฯ เสนอเสร็จแล้ว ช่วยเก็บซากไปทำมัมมี่พลาสติก เอาไปตั้งแสดงหน้ารัฐสภา
หรือจะหล่อใส่แท่งแก้ว เอาไปปักแทนหมุดเขตแดนไทย-กัมพูชาก็ไม่เลว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สมชายสายชม
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 29-06-2008, 18:04 » |
|
ผมมีความเห็นว่า "ไม่ควรประหารชีวิตไอ้พวกขายชาติ .. เอาแค่จำคุกตลอดชีวิตก็พอ"
โดยสร้างกรงขังไว้ที่หน้าทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร และตั้งเพิงขายกล้วยขายผลไม้ไว้ใกล้ๆ
เพื่อให้นักท่องเที่ยวซื้อเป็นอาหารไว้ป้อนให้ไอ้พวกขายชาติมันได้กินประทังชีวิตไปจนกว่าจะตาย
หลังจากตายไปแล้ว ก็ให้ขุดหลุมฝังไว้ตรงนั้น ให้เฝ้าปราสาท
...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
西施无情
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 29-06-2008, 19:37 » |
|
18:58 น.
นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ผู้ฟ้องคดีเขาพระวิหารต่อศาลปกครอง กล่าวว่า ขอบเขตที่นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องปฏิบัติ คือการทำหนังสือถึงรัฐบาลกัมพูชา ว่าไทยไม่สามารถปฏิบัติได้ตามการลงนามแถลงการณ์ร่วม และต้องทำหนังสือแจ้งไปที่คณะกรรมการมรดกโลก และยูเนสโก ถ้าผู้ถูกฟ้องไม่ปฏิบัติตามแนวทางนี้ ถือว่ายังไม่ได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับคำสั่งของศาล อย่างนี้ก็มีเหตุที่ในฐานะเป็นผู้ฟ้องจะยื่นคำร้องต่อศาลว่า ผู้ถูกฟ้องละเมิดอำนาจศาล ซึ่งมีโทษจำคุกด้วย ไม่แค่ขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับให้ปฏิบัติคำสั่งศาล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 29-06-2008, 19:45 » |
|
ผมมีความเห็นว่า "ไม่ควรประหารชีวิตไอ้พวกขายชาติ .. เอาแค่จำคุกตลอดชีวิตก็พอ"
โดยสร้างกรงขังไว้ที่หน้าทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร และตั้งเพิงขายกล้วยขายผลไม้ไว้ใกล้ๆ
เพื่อให้นักท่องเที่ยวซื้อเป็นอาหารไว้ป้อนให้ไอ้พวกขายชาติมันได้กินประทังชีวิตไปจนกว่าจะตาย
หลังจากตายไปแล้ว ก็ให้ขุดหลุมฝังไว้ตรงนั้น ให้เฝ้าปราสาท
...
ไม่เห็นชอบครับ ผู้คนทั่วทั้งโลกจะหาว่ารัฐบาลไทยส่งเสริมให้รังแกสัตว์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลูกหินฮะ๛
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 29-06-2008, 19:56 » |
|
ไม่เห็นชอบครับ ผู้คนทั่วทั้งโลกจะหาว่ารัฐบาลไทยส่งเสริมให้รังแกสัตว์
ตัดจู๋ ..เสียบประจาน เร๊ยยยฮะ ( เอารูปตัวอย่างไหมฮะ) เอาให้สูญพันธ์ ..ปายเลยลูกหินหมั่นใส้ ...พี่เหล่ ที่จีบสาวๆ... ฟันแล้วทิ๊ง ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
An.mkII
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 29-06-2008, 20:15 » |
|
ไม่เห็นชอบครับ ผู้คนทั่วทั้งโลกจะหาว่ารัฐบาลไทยส่งเสริมให้รังแกสัตว์
เเถมยังไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ แต่เป็นสัตว์ ที่โลกต้องการเอาไว้ให้คนทั่วโลกดูแบบเป็นๆ.... ว่าไอ้สัตว์แบบนี้ คนดีๆ อย่าได้รึเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ริวเซย์
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 30-06-2008, 14:19 » |
|
อยากเห็นคนชั่วที่สมคบต่างชาติทำลายอธิปไตยแผ่นดินตัวเองโดนประหารชีวิตจัง
ประหารชีวิตเสร็จ ให้สร้างรูปปั้นเหมือนมันขึ้นมาแล้วจารึกชื่อมันไว้ แล้วให้คนรุ่นหลังถ่มน้ำลายใส่
แบบ "ฉินไคว่ 秦桧 & เมีย" ที่หังโจว (Hangzhou) มณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang) มันวางอุบายฆ่าแม่ทัพงักฮุยที่ปกป้องอธิปไตยของชาวจีน จนเป็นเหตุให้แผ่นดินชาวฮั่นสูญเสียแก่ชนต่างชาติ
อ๊ะ สถานที่นี่ผมเคยไปมาครับ อยู่ริมทะเลสาบซีหูตรงศาลเจ้างักฮุยใช่ไหมครับ ผมถ่มเสลดกับน้ำลายใส่รูปปั้นสองคนนี้ด้วยนะครับ อีกหน่อยน่าจะทำรูปปั้นไอ้เหลี่ยมบ้าง ให้คนไทยไปถ่มน้ำลายใส่ทุกวัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^
|
|
|
The Last Emperor
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: 30-06-2008, 14:28 » |
|
"วิพากษ์ ตุลาการภิวัฒน์
มองมุมใหม่ : รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในการเสวนาทางวิชาการช่วงปลายพฤษภาคม 2549 หัวข้อเรื่อง "พิพากษาหาความยุติธรรมประเทศ เพิ่มดุลยภาพการเมืองไทย ก้าวสู่การปฏิรูปการเมืองรอบสอง" ความตอนหนึ่งเรียกร้องให้มีกระบวนการ "ตุลาการภิวัตน์" (Judicialization of politics and administrations) ซึ่งหมายถึง "การที่อำนาจตุลาการเข้าตรวจสอบการออกกฎหมาย และการใช้อำนาจของนักการเมือง" "การให้อำนาจแก่ฝ่ายตุลาการในการตรวจสอบถ่วงดุลสองอำนาจใหญ่คือ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ"
บทบรรยายเห็นว่า ต้นตอของปัญหาการเมืองไทยปัจจุบันคือ การที่กลไกตรวจสอบถ่วงดุลของระบอบประชาธิปไตยไม่ทำงาน จนเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน และคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง ฉะนั้น หนทางปฏิบัติขององค์กรตุลาการคือ เติมเต็มข้อบกพร่องดังกล่าวด้วยการให้มีการถ่วงดุลตรวจสอบอย่างเข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่จัดการเลือกตั้งให้ยุติธรรมเท่านั้น
บทความดังกล่าวอ้างที่มาของ "ตุลาการภิวัตน์" ว่า เริ่มต้นจากผู้พิพากษาสูงสุดของสหรัฐอเมริกาชื่อ จอห์น มาร์แชล ซึ่งได้ตัดสินไว้ตั้งแต่ปี 1803 ว่า ศาลสูงสหรัฐมีอำนาจตัดสินคดีเกี่ยวกับการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารหรือสภาคองเกรส ว่า เป็นไปตามครรลองรัฐธรรมนูญหรือไม่
ปรากฏว่า ข้อเสนอ "ตุลาการภิวัตน์" ดังกล่าวได้รับเสียงสะท้อนอย่างต่อเนื่อง มีผู้นำไปต่อเติมขยายความเพิ่ม กระทั่งเป็นหนังสือชื่อเดียวกัน เรียกร้องให้องค์กรตุลาการลงมาแก้ปัญหาวิกฤติการเมืองไทยปัจจุบัน "อย่างเป็นฝ่ายรุก" ข้อเสนอบางข้อมีนัยที่เรียกร้องให้องค์กรตุลาการออกมาเลือกข้างคู่ขัดแย้งทางการเมือง และ "ตั้งธง" ให้ตุลาการวินิจฉัยอรรถคดีการเมืองไปในทิศทางที่พวกตนต้องการ
แต่ทั้งหมดนี้ ก็มิใช่อะไรมากไปกว่าจุดเริ่มที่เป็นบทบรรยายที่สับสนด้วยข้อมูลวิชาการ โยงใยกับทัศนะการเมืองส่วนตัว แพร่ขยายไปลงท้ายเป็นกระแสความคิดที่มุ่งใช้องค์กรตุลาการมาสนองเป้าหมายทางการเมืองของพวกตน โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะไปทำลายกฎหมายรัฐธรรมนูญ และผลกระทบต่อสถานะขององค์กรตุลาการในระยะยาว
อำนาจตุลาการในการวินิจฉัยรัฐธรรมนูญเริ่มครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา โดยคณะศาลสูงสุดที่นำโดย จอห์น มาร์แชล ได้พิพากษาคดีพิพาทระหว่างมาร์เบอรี่และแมดิสัน (Marbury v. Madison) ไว้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1803 มีความเดิมว่า นายมาร์เบอรี่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาท้องถิ่น (justice of the peace) ในนาทีสุดท้ายโดยประธานาธิบดีอาดัมส์
แต่เมื่อเจฟเฟอร์สันเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี กลับให้รัฐมนตรีแมดิสันงดการส่งหมายแต่งตั้งออกไป มาร์เบอรี่จึงอ้างบทบัญญัติตามส่วนที่ 13 แห่งพระราชบัญญัติตุลาการซึ่งผ่านโดยสภาคองเกรสในปี 1789 ฟ้องร้องต่อศาลสูงสุดให้บังคับรัฐมนตรีส่งหมายแต่งตั้ง แต่คณะศาลสูงสุดกลับวินิจฉัยว่า ส่วนที่ 13 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญและไม่มีผลบังคับใช้ ศาลสูงสุดไม่มีอำนาจออกคำสั่งบังคับตามที่ร้องขอ
คดีนี้ได้กลายเป็นบรรทัดฐานที่ให้ศาลสูงสุดของสหรัฐ มีอำนาจตีความรัฐธรรมนูญและตัดสินว่า กฎหมายใดที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ และบริหาร "ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่" อำนาจดังกล่าวเรียกว่า judicial review ศาลสูงสุดของสหรัฐได้ใช้อำนาจนี้มาถึงปัจจุบัน
ช่วงที่มีชื่อเสียงคือยุค 1960 ซึ่งมีคำวินิจฉัยให้กฎหมายแบ่งแยกสีผิว "ขัดรัฐธรรมนูญและไม่มีผลบังคับใช้" ให้สิทธิเท่าเทียมแก่คนผิวสีในสหรัฐ อำนาจวินิจฉัยว่า กฎหมายใดขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่นี้ก็คือ บทบาทของฝ่ายตุลาการในการถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตย
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง การให้ตุลาการวินิจฉัยรัฐธรรมนูญได้ก็แพร่ขยายไปสู่ประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ แต่วิธีการแตกต่างไป เช่น ฝรั่งเศสใช้ระบบคณะกรรมการร่วมนิติบัญญัติ-ตุลาการ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี จัดตั้งเป็นศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ส่วนญี่ปุ่น อินเดีย ปากีสถาน ตามอย่างสหรัฐและอังกฤษ ให้ศาลสูงสุดใช้อำนาจดังกล่าว ในประเทศไทย judicial review ตามแนวทางประชาธิปไตยก็มีอยู่แล้วในรัฐธรรมนูญปี 2540 ในรูปของศาลรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ
ฉะนั้น บทบาทของตุลาการในการถ่วงดุลอำนาจบริหาร และนิติบัญญัติที่สำคัญที่สุดคือ การวินิจฉัยบทกฎหมาย ที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ และบริหารโดยยึดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นสูงสุดเท่านั้น หน้าที่ดังกล่าวเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น และเฉพาะที่เป็นคดีความเข้ามาสู่ศาลตามขั้นตอนวิธีพิจารณาความตามกฎหมาย การตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจโดยฝ่ายตุลาการจึงไม่ใช่การกระทำตามอำเภอใจที่เอากฎหมาย และองค์กรตุลาการไปรองรับเป้าประสงค์ทางการเมืองของฝ่ายใด
สิ่งที่ผู้ที่นิยม "ตุลาการภิวัตน์" ต้องการ เช่น สนับสนุนให้องค์กรตุลาการออกแถลงการณ์แสดงท่าทีการเมืองที่ไม่ใช่อรรถคดี หรือให้ตุลาการ "ตั้งธง" ไว้ล่วงหน้าในคดีการเมือง เหล่านี้ ไม่ใช่การใช้อำนาจตุลาการมาถ่วงดุลอำนาจบริหาร และนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นการผลักดันให้องค์กรตุลาการ เข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างพรรคฝ่ายต่างๆ โดยตรง ให้องค์กรตุลาการ "เลือกข้าง" แสดงทัศนะที่ไม่ใช่อรรถคดี กระทั่งพิพากษาคดีการเมืองไปในแนวทางที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนและทำลายคู่ปรปักษ์
คนพวกนี้คำนึงแต่เป้าหมายเฉพาะหน้า ใช้วิธีการต่อสู้แบบไหนก็ได้ อ้างทฤษฎีแนวคิดลอยๆ ที่ปั้นขึ้นเอง หรือที่ไปบิดเบือนมาจากตำราแล้วบัญญัติเป็นศัพท์ใหม่ๆ หรูๆ มีความหมายบิดเบี้ยวอย่างไรก็ได้ ให้บรรลุเป้าหมายการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นอำนาจนิยมขวาจัดของพวกตนเป็นพอ
ไม่คำนึงว่า "ตุลาการภิวัตน์" ที่พวกตนเรียกร้องจะทำลายความน่าเชื่อถือ ขององค์กรตุลาการ สั่นคลอนความเชื่อมั่น ของประชาชน ทำให้องค์กรตุลาการแปดเปื้อนทางการเมือง และอาจลงท้ายเป็น "ระบอบตุลาการธิปไตย" ที่องค์กรตุลาการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่เหนือฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|