คณิตศาสตร์ของเสียงข้างมาก คอลัมน์ ดุลยภาพดุลยพินิจ โดย รศ.ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์
มติชนรายวัน วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10301
ที่มา :
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2006q2/2006may24p1.htm--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กติกาประชาธิปไตยมีจุดเด่นอยู่ประการหนึ่งคือการตัดสินใจมาจากระบบที่เปิดกว้างให้กับเสียงของมหาชน มิใช่จากอำนาจของ
กลุ่มผลประโยชน์เฉพาะ (special interest group) การเลือกตั้งที่ถือเอาเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ จึงเป็นเทคนิคทั่วไป ที่ใช้แยกแยะว่า
การตัดสินใจควรจะเป็นไปในทิศทางใด หรือใครควรทำหน้าที่ให้เป็นไปตามนั้น
ประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน (Representative Democracy) อาศัยตัวแทนที่เสียงข้างมากเลือกเข้าไปทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติ
แล้วสรรหาฝ่ายบริหารอีกทอดหนึ่ง
แต่กระบวนการของระบอบประชาธิปไตยมิได้มีความยาวที่สั้นเพียงเท่านี้
ในทางรัฐศาสตร์ การเลือกตั้งเป็นการสร้างการปกครองของเสียงข้างมาก (Majority Rule)
ที่ในขณะเดียวกัน อาจนำไปสู่ปัญหาการละเมิดสิทธิของเสียงข้างน้อย (minority right)ในทางเศรษฐศาสตร์ ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะแม้จะเหนือกว่าเพียงเล็กน้อยหรือไม่ก็ตาม จะมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย
และการจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐทั้งหมด ซึ่งสำหรับสังคมที่ภาคประชาชนมีความอ่อนแอหรือขาดความตื่นตัวทางการเมือง
กลุ่มผลประโยชน์จะมีอิทธิพลเหนือเสียงของประชาชน ส่งผลให้การบริหารประเทศ มิได้มุ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนโดยรวม
ตามเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตย
ดังนั้น โครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยจึงจำเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) เป็นองค์ประกอบหลักเสมอไม่เหมือนธุรกิจเอกชนของบางประเทศที่ขาดธรรมาภิบาลปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย และกระทำตนเป็นผู้ชนะ
ที่ครอบงำผลประโยชน์เสียทั้งหมด (The winner takes all)
การเมืองไทยเคยประสบความยุ่งยากในยุครัฐบาลผสม ระบบพรรคการเมืองมีความอ่อนแอ เต็มไปด้วยปัญหาพรรคเล็กพรรคน้อย
และนักการเมืองย้ายพรรค ซึ่งสภาพเหล่านั้นมองกันว่าสร้างปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความต่อเนื่องในการบริหารประเทศ
การที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งประกาศใช้เมื่อปี 2540 ได้วางเงื่อนไขให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทบัญชีรายชื่อ
สำหรับพรรคขนาดกลางและใหญ่ การบังคับให้สังกัดพรรคและห้ามย้ายพรรค ต่างถือได้ว่าต้องการพ้นจากความล้มเหลว ของการบริหารที่อ่อนแอ
ประชาชนทั่วๆ ไปเริ่มรู้สึกสบายใจที่มีรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากและเข้มแข็ง เพราะให้นัยว่าการบริหารประเทศจะราบรื่นและมั่นคง
โดยไม่มีอุปสรรค ในขณะที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยทีเดียว ที่สนับสนุนผู้ครองอำนาจถึงกับเชื่อว่า ประชาธิปไตย หมายถึงกติกาที่วัดกันง่ายๆ
ด้วยเส้นแบ่งตัวเลขที่ร้อยละ 50
ผู้มีอำนาจทางการเมืองดูจะมีอาการหนักไม่น้อยเมื่อชี้นำว่าอำนาจในระบอบประชาธิปไตยควรแปรผันตามจำนวนเสียงสนับสนุน
กล่าวคือยิ่งมีเสียงสนับสนุนมากเช่นมี 11 ล้านเสียง การใช้อำนาจยิ่งชอบธรรมมากตามไปด้วยเมื่อการถ่วงดุลถูกมองว่าเป็นเพียงอุปสรรคที่กีดขวางการทำงานของรัฐบาล
ประชาธิปไตยจึงถูกตีความ ให้เดินไปในทิศทางของอำนาจนิยมที่จริงแล้ว ระบอบเสียงข้างมากที่เด็ดขาด (Supermajority Rule) มิใช่ประชาธิปไตย เพราะเป็นระบบที่ขาดการถ่วงดุล
ไม่เปิดกว้าง ไม่จำเป็นต้องรับฟังเสียงที่แตกต่าง และไม่ต้องเคารพในสิทธิของผู้อื่น
เป็นระบอบที่สร้างความขัดแย้งแตกหัก แทนที่จะเป็นการประนีประนอมเพื่อให้สังคมเจริญก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน ของทุกภาคส่วนได้
อีกทั้งยังเป็นอันตรายหากยกระดับไปสู่การครอบงำความรู้สึกนึกคิดของประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ล้มเหลวอย่างมาก ไม่เพียงแต่ในส่วนของการขาดกลไกในการส่งเสริมการพัฒนาระบบพรรคการเมือง
และการสร้างประชาธิปไตยภายในพรรค หากยังขาดกติกาที่จะป้องกันมิให้ระบอบเสียงข้างมาก แปรสภาพเป็นระบอบอำนาจนิยม
ซึ่งอยู่คนละฟากกับประชาธิปไตย
การบริหารเศรษฐกิจในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ขาดการรับฟังความเห็นที่แตกต่างออกไป มีการสร้างกระบวนการกำหนดนโยบาย
ที่คิดกันเอง ฟังกันเอง ปฏิบัติกันเอง และประเมินผลกันเองภายในแกนนำของรัฐบาลผู้ครองเสียงข้างมากจนล้นหลาม
นโยบายเศรษฐกิจที่เป็นผลผลิตของกระบวนการเช่นนี้ยากที่จะมีความยั่งยืน เพราะต้องเปลี่ยนแปลงไปคนละทิศละทาง
เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลในเวลาต่อมา
ความจริงแล้ว การยอมรับความคิดเห็นที่หลากหลายหรือการประนีประนอมระหว่างฝ่ายต่างๆ เป็นแนวทางสำคัญของกระบวนการ
กำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้ระบบประชาธิปไตยทางตรง มีการถ่วงดุลระหว่างรัฐสภากับฝ่ายบริหาร
สูงกว่าที่เข้าใจกัน อีกทั้งยังมีการถ่วงดุลมากกว่าของประเทศไทยที่โดยหลักการแล้วรัฐสภาเป็นสถาบันที่ให้กำเนิดฝ่ายบริหาร
เกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ของเสียงข้างมากก็มีความละเอียดอ่อนกว่ากรณีของไทย
ประธานาธิบดีสหรัฐ ถูกกำกับโดยกติกาให้จำเป็นต้องประนีประนอมกับรัฐสภา ไม่เพียงแต่ในเรื่องของงบประมาณเท่านั้น
การจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีกับต่างประเทศจะต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วยเสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3
มิใช่ตัวเลขกึ่งหนึ่งเหมือนที่มักใช้กัน
การพิจารณากฎหมายและการจัดทำประชาพิจารณ์ในรัฐสภาสหรัฐ มิได้ยึดหลักคณิตศาสตร์ เพื่อประโยชน์ของเสียงข้างมากแต่ฝ่ายเดียว
มีการให้เกียรติฝ่ายเสียงข้างน้อย ในการดำเนินงานทางการเมือง และการมีบทบาทสำคัญในกรรมาธิการชุดต่างๆในขณะที่ในประเทศไทย รัฐบาลเสียงข้างมากตีความเองว่าการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีเป็นเอกสิทธิ์ของฝ่ายบริหาร
แม้ว่าจะตีความได้ว่าข้อตกลงนั้นอาจกระทบต่อความเป็นอธิปไตยหรืออาจต้องมีการอนุวัตกฎหมายในอนาคตตามมาก็ตาม
รัฐบาลไทยสามารถดำเนินการได้โดยไร้การถ่วงดุลใดๆ ไม่ต้องแม้แต่จะขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
การประชาพิจารณ์เป็นเพียงพิธีกรรมที่มิได้มีความหมายแท้จริง ส่วนในการกำหนดกรรมาธิการ ฝ่ายเสียงข้างมากเป็นผู้เลือก-
ส่วนที่พึงพอใจที่สุดก่อน และไม่จำเป็นต้องให้เกียรติฝ่ายอื่นๆนักการเมืองในสหรัฐ ตระหนักกันว่าการแข่งขันทางการเมืองอาจทำให้ผู้ชนะกลายเป็นผู้แพ้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้โดยง่าย
ความมีมารยาทและการให้เกียรติกันในทางการเมืองจึงมีความสำคัญ
ในขณะที่นักการเมืองไทยมักมีทัศนคติที่แตกต่างออกไป
อำนาจทางการเมืองนั้นมาจากการกีดกันฝ่ายตรงกันข้าม
มิใช่การยกระดับความสามารถของตนเอง ถ้าได้เสียงข้างมากก็จะต้องหาทางทำให้ได้เสียงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
โดยไม่สนใจว่าจะแลดูสง่างามหรือไม่
คณิตศาสตร์ของเสียงข้างมากกลายเป็นข้ออ้างง่ายๆ ไว้รับใช้อำนาจนิยม เอื้อโอกาสให้ผู้ที่มีอำนาจอยู่แล้วมีอำนาจมากขึ้น
และใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ
ผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง จึงควรเคร่งครัดในวิถีทางประชาธิปไตยที่แท้จริง
ไม่พึงอ้างว่าการเลือกตั้งที่ตนคิดว่าถูกต้องแล้วคือ คำตอบของระบอบประชาธิปไตย ไม่มีใครเลยที่ถูกต้องเท่า
ยิ่งไม่ควรทึกทักว่าการเลือกตั้งที่มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวสมัคร หรือเลือกตั้งแล้วได้รัฐสภา
ที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวก็เป็นประชาธิปไตยตามไปด้วย
การเลือกตั้งนั้นเป็นเทคนิควิธีการที่ต้องมีการเปิดกว้าง ตรงไปตรงมาในสายตาของทุกๆ ฝ่าย
ปราศจากวาระซ่อนเร้นที่เลือกปฏิบัติหรือมุ่งสร้างความชอบธรรมให้แก่อำนาจนิยม
มิฉะนั้นแล้ว การเลือกตั้งจะให้ผลที่ไม่เป็นที่ยอมรับและกลายเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
แม้จะมีผู้ชนะที่ได้รับการชูมือจากคณะกรรมการเลือกตั้ง ตามเกณฑ์คณิตศาสตร์ของเสียงข้างมากครบถ้วนหรือไม่ก็ตาม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ : บทความนี้มีเนื้อหาส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับที่ผมกำลังอยากเขียนอยู่พอดี
เมื่อพบว่ามีผู้เขียนแล้วค่อนข้างตรงกัน ก็เลยนำมาเผยแพร่เสียเลยครับ
เพราะเนื้อหาปรากฎในเว็บข่าวสาธารณะอยู่แล้ว ผู้เขียนคงไม่หวงห้าม