บัวแก้วแจงศาลปค.ไทยหมดสิทธิ์ทวงคืนเขาพระวิหารแล้ว
อธิบดีกรมสนธิสัญญาณฯ ตัวแทน"นพดล" ให้การศาลปกครองคดีเขาพระวิหาร ยอมรับไทยเสียสิทธิ์การทวงคืนพื้นที่เขาพระวิหารแล้วตามธรรมนูญศาลโลก อ้างกระทรวงต่างประเทศฮีโร่ลงนามข้อตกลงร่วมเพื่อคงไว้ซึ่งการบริหารพื้นที่ทับซ้อน ระบุหากไม่ลงนามเขมรฉวยโอกาสใช้แผนที่รุกล้ำพื้นที่ไทยยื่นยูเนสโกเอง ไทยต้องเสียอธิปไตย กระทบการบริหารราชการแผ่นดิน
ที่ศาลปกครองกลาง ถ.สาทรใต้ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 มิ.ย. นายประวิตร บุญเทียม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครอง , นายณัฐ รัฐอมฤต และนายชาชิวัฒน์ ศรีแก้ว ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวน คดีเขาพระวิหาร ออกนั่งบัลลังก์ ไต่สวนฉุกเฉิน คดีดำที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ , นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับพวกรวม 9 คนซึ่งเป็นทนายความและนักสิทธิมนุษยชน ร่วมกันยื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ และ คณะรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1- 2 เรื่องกระทำการโยมิชอบด้วยกฎหมาย กรณีที่นายนพดล รมว.ต่างประเทศ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย กัมพูชา พร้อมแผนที่แนบ ลงวันที่ 18 มิ.ย. ขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลก ที่จะมีการเสนอแถลงการณ์ต่อองค์การยูเนสโก ในวันที่ 5 ก.ค.นี้ ฃ
ผู้ฟ้องนำเอกสารหลักฐานจำนวนมาก ที่เกี่ยวข้องกับทางประวัติศาสตร์ของปราสาทพระวิหาร ซึ่งประกอบไปด้วยแผนที่ระบุแนวเขตชายแดน และแผนที่ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน รวมถึงข้อโต้แย้งทางสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และวีซีดีรายละเอียดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านที่มีคำถอดความอย่างละเอียด มาเพื่อแสดงต่อศาลในการให้การเป็นพยาน
ขณะที่นายนพดล ผู้ถูกฟ้องที่มอบอำนาจให้นายกฤต ไกรกิติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ มาเบิกความต่อศาลโดยนำเอกสารเกี่ยวกับคำแถงการณ์ร่วม มติ ครม. และแผนที่แนบท้าย โดยนายกฤต กล่าวว่าเป็นตัวแทนของนายนพดลมาชี้แจงเนื่องจากนายนพดลติดชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่สามารถเดินทางมาศาลด้วยตนเอง ทั้งนี้ยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่เกี่ยวข้องกับการเสียดินแดน
ขณะที่ได้นำเอกสาร แผนที่ และแถลงการณ์ร่วมมาชี้แจงต่อศาลด้วย แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เช่นเดียวกันกับว่าไม่สามารถบอกได้ว่าเอกสารของผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องจะตรงกันหรือไม่
ทั้งนี้ในช่วงเช้า ศาลเริ่มไต่สวนพยานฝ่ายผู้ฟ้อง เวลา 10.00 12.00 น รวม 2 คน คือนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ผู้ฟ้องที่ 1 และนายนิติธร ล้ำเหลือ ผู้ฟ้องที่ 2 โดยฝ่ายผู้ฟ้องให้การสรุปสาระสำคัญว่า คำแถลงการณ์ดังกล่าว มีเนื้อหาที่ถือเป็นการลงนามในสนธิสัญญา เพราะเกิดขึ้นโดย ก.ต่างประเทศ ที่เป็นตัวแทนของรัฐ และ มีผลต่อความสัมพันธ์ และกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งคำแถลงการณ์ร่วม ฯ มีผลกระทบต่ออำนาจอธิไตยของประเทศ โดยการกระทำของผู้ถูกฟ้องทั้งสอง ขัดต่อหลักบริหารราชแผ่นดินที่ดีและถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะมีข้อผูกพันร่วมกัน 6 ข้อที่ส่งผลให้ไทยเสียดินแดน และละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งการขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพราะจะมีการเสนอคำแถลงร่วม ฯ ต่อองค์การยูเนสโก ระหว่างวันที่ 2-10 ก.ค.นี้ โดยหากมีการเสนอคำแถลงการณ์ร่วมต่อองค์การยูเนสโกแล้วที่จะยากที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ซึ่งก่อนหน้านี้ระหว่างไทย กัมพูชา ก็มีปัญหาเรื่องดินแดนอยู่แล้วและเวลานี้ ฝ่ายค้าน ได้เปิดอภิปรายรัฐบาล และนายนพดล รมว.ต่างประเทศอยู่ด้วย โดยฝ่ายผู้ฟ้องได้ ยื่นวีซีดี บันทึกภาพและเสียงการเปิดประชุมสภาวิสามัญต่อศาลด้วย
อย่างไรก็ดีหากผู้ฟ้องยืนยันว่าศาลมีคำสั่งคุ้มครองจะไม่เป็นการตัดสิทธิการยื่นขึ้นทะเบียน เพราะการยื่นขอขึ้นทะเบียนสามารถทำได้ทุกปี ซึ่งก่อนหน้านี้กัมพูชา เคยยื่นขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่องค์การยูเนสโกยังไม่มีคำสั่งให้ขึ้นทะเบียน
ขณะที่นายสุวัตร กล่าวภายหลังชี้แจงต่อศาลว่า ในส่วนของผู้ฟ้องศาลได้ไต่สวน 2 ปาก คือ ตนและนายนิติธร ซึ่งข้อมูลที่ตนได้ชี้แจงต่อศาลนั้น มั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าครบถ้วนและสมบูรณ์และเชื่อมั่นว่าศาลจะมีคำสั่งระงับตามที่ผู้ฟ้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนมติดังกล่าว นอกจากนี้เวลา 13.30 น. ศาลได้นัดไต่สวนในส่วนขอกระทรวงการต่างประเทศและผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 และยังมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องถ่ายสำเนาคำแถลงการณ์ร่วมพร้อมด้วยแผนที่ที่ใช้ในการทำบันทึกข้อตกลงที่นายนพดล ไปลงนาม พร้อมด้วยคำแปลและแผนที่ที่ทางกัมพูชาได้เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกมามอบให้กับผู้ฟ้อง
"ตามหลักทั่วไปแล้วผู้ถูกฟ้องคดีต้องนำสำเนาพยานและหลักฐานเอกสารทั้งหมดมามอบให้กับศาลและผู้ฟ้องเพื่อพิจารณาประกอบไปด้วยกัน แต่การมาในครั้งนี้ทางฝ่ายผู้ฟ้องไม่ได้ดำเนินการ ผมเลยขอให้ศาลสั่งให้นำหลักฐานดังกล่าวมาเปิดเผย เพราะก่อนหน้านี้ผมและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่เคยเห็นแผนที่ N1 N2 และ N3 ที่เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก แต่ผมไปได้เอกสารดังกล่าวในทางลับ จากคณะกรรมการมรดกโลกโดยตรง จึงทำให้มั่นใจว่า การต่อสู้ครั้งนี้มั่นใจว่าทุกอย่างสมบูรณ์ ร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงเชื่อวาาศาลจะเมตตา ผมไม่ทราบว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวเหตุใดต้องปกปิด ไม่ให้สาธารณชนรับรู้ เชื่อว่าหากเปิดเผยแผนที่ดังกล่าวมาทุกคนจะทราบข้อเท็จจริง นอกจากนี้ผมอยากเห็นเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวกับมติครม. เมื่อ 17 มิ.ย. เพราะเท่าที่ทราบมีการแก้ไขเพิ่มเติม และเปลี่ยนถ้อยคำจากแผนที่เป็นแผนผัง เรื่องนี้รัฐบาลปกปิดมาตลอด จึงต้องการให้เปิดเผยข้อเท็จจริงให้ทราบ นายสุวัตร กล่าว
เมื่อถามว่า หากศาลมีคำสั่งเพิกถอนดังกล่าวจะมีขั้นตอนต่อไปอย่างไร นายสุวัตร กล่าวว่า หากมีคำสั่งเช่นนั้นจริง กระบวนการต่างๆ จะตกไป และกระทรวงการต่างประเทศต้องทำหนังสือถึงองค์การยูเนสโก ว่าศาลไทยมีคำสั่งระงับในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย และเรื่องดังกล่าวจะไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เพราะทางกัมพูชายังมีสิทธิขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงโดยไทยไม่ได้ให้การรับรอง และหากปีนี้ไม่ได้เสนอปีหน้าก็สามารถเสนอขึ้นทะเบียนได้ ทั้งนี้เชื่อว่ากัพูชารอได้ เพราะทำมาหลายปีแล้ว แต่การขึ้นทะเบียนให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกจะต้องไม่เกี่ยวกับให้ไทยไปยอมรับ อย่างไรก็ตามในส่วนผู้ถูกฟ้องได้ยื่นคัดค้านการไต่สวน อ้างเหตุผล 3 ข้อ คือ 1. ผู้ฟ้องไม่มีอำนาจในการฟ้อง 2. ศาลไม่มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว 3 . ยืนยันว่าคำแถลงร่วมไม่ใช่สนธิสัญญา
ต่อมาเวลา 14.00 น. ศาลได้เริ่มการไต่สวนฝ่ายผู้ถูกฟ้อง ซึ่งนายกฤต ไกรกิติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ชี้แจงต่อศาลว่าเป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจาก นายนพดล รมว.ต่างประเทศเข้าให้การ โดยใช้เวลาไต่สวนนานกว่า 4 ชั่วโมง 30 นาที ทั้งนี้นายกฤต กล่าวว่า การลงนามคำแถลงการณ์ที่ลงวันที่ 18 มิ.ย.ระหว่างไทย กัมพูชา และผู้แทนยูเนสโกนั้นไม่ได้ ลงนามโดยพร้อมหน้ากัน แต่การลงนามจะมีนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นผู้ลงนามก่อนที่ประเทศกัมพูชา จากนั้นส่งมาให้นายนพดล รม.วต่างประเทศ เซ็นต์ที่ประเทศไทย แล้วจะส่งกลับไปให้ผู้แทนยูเนสโก ที่กรุงพนมเปญ เซ็นต์ แต่ภายหลังได้มีการส่งกลับไปให้ผู้แทนยูเนสโกเซ้นต์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยการส่งคำแถลงการณ์ร่วมให้เซ็นต์นั้นส่งไปทางจดหมายอีเล็คทรอนิกส์ ( e - mail ) ซึ่งเหตุความจำเป็นที่ต้องมีการลงนามในลักษณะดังกล่าว เป็นเพราะความรีบเร่งของประเทศกัมพูชา ไม่ใช่รัฐบาลไทย
ทั้งนี้นายกฤต ยอมรับในครั้งแรกว่า แผนที่แนบท้ายที่กัมพูชาจะใช้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกในวันที่ 18 มิ.ย.51 มีส่วนลุกล้ำพื้นที่เขตแดนของไทยในเขตพื้นที่อนุรักษ์ที่เป็นเขตทับซ้อนระหว่าง 2 ประเทศ แต่เมื่อกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่ามีลุกล้ำ กัมพูชาจึงได้เปลี่ยนคำแปลจากแผนที่เป็นแผนผัง โดย ครม. มีมติลงวันที่ 24 มิ.ย. เปลี่ยนแปลงคำแปลใหม่ในภาษาไทยว่าเป็นแผนผังแนบท้าย
แต่ทั้งนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงคำภาษาอังกฤษในแถลงการณ์ร่วมแต่อย่างใด ซึ่งยังใช้คำเดิม คือ MAP ไม่ได้เป็นคำว่า LAY OUT และไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงขอบเขตในตัวแผนผังแต่อย่างใด
นายกฤต ยังกล่าวด้วยว่า ข้อตกลงในแถลงการณ์ ไม่ใช่เป็นการสละสิทธิ การสงวนสิทธิทวงคืนปราสาทพระวิหารที่ พ.อ.ถนัด คอมันตร์ รมว.ต่างประเทศ เคยยื่นหนังสือต่อ สหประชาชาติ เมื่อปี 2505 หลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีคำตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่คำพิพากษาไม่ได้กล่าวถึงเส้นเขตแดน เพราะตามธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ระบุว่า สิทธิการทบทวนคำพิพากษานั้นจะทำได้ 6 เดือน หรือ 10 ปี หลังมีคำพิพากษา ซึ่งขณะนี้เกิดเวลาดังกล่าวแล้วคดีจึงหมดอายุความแล้ว ดังนั้นเท่ากับว่าเราไม่มีสิทธิอะไรที่จะต้องสละสิทธิ อย่างไรก็ดีนายกฤต ยอมรับด้วย หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษา และ พ.อ.ถนัด ยื่นข้อโต้แย้ง รวมเวลา 45 ปีแล้ว จนถึงวันนี้ ยังไม่มีรัฐบาลไทยชุดใดที่ยอมรับว่าปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่ต้องจำยอมตามคำพิพากษาศาลโลก และให้ถือว่าเขตพื้นที่นั้นเป็นเขตปฏิบัติการเพื่อเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกเท่านั้น โดยยืนยันจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน และยังมีข้อโต้แย้งเรื่องพื้นที่ทับซ้อนอยู่ นอกจากนี้นายกฤตปฏิเสธว่า ไม่ทราบว่าการพิจารณาร่างแถลงการร่วมฯ ครม.จะนำประเด็นการสงวนสิทธิ์ มาหารือหรือไม่
นายกฤต ยังตอบศาลด้วยว่า หากไม่มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วม ฯ แล้วกัมพูชาจะนำแผนผังเดิมที่กัมพูชาเองทำขึ้นที่แสดงการลุกล้ำเขตดินแดนไทยไปยื่นต่อยูเนสโกเอง แล้วหากมีการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ประทศไทยจะเสียดินแดนไปเลย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการบริหารราชแผ่นดิน และอธิปไตยอำนาจ สิทธิเหนือสิทธิดินแดนทับซ้อน เมื่อศาลถามว่า ข้อตกลงในคำแถลงการณ์สามารถมีเฉพาะข้อ 1 ที่เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทแล้วจะยื่นต่อยูเนสโก ได้หรือไม่ นายกฤต ตอบว่า ถ้ามีเฉพาะข้อตกลง ข้อ 1 ก็ไม่สมบูรณ์ ซึ่งข้อ 2- 6 เป็นการยืนยันสิทธิร่วมกันบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนไทย กัมพูชา
ทั้งนี้ เมื่อผู้ฟ้อง ถามว่า ข้อตกลงในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ถือเป็นการยอมรับเส้นแบ่งเขตแดน และสละสิทธิ์การบริหารพื้นที่ร่วมกันระหว่างประเทศใช่หรือไม่ นายกฤต ตอบว่า เป็นการยอมรับเส้นเขตแดน แต่ก็เป็นเฉพาะในส่วนตัวพื้นที่ปราสาทเท่านั้น ส่วนการบริหาพื้นที่ร่วมนั้น ยังเป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการพิจารณาเขตแดนร่วม ( JBC ) ระหว่างไทย กัมพูชาอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายกฤต ถูกศาลและฝ่ายผู้ฟ้องซักถาม ประเด็นรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงและแผนผังแนบเป็นเวลานานเกือบ 5 ชั่วโมง นายกฤตได้ตอบคำถามวนไปวนมาซ้ำประโยคเดิมๆว่า เขมรขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพียงเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน เพราะได้มีการเปลี่ยนแผนผังใหม่ ยืนยันไทยไม่เสียดินแดน และการลงนามแถลงการณ์ร่วมกันไม่ใช่การสละสิทธิ์ทวงคืนพื้นที่ เพราะไทยไม่มีสิทธิ์นับตั้งแต่ครบกำหนด 10 ปีหลังศาลโลกมีคำพิพากษาแล้ว จนศาลได้กล่าวกับนายกฤตว่า หากไม่รู้ในประเด็นใดให้ตอบว่าไม่ทราบ หรือไม่เข้าใจคำถามให้ถาม ภายหลังในนายกฤตให้การเสร็จแล้ว ต่อมาเวลา 19.00 น. นายเชิดชู รักตบุตร อัคราชทูตประจำกรุงปารีส ปฏิบัติราชการกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ และรับทราบข้อมูลแผนที่แนบท้ายเรื่องนี้ดีที่สุด ได้เข้าให้การต่อศาล
http://www.komchadluek.net/2008/06/26/x_main_a001_208936.php?news_id=208936ผมยังอ่อนด้อยประสบการณ์ โปรดชี้แนะด้วย