ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 06:33
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  จีนไล่ sterilize เงินร้อน /ความวุ่นวายทั่วโลกเกิดจาก USA ต้องแก้ที USA !!! 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
จีนไล่ sterilize เงินร้อน /ความวุ่นวายทั่วโลกเกิดจาก USA ต้องแก้ที USA !!!  (อ่าน 2212 ครั้ง)
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« เมื่อ: 27-06-2008, 21:05 »

อย่างที่ ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ พูดไว้เสมอนับแต่ปี 2546 ว่า ภาคการเงินโลกเติบโตจนเกินขนาดภาคเศรษฐกิจจริง  อเมริกาเป็นต้นเหตุของปัญหาทุกอย่างเวลานี้ ตั้งแต่เงินเฟ้อ ราคาน้ำมันพุ่ง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่ง จากการพิมพ์เงินดอลล่าร์ออกมาใช้จ่ายมือเติบ ทั้งช้อปปิ้ง ก่อสงคราม ล่าสุดเหมือนจงใจให้บรรดา hedge funds ออกไปไล่ล่าเก็งกำไรทั่วโลก  แต่ตัวเองตระบัดสัตย์หลักการค้าเสรีที่สั่งสอนมาตลอด ด้วยการปิดกั้นการเทคโอเวอร์จากประเทศอาหรับ และจีน

เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย (และไทย ในดีกรีที่น้อยกว่า) กำลังโดนเงินเฟ้อเล่นงานอย่างหนัก ทั้งราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ จนกระทั่งอาจมีปัญหาขาดดุลการชำระเงินได้  ทำให้เงินไหลหนีออกไปหาที่ที่ปลอดภัยกว่า ในที่นี้คือ จีน

เดือนเม.ย.-พ.ค. ที่ผ่านมา เงินทุนสำรองฯของจีน พุ่งรวดเดียวกว่า 100,000,000,000 ดอล ไปถึง 1,800,000,000,000 ดอล (ล้านแปดแสนล้าน) ในจำนวนนี้ตั้งแต่ครึ่งปีแรกมีประมาณ 200,000,000,000 เป็นเงินระยะสั้นหรือเงินร้อน  แบงก์ชาติจีนใช้การ sterilize หรือการออกมาตรการบังคับธนาคารให้ตั้งกันสำรองในปริมาณสูง เพื่อไม่ให้เงินพวกนี้หลุดเข้าไปในระบบแล้วไปเพิ่มปริมาณเงิน ทำให้กระตุ้นเงินเฟ้อ และเพื่อรับมือหากมีการถอนเงินร้อนนี้ออกไป จะได้ไม่กระทบเสถียรภาพธนาคาร แต่ทว่ามาตรการแบบนี้ตามมาด้วยต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ธนาคารต้องแบกรับ (หากฝากเป็นเงินดอลล่าร์ ธนาคารจีนจะจ่ายดอกแค่ 2%) ทำให้คนยิ่งแห่ถือเงินหยวนในอัตราที่เร็วเกินไป ซึ่งจะเห็นว่าทำได้ไม่นานแน่นอน

ดังนั้น สิ่งที่คาดการณ์ได้ต่อไป คือ จีนจะค่อยๆยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมัน (ซึ่งทำไปแล้ว 18%)  การทยอยขึ้นดอกเบี้ย และปล่อยเงินหยวนค่อยๆแข็งค่าขึ้น เพื่อสู้เงินเฟ้อ ซึ่งประสบความสำเร็จไปบ้างแล้ว เวลานี้เงินเฟ้อจีนเหลือ 7.7% ล่าสุด

เวลานี้จีนส่งเสริมให้คนจีนออกไปท่องเที่ยว เรียนต่อ ช้อปปิ้ง ลงทุนทั่วโลก รวมถึงไปจับมือกับซาอุดิอาระเบีย และอาหรับเพื่อ secure แหล่งพลังงานระยะยาวเพิ่ม เพื่อระบายเงินทุนสำรองออกไป


รัฐบาลจมูกบาน ควรเตรียมรับมือโดยเร่งด่วน ควรหยุดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน และหันมาดูแลคนที่มีปัญหาหนี้สินพะรุงพะรัง และคนจนที่มีปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง จากค่าครองชีพที่พุ่งขึ้นไม่หยุด จะทำไงไม่ให้คนพวกนี้ไปก่อหนี้เพิ่ม  ตอนนี้เขาพูดกันทั่วแล้วว่ากำลัง "เผาจริง"  เพราะถ้าดอกเบี้ยขยับขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะกระทบมาที่เสถียรภาพสังคม !!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2008, 20:09 โดย 温总理粉丝 » บันทึกการเข้า

55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #1 เมื่อ: 28-06-2008, 12:01 »

ช่วงนี้ มันมีเรื่องแปลก ๆ ในตลาดโลก....

ดอลล่าห์ ทอง และ น้ำมัน ขึ้นราคาพร้อม ๆ กัน....

เคยอ่านข่าว นานแล้ว.....ให้ระวัง เรื่อง วิกฤติซัพไพรม์...ทีมันจะส่งผลต่อ บรรดา

ธุรกิจ การเงิน ใหญ่ ในอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นพวกเดียวกับ อีแร้ง ที่ บินโฉบไปโฉบมา ทั่วโลก....

บริษัท ฯ พวกนี้ ขาดทุน ขนานใหญ่ กับ กรณี ซับไพรม์....มีความเป็นไปได้...ว่า อาจจะต้องมาฟาดหัว ฟาดหาง

เอาคื่น ด้วย วิธีการชั่ว ๆ อีกครั้ง คือ การถล่ม ค่าเงิน ไล่เก็งกำไร โภคภัณฑ์ ทุกชนิด เพื่อ เอากำไร จากการเก็งกำไร

มาชดเชย ความชิบหาย....

ต้องดูกันครับ...ว่า จีน จะเอาอยู่หรือไม่....เวียดนามจะรับมือไหวหรือปล่าว....

ส่วนไทยกระทบแน่นอนครับ...ยิ่งในสภาวะ ทีมีรัฐบาลโคตรขี้เหร่ ไร้ฝีมือแบบนี้ ....

แล้วนี่ ยังจะเข้าไปวุ่นวายกับแบ็งค์ชาติอีก....เดี๋ยวคงมีคนกำไรจากค่าเงิน แต่ ประเทศ ชิบหาย กันอีกรอบ..


ผมยังมองในแง่ดี ว่าประเทศจีน คงเอาอยู่ เพราะ มีพละกำลังมหาศาลอยู่แล้ว....

ในขณะที่เวียดนาม ก็เป็นประเทศเผด็จการ ก็คงจัดการอะไรได้ง่าย....
บันทึกการเข้า
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 28-06-2008, 12:21 »

จริงๆแล้ว อเมริกา สามารถแก้ปัญหานี้ได้อยู่แล้ว คือ การยอมให้ดอลล่าร์ไหลกลับเข้าประเทศตัวเอง เพราะว่า 8 ปีที่ผ่านมา ตัวเองพิมพ์เงินออกมาในเมื่อปริมาณนับสิบล้านล้านดอล เอามาใช้จ่ายทั้งก่อสงคราม ช้อปปิ้ง ลงทุน ไปทั่ว แต่ว่าเมื่อเงินไหลไปอยู่ในมือ อาหรับ จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เอเชีย รัสเซีย เท่ากับมันติดหนี้ทั่วโลกอยู่ เขาจะเอาเงินไปลงทุนในอเมริกาซื้อสินทรัพย์ต่างๆ มันกลับบิดพลิ้วออกกฎหมายมาบล๊อกโดยอ้างความมั่นคงซะงั้น เสร็จแล้วตัวเองก็มีปัญหาซับไพรมซะเอง แล้วมันกลับใช้วิธีลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ แล้วเข้าไปอุ้มแบ๊งก์ที่เป็นตัวปัญหา ซึ่งยิ่งทำให้เงินดอลยิ่งร่วง เหมือนจงใจให้พวกกองทุนออกไปเก็งกำไรในน้ำมัน โภคภัณฑ์ต่างๆทั่วโลก ยิ่งเกิดเงินเฟ้อไปกันใหญ่  ทำให้ประเทศอื่นต้องขึ้นดอกเบี้ย เวียดนามและเอเชียเจอไปเต็มๆ ทั่วโลกเกิดปัญหา   พอน้ำมันแพงมันก็ไปบีบอาหรับให้ปั๊มน้ำมันเพิ่ม  .... เท่ากับติดหนี้ชาวบ้านแล้วชักดาบ แล้วตัวเองไปบีบคอเจ้าหนี้อีก ชั่วมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2008, 12:39 โดย 不能说的事实 » บันทึกการเข้า

นักปฏิวัติ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 330



« ตอบ #3 เมื่อ: 28-06-2008, 12:44 »


เมื่อวานนี้ ผมฟังดร.ศุภชัย เลขาอังค์ถัด ให้สัมภาษณ์ คุณสุทธิชัย หยุ่น มีประเด็นที่ผมสนใจอันหนึ่ง คือดร.ศุภชัย แก foresee ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก จะขึ้นถึง 150-200 USD เป็นระยะเวลานาน ประเด็นคือ จะทำให้ ประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง จะมีความมั่งคั่ง มีเงินสดสูง เป็นกี่เท่าๆ ของปริมาณเงินสดทั้งโลก (พูดง่ายๆ ว่ามีเงิน เยอะมากๆๆ) และอาจก่อให้เกิดปัญหา อะไรสักอย่าง ?? พอดีเวลาอาจไม่พอ คุณสุทธิชัยเปลี่ยนเป็นประเด็นเป้าหมายส่วนตัวของดร.ศุภชัยไปเสียฉิบ


ผมไม่ทราบ มีผู้รู้ตอบได้ไหม ว่าจะเกิดปัญหาอะไร หรือใครเคยได้ยินประเด็นนี้ จากแหล่งอื่น มาshare บ้างไหมครับ


 
บันทึกการเข้า

"สุดยอดกลยุทธ์ คือชนะโดยไม่ต้องรบ" ซุนวู

"ผู้นำชั้นเลิศนั้น เพียงแต่เป็นที่รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่
ชั้นรองลงมา เป็นที่รักและสรรเสริญ
ชั้นรองกว่านั้น เป็นที่เกรงกลัวและเกลียดชัง" เหล่าจื๊อ เต้าเต๋อจิง
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 28-06-2008, 17:34 »

ผมคาดว่า เงินก็คงจะเฟ้อไปเรื่อยๆ เกิดความแปรปรวนไร้เสถียรภาพ เพราะปริมาณเงินมันก็จะย้ายเข้าประเทศนั้นออกประเทศนี้อยู่อย่างนี้ คนที่มีเงินดอลล่าร์อยู่ก็หาทางเอาไปซื้อนั่น ลงทุนนี่ คงไม่อยู่เฉยๆ พวกอาหรับคงหนีไม่พ้นที่จะทำอย่างจีนเวลานี้ นั่นคือไปลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะทรัพยากรในอาฟริกา มันก็ยิ่งไปผลักให้โภคภัณฑ์ วัตถุดิบยิ่งพุ่งหนักไปอีก (ไม่งั้น ไอ้เหลี่ยมมันจะไปชักชวนมากว้านซื้อเรือกสวนไร่นาเมืองไทยเหรอ) ...... จนกว่าอเมริกามันจะยอมดูดเงินมันเองกลับประเทศมัน ด้วยการเปิดให้เข้ามาซื้อกิจการต่างๆที่มีปัญหาอะครับ เพราะอเมริกาเป็นประเทศเดียวที่จะพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้
บันทึกการเข้า

sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #5 เมื่อ: 28-06-2008, 18:07 »

เคยคิดเล่นๆ ว่าหากตอนนี้มนุษย์ยังไม่มีการประดิษฐ์เงินตรามาใช้
ยังใช้การแลกเปลี่ยนสิ่งของกันอยู่เหมือนในอดีต
ป่านนี้เราก็จะไม่มีปัญหาหลายๆ อย่างที่เรามีในปัจจุบัน
เราจะไม่ต้องทำงานงกๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เรียกว่าเงิน
ไม่ต้องสะสมเงินทองมากมายที่ใช้ไม่หมดทั้งชีวิต
มนุษย์ก็จะมีเวลาว่างมากขึ้นในการอยู่กับครอบครัว
ทำสิ่งอื่นๆ ซึ่งมีประโยชน์


คิดไปคิดมา มนุษย์ประดิษฐ์เงินขึ้นมาเพื่อเพิ่มความยุ่งยากให้กับตัวเองชัดๆ
เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะยกเลิกเงินตราทั้งหมดในโลก
คนจน คนรวยก็จะหายไปในพริบตา เพราะจะไม่เกิดการสะสมความมั่งคั่ง
ไม่รู้ผมคิดถูกต้องหรือเปล่า
บันทึกการเข้า
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 28-06-2008, 18:28 »

แต่ว่า การพัฒนาเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ก็จะหยุดตามไปด้วย เพราะแรงจูงใจไม่เกิด

การสร้างเงินขึ้นมาเพื่อให้เกิดสภาพคล่องในการแลกเปลี่ยน เพราะมันตีมูลค่าง่าย เก็บมูลค่าได้ ในขณะที่สินค้าบางอย่างมันเน่าเสียง่าย กว่าจะเอาไปแลกเปลี่ยนก็เป็นซากไปแล้วครับ

ที่มันวุ่นวายทุกวันนี้ เพราะเกิดความไม่สมดุลอันเกิดจากการเก็งกำไรมันเกินเหตุเกินการณ์ และการไปยึดเอาอเมริกาประเทศเดียวเป็นมาตรฐานทั่วโลก อเมริกามันก็มือเติบ พิมพ์เงินออกมาใช้จ่ายแหลก อาศัยข้อได้เปรียบว่าคนเชื่อถือมานาน ไม่ต้องมีทุนสำรองเงินตราใดๆหนุนหลัง พิมพ์ออกมามากๆ ปริมาณเงินก็ออกมามากเกินกระจัดกระจายไปทั่วโลก ในขณะที่ทรัพยากรในโลกมีจำกัด เงินก็ต้องเฟ้อจนได้
บันทึกการเข้า

sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #7 เมื่อ: 28-06-2008, 18:56 »

แต่ว่า การพัฒนาเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ก็จะหยุดตามไปด้วย เพราะแรงจูงใจไม่เกิด

การสร้างเงินขึ้นมาเพื่อให้เกิดสภาพคล่องในการแลกเปลี่ยน เพราะมันตีมูลค่าง่าย เก็บมูลค่าได้ ในขณะที่สินค้าบางอย่างมันเน่าเสียง่าย กว่าจะเอาไปแลกเปลี่ยนก็เป็นซากไปแล้วครับ

ที่มันวุ่นวายทุกวันนี้ เพราะเกิดความไม่สมดุลอันเกิดจากการเก็งกำไรมันเกินเหตุเกินการณ์ และการไปยึดเอาอเมริกาประเทศเดียวเป็นมาตรฐานทั่วโลก อเมริกามันก็มือเติบ พิมพ์เงินออกมาใช้จ่ายแหลก อาศัยข้อได้เปรียบว่าคนเชื่อถือมานาน ไม่ต้องมีทุนสำรองเงินตราใดๆหนุนหลัง พิมพ์ออกมามากๆ ปริมาณเงินก็ออกมามากเกินกระจัดกระจายไปทั่วโลก ในขณะที่ทรัพยากรในโลกมีจำกัด เงินก็ต้องเฟ้อจนได้


คุณ 不能说的事实
ผมลองนึกภาพต่อนะ
หากเราไม่ต้องขวนขวายทำงานงกๆ เพื่อสะสมความมั่งคั่ง
เราก็จะมีเวลาเหลือที่จะคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ที่พอกับความต้องการของมนุษย์
แต่ไม่ใช่คิดค้นเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการสะสมความมั่งคั่งอย่างที่ทำทุกวันนี้
เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ที่พอเหมาะกับความจำเป็นของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ดี
สิ่งที่เกินความจำเป็นของมนุษย์มันเป็นไปเพื่อการสะสมเท่านั้น
บันทึกการเข้า
sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #8 เมื่อ: 28-06-2008, 20:24 »

ผมว่าปัญหาสัก 80% ของโลกทุกวันนี้ เมื่อสาวย้อนหลังกลับไปล้วนพบว่ามาจากเงินทั้งนั้น
ทางรอดเดียวของมนุษย์ชาติคือการลดการพึ่งพาเงิน ลดการเอาตัวเองไปผูกติดกับเงินเอาไว้
ชีวิตจึงจำเป็นอิสระ ปัญหาต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น
ลองคิดดูแล้วกันครับว่าจริงหรือเปล่า
ลองนึกภาพโลกที่ไม่มีเงินตราดูสิครับว่ามันสงบมากกว่านี้แค่ไหน
บันทึกการเข้า
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 28-06-2008, 20:27 »

จริง แต่ขณะนี้ยังคิดรูปแบบอื่นไม่ออก เพราะทุกคนถลำลึกไปหมดแล้ว
บันทึกการเข้า

นักปฏิวัติ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 330



« ตอบ #10 เมื่อ: 29-06-2008, 01:18 »

คุณ Sleepless ผมแนะนำ หนังสือ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" (Sustainable Development) ของท่าน พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ถึงแม้จะเก่า แต่เนื้อหาไม่ล้าสมัย สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง 

จะเข้าใจภาพของการพัฒนา อย่างยั่งยืนที่ผมอยากให้ผู้นำทั่วโลกได้อ่าน (ไม่ทราบว่ามีฉบับแปล เป็นภาษาอังกฤษหรือยัง  Winkถ้าผมเก่งหน่อย แปลเองไปแล้ว)
บันทึกการเข้า

"สุดยอดกลยุทธ์ คือชนะโดยไม่ต้องรบ" ซุนวู

"ผู้นำชั้นเลิศนั้น เพียงแต่เป็นที่รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่
ชั้นรองลงมา เป็นที่รักและสรรเสริญ
ชั้นรองกว่านั้น เป็นที่เกรงกลัวและเกลียดชัง" เหล่าจื๊อ เต้าเต๋อจิง
นักปฏิวัติ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 330



« ตอบ #11 เมื่อ: 29-06-2008, 01:28 »

ผมคาดว่า เงินก็คงจะเฟ้อไปเรื่อยๆ เกิดความแปรปรวนไร้เสถียรภาพ เพราะปริมาณเงินมันก็จะย้ายเข้าประเทศนั้นออกประเทศนี้อยู่อย่างนี้ คนที่มีเงินดอลล่าร์อยู่ก็หาทางเอาไปซื้อนั่น ลงทุนนี่ คงไม่อยู่เฉยๆ พวกอาหรับคงหนีไม่พ้นที่จะทำอย่างจีนเวลานี้ นั่นคือไปลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะทรัพยากรในอาฟริกา มันก็ยิ่งไปผลักให้โภคภัณฑ์ วัตถุดิบยิ่งพุ่งหนักไปอีก (ไม่งั้น ไอ้เหลี่ยมมันจะไปชักชวนมากว้านซื้อเรือกสวนไร่นาเมืองไทยเหรอ) ...... จนกว่าอเมริกามันจะยอมดูดเงินมันเองกลับประเทศมัน ด้วยการเปิดให้เข้ามาซื้อกิจการต่างๆที่มีปัญหาอะครับ เพราะอเมริกาเป็นประเทศเดียวที่จะพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้

zia zia
บันทึกการเข้า

"สุดยอดกลยุทธ์ คือชนะโดยไม่ต้องรบ" ซุนวู

"ผู้นำชั้นเลิศนั้น เพียงแต่เป็นที่รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่
ชั้นรองลงมา เป็นที่รักและสรรเสริญ
ชั้นรองกว่านั้น เป็นที่เกรงกลัวและเกลียดชัง" เหล่าจื๊อ เต้าเต๋อจิง
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 30-06-2008, 20:29 »

ผมคาดว่า เงินก็คงจะเฟ้อไปเรื่อยๆ เกิดความแปรปรวนไร้เสถียรภาพ เพราะปริมาณเงินมันก็จะย้ายเข้าประเทศนั้นออกประเทศนี้อยู่อย่างนี้ คนที่มีเงินดอลล่าร์อยู่ก็หาทางเอาไปซื้อนั่น ลงทุนนี่ คงไม่อยู่เฉยๆ พวกอาหรับคงหนีไม่พ้นที่จะทำอย่างจีนเวลานี้ นั่นคือไปลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะทรัพยากรในอาฟริกา มันก็ยิ่งไปผลักให้โภคภัณฑ์ วัตถุดิบยิ่งพุ่งหนักไปอีก (ไม่งั้น ไอ้เหลี่ยมมันจะไปชักชวนมากว้านซื้อเรือกสวนไร่นาเมืองไทยเหรอ) ...... จนกว่าอเมริกามันจะยอมดูดเงินมันเองกลับประเทศมัน ด้วยการเปิดให้เข้ามาซื้อกิจการต่างๆที่มีปัญหาอะครับ เพราะอเมริกาเป็นประเทศเดียวที่จะพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้


เมื่อวานนี้ ผมฟังดร.ศุภชัย เลขาอังค์ถัด ให้สัมภาษณ์ คุณสุทธิชัย หยุ่น มีประเด็นที่ผมสนใจอันหนึ่ง คือดร.ศุภชัย แก foresee ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก จะขึ้นถึง 150-200 USD เป็นระยะเวลานาน ประเด็นคือ จะทำให้ ประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง จะมีความมั่งคั่ง มีเงินสดสูง เป็นกี่เท่าๆ ของปริมาณเงินสดทั้งโลก (พูดง่ายๆ ว่ามีเงิน เยอะมากๆๆ) และอาจก่อให้เกิดปัญหา อะไรสักอย่าง ?? พอดีเวลาอาจไม่พอ คุณสุทธิชัยเปลี่ยนเป็นประเด็นเป้าหมายส่วนตัวของดร.ศุภชัยไปเสียฉิบ


ผมไม่ทราบ มีผู้รู้ตอบได้ไหม ว่าจะเกิดปัญหาอะไร หรือใครเคยได้ยินประเด็นนี้ จากแหล่งอื่น มาshare บ้างไหมครับ


 

ลองอ่านบทความนี้ดูครับ ผู้เขียนมองมุมเดียวกันว่า อเมริกาจะต้องเป็น "ดูดสภาพคล่อง" ทั้งหลายแหล่ที่ตัวเองก่อขึ้นกลับไปอเมริกา และต้องชดใช้หนี้สินแก่ชาวโลก ด้วยการยอมให้ Sovereign Wealth Funds ไม่ว่าจาก จีน สิงคโปร์ อาหรับ เกาหลี เข้าไปเทคโอเวอร์กิจการต่างๆ เป็นการใช้หนี้ที่ตัวเองติดชาวบ้าน (ตลอดมาพิมพ์กระดาษจ่าย แต่ตัวเองไม่ยอมผลิตอะไร) เงินดอลล่าร์จะได้ไหลกลับอเมริกา เป็นการหยุดยั้งวิกฤติการณ์ดอลล่าร์, วิกฤติราคาน้ำมัน, วิกฤติเงินเฟ้อ ทั่วโลก

จะตัดเฉพาะใจความสำคัญ


How to stop the Great Crash of '08

By Spengler
Jul 1, 2008

http://www.atimes.com/atimes/Global_Economy/JG01Dj07.html

By catastrophic breakdown, I mean a well-defined chain reaction:
# Markets expect economic growth to decline as oil prices rise.
# American financial institutions, whose market capitalization has fallen by almost half in the past year, sustain higher default rates from households and firms, leading to some failures.
# Credit availability shrinks as banks come under pressure, raising the default rate.
# The price of household assets (real estate and stocks) continues to decline, destroying their creditworthiness.
# Markets expect the Fed to continue to ease monetary policy and offer unlimited liquidity to all comers, as it did with the mid-March bailout of Bear, Stearns.
# Investors turn away from falling equity markets and buy inflation hedges, pushing oil and commodity prices up further.

Monetary ease is a medicine whose side-effects have become worse than the disease. Blaming "speculators" for rising oil prices is cheap demagoguery. Pension funds have invested hundreds of billions of dollars in commodity index funds during the past two years to hedge against inflation. The more the Fed debases the dollar, the more money shifts away from the stock market into inflation hedges. The data leave no doubt of this.

There is a visible long-term relationship between oil and the dollar

US$ trade-weighted index vs oil price, 1973 to present


The dollar collapse and oil price spike of today mimics the dollar's fall and the oil price surge at the end of the feckless administration of Jimmy Carter, and stopped when the Fed tightened monetary policy between 1979 and 1982. Therein lies a lesson.

..........................

The position of American households is so fragile that major institutions might fail. Washington Mutual, America's largest thrift institution, is now trading at a tenth of its 2007 stock price. It is not clear whether any other institution is willing, or indeed able, to take it over.

Federal Reserve chairman Ben Bernanke knows that something has gone dreadfully wrong. He spent the month of June threatening to do something about the sagging dollar and soaring commodity prices, until the market concluded last week that he was bluffing. Bernanke simply doesn't have the nerve to raise interest rates into a weakening economy.

Under parallel circumstances, then Fed chairman Paul Volcker did precisely that in 1979, bringing the central bank's lending rate up to 20% over two years of tightening. Inflation under the Carter regime had run out of control, the dollar collapsed, and the price of oil rose to a then menacing $40 per barrel. After Volcker tightened monetary policy the dollar's trade-weighted exchange rate doubled and the price of oil fell sharply.

At the same time, the Ronald Reagan administration cut marginal tax rates sharply, and the American economy began a quarter-century growth cycle. Lax monetary policy had produced stagflation instead of growth, but tax cuts succeeded. The costs, to be sure, were painful - 1,600 American banks and a similar number of savings and loans failed between 1980 and 1994, at a cost of $160 billion to taxpayers. America sustained its worst economic downturn since the Great Depression, with an unemployment rate of 11% in 1980.

The present crisis, sadly, is far less tractable. Top marginal income tax rates of 70% in 1981 were the equivalent of banging your head against the wall. It felt good when you stopped. With the top federal rate at roughly half the 1981 level, it is hard to argue that lower tax rates will buoy economic activity. Home ownership, moreover, offered a hedge against inflation, and rising home prices sustained household net worth.

Today's crisis, by contrast, threatens the solvency of households. After a quarter-century of taking on debt, home prices are collapsing. Americans, moreover, have saved nothing during the past decade, borrowing an annual sum from foreigners that amounted to $1 trillion in 2007. The crisis of household solvency became a banking crisis through the collapse of the market for lower-quality (subprime) mortgages, and threatens to metastasize into something much broader. That is the message the markets delivered during June.

There is no way to avoid some economic pain. America is in a recession and will stay in a recession for a while. The only question is whether it will come out of the recession in one piece.

The most urgent task is to restore the financial standing of households.

...........................

3. Raise short-term interest rates to stabilize the dollar.

With inflation running at 3-4% today rather than at 12% in the aftermath of the Carter administration, an increase in the central bank's short-term rate, say, to 4%, probably would have a big impact on the dollar exchange rate as well as commodity prices. Today's 2% rate helps no one and hurts everyone except commodity producers.

4. Allow sovereign funds to buy American banks.

American banks don't have enough capital, and the unraveling of the leverage pyramid as well as the weakening economy conspire to reduce the capital they have. With their stock prices falling, they have difficulty raising more capital from their existing shareholders. Someone has to recapitalize the banks, and the market will not do so until excruciating levels of distress have registered.

There is no shortage of capital, though; the Fed's liquidity binge has put trillions of dollars into the hands of sovereign wealth funds maintained by exporting nations. It is painful to allow the crown jewels to fall into foreign hands. Ask Thailand, which kept foreign investors out of its banking system until the 1997 collapse, and afterward welcomed them in. Americans either can swallow their pride, or tighten their belts.

This brief list does not cover such weighty matters as energy policy, bank regulatory policy, and so forth, but it indicates the sort of turnabout that America requires. Americans have to change their lives. There are two ways to do this. The federal government can provide incentives to do so, or the market can compel a change in behavior using the instruments of torture at its disposal.




สรุปว่า ทุกวันนี้อเมริกาใช้การซื้อเวลาเพื่ออุ้มแบ๊งก์เน่าๆของตัวเอง เพื่อเลือกที่จะไม่ถูกเทคโอเวอร์จากชาติเจ้าหนี้ เพราะตัวเองจะเสียความเป็นเจ้าทางการเงินโลก ซึ่งเป็นการบิดพลิ้ว "หลักการการค้าเสรี" ที่ตัวเองเทศนาไปทั่วโลก รวมทั้งที่มันเทศนาไทยให้เปิดเสรีภาคการเงิน

คำตอบอยู่ที่ อเมริกา   ไม่ใช่ จีน เอเชีย หรืออาหรับ อย่างที่อเมริกาโยนกลองมาตลอด
บันทึกการเข้า

นักปฏิวัติ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 330



« ตอบ #13 เมื่อ: 30-06-2008, 23:47 »

ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูล (ผมต้องกลับไป ระลึกชาติ ความรู้เศรษฐศาสตร์ก่อน ถึงจะรู้เรื่อง  Laughing) Cool

แต่เรื่อง US นี่ ยิ่งรู้มากขึ้น ยิ่งเข้าใจ บินลาดิน จริงๆ Cool
บันทึกการเข้า

"สุดยอดกลยุทธ์ คือชนะโดยไม่ต้องรบ" ซุนวู

"ผู้นำชั้นเลิศนั้น เพียงแต่เป็นที่รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่
ชั้นรองลงมา เป็นที่รักและสรรเสริญ
ชั้นรองกว่านั้น เป็นที่เกรงกลัวและเกลียดชัง" เหล่าจื๊อ เต้าเต๋อจิง
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #14 เมื่อ: 01-07-2008, 00:58 »

แล้วคุณท่านยูเอสเออีจะยอมแก้หรือคะ ทั่นบุชเป็นพวกบ้าอำนาจ กระหายสงครามด้วยเนี่ยะ ทำไปทำมา นอกจากทำให้ประเทศตัวเองเจ๊งแล้ว ชาวประชาทั่วโลกก็เดือดร้อนไปด้วย แต่ตัวต้นเหตุยังสุขสบายดี 

รอดูฝีมือโอบามา ถ้าได้รับเลือก

บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 01-07-2008, 08:32 »

ไม่ต้องไปพูดถึงบุชแล้ว ตอนนี้มันอยู่ในสถานะ lame duck หรือลูกเป็ดขี้เหร่ใกล้จะไปแล้ว ไม่มีใครฟังมันแล้ว  เชื่อว่าใครขึ้นมาก็ต้องยอม ไม่งั้นอเมริกาก็จะทรุดลงไปเรื่อยๆ เพราะตัวเองใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย(ลดดอกเบี้ย+เพิ่มปริมาณเงิน) แล้วภาวนาให้ผู้บริโภคฟื้นกับแบ๊งก์ฟื้น  แต่แบ๊งก์จะฟื้นไม่ได้ถ้าผู้บริโภคอเมริกันไม่ฟื้น หรือไม่มีเงินใหม่ๆเข้ามา ซึ่งเงินใหม่ๆที่ดีที่สุดก็คือ เงินดอลล่าร์จากจีน อาหรับ สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น  ไม่ใช่มาจากการพิมพ์เงินเพิ่มของเฟด ทำให้เงินดอลตก น้ำมันพุ่ง โภคภัณฑ์พุ่ง ลูกหนี้ก็เน่าต่อ แบ๊งก์เน่าต่อ วนเวียนไม่จบ ....... ส่วนประเทศเล็กๆในเอเชียก็จะเจริญรอยตามเวียดนาม คือ ขาดดุลการค้าแล้วลามไปที่ดุลการชำระเงินแล้วก็ต้องกลับไป IMF  ในขณะที่จีนก็ไล่บล๊อกเงินร้อนจนไปกระทบภาคการผลิต ทำให้โรงงานและการจ้างงานมีปัญหาตามมา

ที่ผ่านมาเหมือนกับ Ponzi's Scheme (อ่าน ปอนไซ สคีม) คือ อเมริกาและเอเชียเล่นเกมแชร์ลูกโซ่กันเอง


ผมเอาประเด็นเดียวกันไปแชร์และถกเถียงกับชาวสิงคโปร์ ในนาม tai gok nang (泰国人)  สนุกดี

US is the last answer to avoiding crash on world economy
http://sgforums.com/forums/10/topics/322740
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2008, 12:35 โดย 温总理粉丝 » บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: