ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
27-04-2024, 17:42
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ข่าวดีสำหรับคนไทยทุกท่าน!! 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ข่าวดีสำหรับคนไทยทุกท่าน!!  (อ่าน 3400 ครั้ง)
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« เมื่อ: 25-06-2008, 09:38 »

นักวิชาการดาหน้าการันตีรัฐบาล ทำงานบนวิกฤติแต่สอบผ่านฉลุย


เวทีวิชาการวิพากษ์ “4 เดือนรัฐบาล” ดาหน้าการันตีสอบผ่านฉลุย ระบุแม้จะเจอทั้งศึกใน-ศึกนอก แต่ก็ยังทำได้ดี โดยเฉพาะผลงานกระทรวงการคลังได้คะแนนเต็มสิบ ระบุม็อบทำลายชาติยอมไม่ได้ จี้พลังเงียบออกมาได้แล้ว อย่าปล่อยให้คนส่วนน้อยยึดอำนาจอธิปไตย ด้าน “อ.จรัล” เปิดมูลนิธิสถาบันประชาธิปไตย ให้ความรู้และวิจัยองค์ความรู้ ปชต.
ท่ามกลางกระแสสังคมที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงท่าทีและบทบาทที่ไม่เหมาะสมของนักวิชาการบางกลุ่ม ที่ออกมารุมด่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งว่าไม่ชอบธรรม ขณะเดียวกันนักวิชาการบางคนก็ไปขึ้นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด่าทอรัฐบาลอย่างเสียหาย นั้น

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดเสวนา “ 4 เดือน รัฐบาลสมัคร สอบผ่านหรือสอบตก” โดยมีนายวรพล โสคติยานุรักษ์ รองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายกิตติ ลิ่มสกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผอ.สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมเสวนา

นายวรพล กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลทำข้อสอบท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม ไม่มีสมาธิ และระยะเวลายังสั้นในการทำข้อสอบ ที่สำคัญรัฐบาลยังต้องเจอกับการชุมนุมประท้วง นอกเหนือจากศึกในแล้ว รัฐบาลยังต้องเผชิญปัญหาหนักของโลกอีก 3 เรื่องคือ ปัญหาวิกฤติการเงิน วิกฤตการณ์พลังงานและวิกฤตการณ์อาหาร จึงอยากเสนอให้รัฐบาลหันมาทบทวนและเร่งดำเนินการแก้ไขโดยด่วน

โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน ที่ไทยใช้น้ำมันถึงวันละ 8 แสนบาร์เรล คิดเป็น 8 % ของจีดีพี เมื่อเทียบกับประเทศในแถบเอเชีย ไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาน้ำมันมากที่สุด รัฐบาลควรจะเร่งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการใช้น้ำมัน นอกจากนี้จะต้องเร่งสร้างระบบขนส่งมวลชนเพื่อลดการใช้รถส่วนตัว สร้างระบบขนส่งสินค้าเชื่อมต่อกัน

* ภาพรวมรัฐบาลสอบผ่าน
นายวรพล ยังเสนอแนะให้รัฐบาลส่งเสริมให้ภาคเกษตรกรปลูกพืชที่เป็นอาหารหลัก ไม่เช่นนั้นภายในปี 2553 ไทยจะประสบปัญหาวิกฤติพลังงานอย่างหนัก และอาจเป็นวิกฤติรอบใหม่ที่ร้ายแรงกว่า ปี 2540 ประกอบกับปัจจัยต่างๆ ที่ทั่วโลกประสบอยู่ไทยก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น ทั้งนี้กระทรวงหลัก 5 กระทรวง คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานที่มีรัฐมนตรีจากต่างพรรคต้องหันมาร่วมมือแก้ปัญหา

ด้าน นายกิตติ กล่าวว่า 4 เดือนรัฐบาลเมื่อเทียบกับเด็กที่กำลังเรียน อยู่ในระหว่างการสอบเก็บคะแนน ยังไม่ถึงกับสอบปลายภาคที่จะวัดผลว่า สอบตกหรือสอบได้ แต่ในภาพรวม 4 เดือน ถือว่า ครม.ชุดนี้สอบผ่าน แต่ถ้ามองเป็นรายกระทรวงพบว่า กระทรวงการคลังสอบผ่านมาตรการยกเลิกกันสำรอง 30 % ส่วนมาตรการลดภาษีถือว่าเป็นนโยบายที่ไม่รอบคอบทำให้รัฐต้องเสียเงิน 3 -4 หมื่นล้านบาท ส่วนการออกคูปองคนจนเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมสอบคะแนนได้ไม่ถึงครึ่ง ก็คือว่า สอบตก เพราะมีแค่ปรับเปลี่ยนนโยบายบางอย่างเท่านั้น ส่วนกระทรวงพาณิชย์ถือว่าพอใช้ได้ รัฐมนตรีก็พอดูแลได้ ซึ่งรัฐบาลสมัครก็เหมือนเป็น ” เรือไม้ ” ที่ต้องประสบกับคลื่นที่มาจากในและนอกรัฐบาลต้องพยายามประคองเรือให้แล่นไปได้ด้วยดี

* ซัดประชาธิปไตยของคนกลุ่มน้อย
ขณะที่ รศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าวว่า ขณะนี้คงดูยากว่ารัฐบาลสอบตกหรือสอบผ่าน เพราะเวลา 4 เดือน ซึ่งรัฐบาลชุดนี้เข้ามาพร้อมกับความคาดหวังสูงมาก แต่รัฐบาลก็มีข้อจำกัดหลายอย่างทั้งปัญหาเศรษฐกิจ การเมืองภายในและภายนอก ในส่วนของผู้ขับเคลื่อนหรือทีมบริหารประเทศก็ไม่รู้จริงไม่มีความเชี่ยวชาญ เป็นทีมสำรอง

ส่วนทีมจริงก็ติดอยู่ที่บ้านเลขที่ 111 แม้แต่ตัวนายสมัครเองก็เป็นนักการเมืองเก่า ไม่รู้เรื่องนโยบายเท่าไร ไม่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์น้อย ที่สำคัญเป็นนักการเมืองที่มีภาวะอารมณ์ที่ไม่นิ่ง เป็นคนก้าวร้าว ไม่ทำให้การเมืองสร้างสรรค์ การพูดสวนกลับก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์การเมืองดีขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของนายกฯ ซึ่งนายสมัครเป็นถึงนายกฯต้องเสียสละ สงบสติอารมณ์ เพื่อบริหารบ้านเมืองให้ดี

รศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าวว่า รัฐบาลถูกท้าทายจากปัญหาเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอก บวกกับปัญหาการเมืองนอกสภา ทำให้รัฐบาลไม่มีสมาธิในการแก้ปัญหา ถามว่า รัฐบาลหมดเวลาสอบหรือยังก็คงตอบไม่ได้ เพราะรัฐบาลทำงานเพียง 4 เดือน มีคนที่ไม่พอใจรัฐบาลก็ออกมาประท้วง ปิดถนน เอาคนไปชุมนุมปิดล้อมทำเนียบ ไม่กลับบ้าน แล้วบอกว่าหมดเวลาสอบแล้วเอาข้อสอบคืนมา

* พลังเงียบออกมาได้แล้ว
ทั้งนี้ ถ้าประสบผลสำเร็จจะเป็นความเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ซึ่งการได้ชัยชนะแบบนี้เป็นตัวอย่างที่ยอมรับไม่ได้ มันเป็นตัวอย่างที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างลึก กว้าง และยาวนานในระบอบสังคมการเมือง ไม่ได้บอกว่า รัฐบาลชุดนี้มีประสิทธิภาพสูงแต่รัฐบาลจากการเลือกตั้งจากประชาชนส่วนใหญ่ แม้ว่าตนจะไม่ได้เลือกพรรคพลังประชาชน แต่ตนก็เคารพคนอื่นที่เลือกพรรคนี้เข้ามา กลุ่มพันธมิตรเองไม่เคยพูดถึงคนส่วนใหญ่ที่เลือกตั้งพรรคนี้มาเลย มีแต่พูดถึงวาระแคบๆ ของตัวเอง มันเป็นการยึดระบอบประชาธิปไตยไทยด้วยคนกลุ่มน้อยที่มีฐานอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเราจะยอมไม่ได้

รศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้กลุ่มพลังเงียบ ถ้ายังเงียบอยู่ก็จะโดนคนกลุ่มน้อยยึดระบอบประชาธิปไตยนี้ไป ทำไมกลุ่มพันธมิตรฯต้องมากำหนดชะตากรรมของประเทศไทย ตนไม่เข้าใจเหมือนกัน อนาคตของไทยมันเป็นของคนทั้งประเทศ ต้องดูด้วย ถ้าเป็นสมัยนายกฯ ทักษิณ ตนเห็นด้วยเอาด้วยที่จะขับไล่ เพราะการเมืองครรลองต่างๆ มันโดนครอบงำผูกขาดจริง เป็นง่อยถูกบิดเบือน ทำให้เกิดการปู้ยี่ปู้ยำ ทับซ้อนผลประโยชน์แอบแฝง ตอนนี้รัฐบาลสมัครยังไม่เป็นถึงสมัยรัฐบาลทักษิณ ยังมีการคานอำนาจกันอยู่ เพราะ รธน. ปี 40 กับ รธน. ปี 50 มันต่างกัน

“ ผมคิดว่าตอนนี้มีหลายคนที่ไม่เห็นด้วย คือไม่ได้ชอบรัฐบาลสมัคร แต่ก็ไม่ชอบที่กลุ่มพันธมิตรฯ มาขับไล่ แต่กลุ่มพลังเงียบนี้บางคนก็ไม่อยากจะเปลืองตัว เจ็บตัว หากออกมาคัดค้านแล้วก็ถูกโจมตี ผมเชื่อว่าหากมีคนออกมาเพียง 2 คน มันเจ็บตัว แต่ถ้าเป็นพันเป็นหมื่นคนที่แสดงความคิดเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการแบบนี้ เขาก็จะทำอะไรเราไม่ได้ มันถึงเวลาที่พลังเงียบต้องออกมาได้แล้ว โดยอาจใช้ริบบิ้นสีขาว หรือสวมเสื้อเหลืองผูกริบบิ้นสีขาว หรือให้มีการทำวิจัยเรื่องนี้ให้ชัดเจน ” รศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าว

* ฉะวาระประชาชนแค่พูดให้ดูดี
รศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าวว่า รู้สึกเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เสนอทางออก การชูวาระประชาชนก็เป็นเพียงคำโฆษณาผิวเผินและฉาบฉวยเพื่อชนะการเลือกตั้งเท่านั้น นอกจากนี้ ปชป. ยังทำตัวเหมือนเป็นพันธมิตรฯ ในสภา คือ มีการเอื้อกัน ส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพันธมิตรฯ ขอถามว่าเขายังได้รับเงินเดือน ส.ส. อยู่หรือไม่ ถ้าได้รับเงินตรงนี้แล้วทำไมต้องไปทำหน้าที่นอกสภา ถ้าอ้างสิทธิก็อ้างได้ แต่ถ้ามีสิทธิแล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบด้วย ไม่เช่นนั้นสังคมเราจะมึนเมากับเรื่องสิทธิเสรีภาพอย่างเดียวโดยที่ไม่คำนึงถึงความเหมาะสม

“พรรคนี้คว่ำบาตรการเลือกตั้งมาครั้งหนึ่ง และการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็แพ้ เขาบอกว่าเขาได้ส.ส.มากสุดในประวัติการณ์ คุณจะมองยังไงล่ะ กรรมการก็อยู่ข้างคุณ กติกาก็อยู่ข้างคุณ คู่ต่อสู้ก็ถูกมัดมืออยู่ข้างหลัง แต่คุณก็ยังแพ้ขนาดนี้ แล้วหากยังคิดว่าเป็นชัยชนะก็อาจจะเข้าข้างตัวเองมากไปนิดหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วต้องพิจารณาเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ไม่งั้นเราก็จะเป็นได้แค่นี้ ไม่มีทางออก เราต้องการให้ ปชป. ช่วยเราหาทางออก เขาเป็นพรรคฝ่ายค้านในสภา เราต้องการหาคำตอบจากในสภา ” รศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าว

รศ.ดร.ฐิตินันท์ ยังกล่าวถึงการสลับขั้วเปลี่ยนรัฐบาลโดยชู นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกฯ ว่า มีความเป็นไปได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าสมเพชเวทนา น่าอับอาย และน่าละอายใจมากที่สุด

“ อยากเป็นแกนนำรัฐบาลแต่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ ต้องมาอาศัยกระบวนการนอกสภาเอื้อกันระหว่างประชาธิปัตย์กับกลุ่มพันธมิตรฯ ท้ายสุดได้มาเป็นนายกฯโดยเข้าทางประตูหลัง มันเป็นนิมิตหมายที่ไม่ดีในระบอบประชาธิปไตย เป็นผมคงละอายมาก ที่เล่นตุกติกทางการเมืองแล้วมาสวมรอยยึดอำนาจแทนกัน ” รศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าว

เปิดตัวมูลนิธิสถาบันประชาธิปไตย
วันเดียวกัน ที่ห้องธาราทิพย์ โรงแรมอิมพิเรียล ธารา สุขุมวิท 26 ได้มีการเปิดตัวมูลนิธิสถาบันประชาธิปไตย โดย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ในฐานะประธานมูลนิธิ เป็นคนกล่าวเปิดงาน ท่ามกลางประชาชนที่เข้าร่วมกว่า 100 คน สำหรับบรรยากาศในงานเปิดตัวมูลนิธิสถาบันประชาธิปไตย มีอดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) เข้าร่วมด้วย เช่น นพ.เหวง โตจิราการ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นอกจากนี้ยังมี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เข้าร่วมด้วย

โดยนายจรัล กล่าวว่า มูลนิธิสถาบันประชาธิปไตยเปิดตัวภายใต้สถานการณ์ที่จะครบ 76 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน ท่ามกลางการเคลื่อนไหว การต่อสู้ของประชาชนกลุ่มหนึ่ง นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่แนวโน้มจะกระทบกระเทือนต่อระบบประชาธิปไตย ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า ประชาธิปไตยไทยยังไม่มั่นคง

ให้ความรู้-ทำวิจัยเรื่อง ปชต.
สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 แม้ไม่พอใจ แต่ก็ยังดีกว่าระบบเผด็จการทหาร ดังนั้นมีความจำเป็นที่จะตั้งมูลนิธิขึ้น เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริม เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจประชาธิปไตยให้กว้างขวางลึกซึ้งขึ้น เพื่อทำให้คนเชื่อเรื่องประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะเวลานี้คนจำนวนมากไม่เชื่อว่าอำนาจอยู่ที่ประชาชน ขณะที่ประเทศไทยก็มีองค์การทางประชาธิปไตยน้อยที่สุดไม่ถึง 10 องค์การ น้อยกว่ากัมพูชา

“การตั้งองค์การประเภทนี้มีความจำเป็นมาก แต่จะทำได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับประชาชนผู้สนับสนุน ทั้งกำลังใจ การเมือง การเงิน อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการของมูลนิธิสถาบันประชาธิปไตย ตอนนี้วางไว้ 3 โครงการใหญ่ๆ 1.โรงเรียนประชาธิปไตย หรือโรงเรียนการเมือง เชิญประชาชนทุกกลุ่มศึกษาประชาธิปไตย 2.การเคลื่อนไหว เช่น มีกฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน ต้องเคลื่อนไหว และ 3.ศึกษาวิจัย เพราะองค์ความรู้ประชาธิปไตยในสังคมไทยยังมีไม่มากพอ” นายจรัล กล่าว

แย่มากที่คนเห็นต่างอยู่ร่วมไม่ได้
ต่อมา ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “การสร้างประชาธิปไตย ในทรรศนะของคนรุ่นใหม่” โดยระบุตอนหนึ่งว่า อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับบ้านเมืองนั้นควรทำกันได้ ไม่เฉพาะกลุ่มคนที่เห็นด้วย แต่ตอนนี้ปรากฏว่าคนที่เห็นแตกต่างไม่สามารถนั่งอยู่ร่วมกันได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่แย่มาก มาถึงจุดที่สังคมแบ่งออกเป็นซีกๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องจุดยืนเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความคิดของคน

“ผมมองว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กระทบสิทธิคนทั่วไป เช่น นักเรียนที่เรียนหนังสือ การจราจร ข้าราชการที่ทำงาน นี่เป็นปัญหา หากมีการตั้งเวทีสวนลุม หรือสนามหลวง แล้วมีการปราศรัยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตรงนี้น่าจะทำได้ เพราะทุกอย่างอยู่ในกรอบเขตความสงบ” ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวและว่า ประเทศไทย มีปรากฏการณ์ที่เราเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทการเคลื่อนไหวของประชาชนในการโค่นล้มรัฐบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเรียกว่า อารมณ์ค้างจากอดีต ในยุคสมัยที่ไทยมีรัฐบาลที่เป็นเผด็จการ สมมติว่า อยู่ในยุคที่มี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นทหารปกครองเรื่อยๆ ทั้งนี้การระดมมวลชน เคลื่อนไหวทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะไปทำเนียบ ไปรัฐสภา พยายามเข้าไปให้ได้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลเป็นเผด็จการ จึงจะเป็นสิ่งที่ควรจะมี

“ปลื้ม” ชี้ต้องเลิกเล่นนอกระบบ
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถ้าจะเอาเขาออกไป เห็นว่าต้องเล่นตามระบบและกรอบของรัฐธรรมนูญ ขณะนี้เชื่อว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองและทหาร เริ่มเข้าใจบริบทสังคมตอนนี้แล้ว คงจะไม่มีการทำรัฐประหารเกิดขึ้นในช่วงนี้อย่างแน่นอน ซึ่งการที่จะมาเล่นนอกระบบมันไม่ได้ เพราะนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งของประชาชน

“ระบบการเมืองของประเทศของไทย ไม่ได้คานอำนาจกันอยู่แค่ 3 อำนาจ คืออำนาจตุลาการ อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติ อย่างที่เคยเรียนมา แต่มีอีก 3 อำนาจที่เข้าร่วมด้วย เช่น 1.สื่อมวลชน ที่ตรวจสอบนักการเมือง ส่งผลดีคือ รัฐบาลจะถูกตรวจสอบ แต่ผลเสียคือโครงการต่างๆ เดินไปได้ช้า 2.กลุ่มมวลชนและเอ็นจีโอ ที่รับรู้ข้อมูลจากสื่อมวลชน ทำการเคลื่อนไหว และ 3. กองทัพที่มีหน้าที่บริหารความสงบของประเทศ หากรัฐบาลไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับ 3 อำนาจที่เพิ่มมานี้ จะบริหารประเทศด้วยความยากลำบาก ดังนั้นการเป็นนายกรัฐมนตรีในประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย” ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าว

บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #1 เมื่อ: 25-06-2008, 09:46 »

การเมืองในรัฐสภาก็ว่ากันไปตามระบอบประชาธิปไตย...แต่นายสุริยะใสดันสะเหร่อโชว์โง่เสนอแนวคิดการเมืองใหม่ที่ยึดอำนาจประชาชนแบบถาวรในรูปแบบประชาธิปไตยแบบไทยๆ สุริยะใสกระทำตัวเหนือกว่าบุคคลที่อยู่เหนือรธน.หรือไม่โปรดตรองดู 




"ความสับสนของสุริยะใส พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไร? และประชาธิปไตยแบบโควต้าอ้อย



โดย...ยุกต์ อิสรนันทน์

 

ข่าวจากเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ประจำวันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2551 ได้ลงข่าวว่า นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เสนอถึงแนวคิด การเมืองใหม่ เพื่อขจัดนักการเมืองหน้าเดิม คือ การจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) 30% และคัดสรรจากภาคส่วนต่างๆ อีก 70% เพราะเห็นว่า การดำเนินการแบบรัฐสภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ไม่ใช่การสร้างเงื่อนไขให้สังคม

 

“ไม่ใช่การสร้างเงื่อนไข แต่ว่าการเมืองใหม่วันนี้ คิดว่าอาจจะไม่ใช่ต้องได้ข้อยุติพรุ่งนี้ มะรืน แต่ว่า เป็นการจุดประกายความคิดและจุดประเด็นให้สังคมได้หันมาถกเถียงกันดู ถ้าสังคมเห็นว่า การเมืองแบบปกติไปได้ ก็ต้องว่ากันไป แต่พันธมิตรฯ บอกว่าไปไม่ได้”

 

และข่าวจากเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ในวันเดียวกัน ได้ลงข่าวการให้สัมภาษณ์ของนายสุริยะใสว่า ต้องไปให้พ้นจากการเมืองของเสียงข้างมาก การเมืองของตัวแทน และการเมืองของนักการเมือง แต่การออกแบบภาพใหญ่จะต้องพึ่งนักวิชาการ นักกฎหมาย และนักรัฐศาสตร์ ให้มาร่วมกันออกแบบ เพราะในขณะนี้การเมืองในรัฐสภา ไม่สามารถแก้ปัญหาของชาติได้แล้ว ตนคิดว่า การเมืองใหม่ดังกล่าวไม่ใช่การรัฐประหาร แต่ต้องร่วมกันหาวิธีการ

 

จากคำให้สัมภาษณ์ของนายสุริยะใสที่ปรากฏลงบนหน้าหนังสือพิมพ์ออนไลน์ทั้ง 2 ฉบับข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าคำกล่าวของนายสุริยะใสได้แสดงถึงความสับสน และข้อขัดแย้งในตนเองหลักๆ 3 ประการ ดังนี้

 

ประการแรก : การเมืองใหม่ VS. ไม่รัฐประหาร

นายสุริยะใสได้ให้เหตุผลสนับสนุนข้อเรียกร้องการเมืองแบบใหม่ว่า “เนื่องจากการเมืองในรัฐสภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองได้” ดังนั้น “ต้องไปให้พ้นจากการเมืองของเสียงข้างมาก การเมืองของตัวแทน และการเมืองของนักการเมือง” ซึ่งการออกแบบภาพใหญ่ของการเมืองจะต้องพึ่ง “นักวิชาการ นักกฎหมาย และนักรัฐศาสตร์ ให้มาร่วมกันออกแบบ” โดยระบบวิธีคิดของสุริยะใส อาจสามารถตีความตามตรรกะง่ายๆ ได้ว่า

 

การเมืองในสภาไม่สามารถแก้ปัญหา à         ไปให้พ้นการเมืองเสียงข้างมาก

ไปให้พ้นการเมืองเสียงข้างมาก        à         ออกแบบระบบการเมืองใหม่

ดังนั้น    การเมืองในสภาไม่สามารถแก้ปัญหา à         ออกแบบระบบการเมืองใหม่

 

หากเราพิจารณาตามขั้นตอนตรรกะของสุริยะใสแล้ว เราจะเห็นได้ว่า สาเหตุที่สุริยะใสออกมาเรียกร้องให้ออกแบบระบบการเมืองใหม่นั้น เป็นเพราะการเมืองในสภาไม่สามารถแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ทางออกของปัญหาทางการเมืองอาจไม่จำกัดอยู่เพียงในตรรกะที่คับแคบของสุริยะใสเท่านั้น

 

การที่การเมืองในสภาไม่สามารถแก้ปัญหาทางการเมืองได้ นั่นมิได้หมายความว่า เราจะหาทางออกโดยการปฏิเสธระบบเสียงข้างมาก เพราะ การปฏิเสธระบบเสียงข้างมาก ย่อมหมายถึงการปฏิเสธเจตจำนงค์ของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ว่าจะมาจากฐานะใด ชนชั้นใด การศึกษาใด ถูกมอมเมา ถูกจ้างวานหรือไม่ เสียงเหล่านั้นล้วนเป็นเสียงของประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิอย่างเสมอภาคกัน ดังนั้น ควรหรือไม่ที่ใครคนใดคนหนึ่งจะยัดเยียดโลกทัศน์ของตน พยายามบั่นทอนเสียงอันชอบธรรมเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งด้อยค่า?

 

แน่นอน ผู้เขียนย่อมเห็นด้วยว่า เราควรข้ามให้พ้นการเมืองแบบตัวแทน การเมืองแบบพรรคการเมือง เนื่องจากก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ทั้งปัญหานักการเมืองคอรัปชั่น บิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชน หาผลประโยชน์ใส่ตัว แต่นั่นมิได้หมายความว่า เราควรปฏิเสธประชาชนที่เลือกนักการเมืองเหล่านั้น มิใช่ว่าเราควรขจัดประชาชนที่เลือกนักการเมืองเหล่านั้นออกจากกระบวนการเลือกตั้ง หรือกระบวนการคัดสรรผู้นำ หากแต่โจทย์ของเราในวันนี้ คือ ทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองมากที่สุด ทำอย่างไรถึงจะเพิ่มอำนาจของประชาชน ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบผู้แทนเหล่านั้นได้ และทำอย่างไรให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาวิกฤตทางการเมือง

 

ในขั้นต่อไปของตรรกะแบบง่ายๆ ของสุริยะใส ซึ่งมองว่า เมื่อต้องการข้ามให้พ้นการเมืองแบบเสียงข้างมาก ดังนั้น ต้องมีการออกแบบระบบการเมืองใหม่ โดยให้ผู้มีคุณวุฒิสาขาต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม กระบวนการในการออกแบบการเมืองใหม่นี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นอัตโนมัติดังที่สุริยะใสได้เสนอ หากแต่ในการออกแบบระบบการเมืองใหม่นั้น ต้องมีการรื้อถอนระบบการเมืองแบบเดิมออกเสียก่อน คำถามคือ จะรื้อถอนระบบการเมืองอย่างไร?

 

ในสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งมีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าข้อเสนอของสุริยะใส (อย่างน้อย เราก็ยังมีนายกรัฐมนตรีและส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีคุณภาพหรือไม่) เป็นไปได้หรือจะให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และประชาชนผู้มีสิทธิในการเลือกตั้ง ยอมรับข้อเสนอที่ลดอำนาจของประชาชน ลดอำนาจของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง และกลับไปให้อำนาจจากกลุ่มคนที่มาจากการแต่งตั้ง? แน่นอน ในความเป็นจริงแล้วต้องเกิดกระแสคัดค้านแนวคิดดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางรัฐบาล ดังนั้น ในสภาวการณ์เช่นนี้ ระบบการเมืองใหม่ย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้โดยอัตโนมัติ

 

คำถาม คือ วิธีการใดที่จะทำให้ข้อเสนอของสุริยะใสเป็นจริงได้? คำตอบที่ง่ายที่สุด คือ สุริยะใสกำลังเรียกร้องกลายๆ ให้มีการทำรัฐประหารเกิดขึ้น เพราะการรัฐประหารเป็นวิถีทางที่รวดเร็วที่สุดในการทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำให้สังคมตกอยู่ในสภาวะ “จำยอม” ต่ออำนาจปลายกระบอกปืน และให้สังคมเลือกระหว่าง “ทหาร 100%” กับ “เลือก 30 แต่งตั้ง 70” ในสภาวการณ์เช่นนั้นสังคมคงไม่มีทางเลือกมากนัก

 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า บทสัมภาษณ์ของสุริยะใสมีความขัดแย้งเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่สุริยะใสบอกว่า “ไม่ใช่รัฐประหาร” แต่กระบวนการขั้นตอนในการนำไปสู่การเมืองใหม่นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการ “รัฐประหาร” เพื่อทำลายระบบเดิมเสียก่อน ข้อเรียกร้องของสุริยะใส ด้านหนึ่งจึงเป็นการบอกว่าไม่ต้องการรัฐประหาร เพื่อสร้างการยอมรับจากสังคม ทั้งที่แท้จริงแล้วข้อเสนอดังกล่าวเป็นการเรียกร้องอย่างกลายๆ ให้มีการทำรัฐประหาร

นอกจากนี้ การที่สุริยะใสได้เรียกร้องให้ผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่างๆ นักวิชาการ นักกฎหมาย และนักรัฐศาสตร์มาร่วมมือกันในการออกแบบการเมืองใหม่นั้น ยิ่งเป็นการตอกย้ำแนวคิดของสุริยะใสที่มองว่าเสียงของประชาชนว่าเป็นเสียงที่ด้อยคุณภาพ ดังจะเห็นได้ว่า ข้อเสนอดังกล่าวไม่มีตัวแทนจากภาคประชาชนรวมอยู่เลย

 

ประการที่สอง : ไม่สร้างเงื่อนไข VS. “พันธมิตรบอกว่า ไม่ได้!!”

การที่สุริยะใสได้กล่าวไว้ว่า ข้อเสนอของเขาไม่ใช่การสร้างเงื่อนไขให้กับสังคมนั้น เปรียบเสมือนกับการส่งสาสน์ให้ผู้คนในสังคม “ข้อเสนอของเขาเป็นเพียงตัวเลือกในการแก้ปัญหาทางการเมืองตัวเลือกหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน” ซึ่งแม้ข้อเสนอของสุริยะใสจะคล้ายคลึงกับข้อเสนอเรื่องรัฐบาลแห่งชาติของหมอประเวศ วะสี ทว่าในความเป็นจริงแล้ว “พลัง” ในการพูดของทั้งสองคนมีความแตกต่างกันมาก

 

ในขณะที่ด้านหนึ่ง ข้อเสนอของประเวศนั้นมาจากนักวิชาการที่วางตัวค่อนข้างเป็นกลาง ไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างออกนอกหน้า (แม้ว่าจะเป็นข้อเสนอที่ล้าหลัง และเอื้อประโยชน์ต่อระบอบอำมาตยาธิปไตยก็ตาม) ดังนั้น ข้อเสนอของประเวศจึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่างๆ

 

ทว่าในกรณีของสุริยะใสนั้นต่างออกไป เนื่องจากสุริยะใสมีจุดยืนเป็นผู้ประสานงานของกลุ่มพันธมิตรฯ ดังนั้น ข้อเสนอของสุริยะใสจึงเปรียบเสมือนเป็นข้อเสนอของทางพันธมิตร ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวย่อมเป็นการสร้างเงื่อนไขทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

นอกจากนี้ การที่สุริยะใสได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ถ้าสังคมเห็นว่า การเมืองแบบปกติไปได้ ก็ต้องว่ากันไป แต่พันธมิตรฯ บอกว่าไปไม่ได้” ย่อมเป็นการประกาศเงื่อนไขให้แก่สังคมอย่างชัดแจ้ง กล่าวคือ “ไม่ว่าสังคมจะมีความเห็นว่าอย่างไรก็ตาม พันธมิตรก็จะขอประกาศจุดยืนที่จะไม่เอาระบบการเมืองแบบเสียงข้างมาก แบบผู้แทน (และเลือกที่จะเอาระบบการเมืองใหม่มากกว่า)”

 

ประการที่สาม : พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย VS. การเมืองแบบโควต้าอ้อย

นับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ผู้ประสานงานของกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลับเรียกร้องให้มีระบบการเมืองแบบใหม่ ซึ่ง ส.ส.มาจากการแต่งตั้ง 70% และมาจากการเลือกตั้ง 30% ซึ่งจะเห็นได้ว่าข้อเรียกร้องของบุคคลที่อ้างว่าทำเพื่อ “ประชาธิปไตย” กลับมีข้อเรียกร้องในเชิง “อำมาตยาธิปไตย” เช่นนี้

 

ผู้เขียนขอเรียกรูปแบบการเมือง 70:30 ของสุริยะใสว่า “ประชาธิปไตยแบบโควต้าอ้อย” สืบเนื่องมาจาก รูปแบบดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับ พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลของรัฐ ซึ่งกำหนดให้ชาวไร่ได้รับผลประโยชน์ 70% และผู้ประกอบการได้ประโยชน์ 30% ดังจะเห็นได้ว่ามีสัดส่วนเช่นเดียวกับจำนวนส.ส.ที่มาจากการแต่งตั้ง/เลือกตั้งตามข้อเสนอของสุริยะใส

 

อย่างไรก็ตาม ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างประชาธิปไตยแบบโควต้าอ้อยของสุริยะใส กับ พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลของรัฐ คือ ในขณะที่พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลได้ให้ประโยชน์แก่ชาวไร่ หรือ คนส่วนใหญ่ถึง 70% และผู้ประกอบการ หรือชนชั้นนายทุนเพียง 30% ประชาธิปไตยแบบโควต้าอ้อยได้ให้อำนาจแก่คนกลุ่มน้อย หรือส.ส.ที่มาจากการแต่งตั้งถึง 70% และให้อำนาจแก่ประชาชนเพียง 30% ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ประชาธิปไตยแบบโควต้าอ้อยกลับล้าหลังยิ่งกว่าโควตาอ้อยเสียอีก

 

ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบประชาธิปไตยแบบโควต้าอ้อย กับประชาธิปไตยแบบตัวแทนในปัจจุบันแล้ว จะเห็นได้ว่า ในขณะที่ประชาธิปไตยแบบตัวแทนได้ให้อำนาจแก่ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% หรือ ประชาชนมีอำนาจ 100% แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยแบบโควต้าอ้อยของสุริยะใสกลับลดความสำคัญของประชาชนลง โดยประชาชนมีอำนาจเพียง 30% และบุคคลที่มาจากการแต่งตั้งมีอำนาจถึง 70% ข้อเสนอนี้จึงล้าหลังและบั่นทอนอำนาจประชาชนเป็นอย่างมาก

 

แม้บางคนอาจกล่าวว่า ให้อำนาจแก่คนดีมีคุณธรรมที่ถูกคัดเลือกมา 70% ดีกว่าให้อำนาจแก่คะแนนเสียงที่ด้อยคุณภาพ 100% เพราะ อย่างน้อยก็จะได้คนดีมาปกครอง ทว่าเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า “คนดี” ในที่นี้ คือ คนดีอย่างแท้จริง และ “ใครเป็นคนตัดสินว่าเป็นคนดี” เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราอาจได้เพียง “คนดี” ของผู้มีอำนาจในการแต่งตั้ง ซึ่งอาจเป็น “คนเลว” สำหรับประชาชนก็เป็นได้ (และอย่าลืมว่าพวกนี้มีอำนาจปกครองประชาชนเสียด้วย)

 

กล่าวโดยสรุปแล้ว จะเห็นได้ว่านายสุริยะใสนั้นได้แสดงตรรกะที่สับสนและขัดแย้งในตัวเองออกมา ด้านหนึ่งบอกว่า “ทำเพื่อประชาธิปไตย” แต่อีกด้านหนึ่ง กลับเสนอแนวทางที่ขัดต่อประชาธิปไตย และเรียกร้องการทำรัฐประหาร“ตกลงแล้วข้อเสนอของสุริยะใสเป็นข้อเสนอของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรกันนี่?”
บันทึกการเข้า
บักหัวเถิก
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 438



« ตอบ #2 เมื่อ: 25-06-2008, 09:54 »





นี่หรือเปล่าพลังเงียบที่ว่า
บันทึกการเข้า

The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #3 เมื่อ: 25-06-2008, 10:04 »


นี่หรือเปล่าพลังเงียบที่ว่า




ขอตอบว่า.........

"เอ็งเคยนึกถึงชาติบ้านเมืองบ้างไหม?


คอลัมน์: ฮอตสกู๊ป

ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ผู้ซึ่งในอดีตเคยอยู่กับพันธมิตรฯ แต่ปัจจุบันทัศนคติและมุมมองเขาเปลี่ยนไป สะท้อนได้จากบทความที่เขาเขียนลงเว็บไซต์ของตนเอง ที่มีชื่อว่า “เอ็งเคยนึกถึงชาติบ้านเมืองบ้างไหม?”(http://www.nitipoom.com/th/article1.asp?idOpenSky=2983&ipagenum=)

เมื่อวันศุกร์ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา บทความชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมาเขาและประชาชนที่ไปเข้าร่วมถูกหลอก และเปิดประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับเพื่อนบ้านซึ่งพันธมารกำลังปลุกกระแสล้าหลังคลั่งชาติอยู่ในปัจจุบัน ความดังนี้

...ผู้อ่านท่านผู้เจริญ เดิมเราเคยคิดว่า บุคคลกลุ่ม a คิดร้ายต่อประเทศชาติราชบัลลังก์ พวกเราที่รักชาติอย่างบริสุทธิ์ใจก็ดาหน้าออกไปต่อต้าน หาแนวร่วมโดยไปรวมเข้ากับกลุ่ม b เพื่อปกป้องประเทศชาติบ้านเมือง

วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป บัดนี้ เริ่มมีเค้าลางหางโผล่ออกมาให้เห็นบ้างแล้วว่า โดยแท้ที่จริง พวกเราถูกหลอกกันทั้งประเทศ ดีกลับเป็นชั่ว ชั่วกลับเป็นดี ธรรมกลับกลายเป็นอธรรม อธรรมกลับกลายเป็นฝ่ายธรรม คนชั่วคิดล้มล้างระบอบการปกครองเดิม กลับกลายเป็นไอ้กลุ่ม b ซึ่งพวกเราหลายคนเคยหลงชื่นชมศรัทธามานาน

แผนการชั่วของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวายถึงที่สุด โดยมีเป้าหมายคือการเปลี่ยนแปลงของประเทศครั้งใหญ่ที่สุดใน 789 ปีของประวัติศาสตร์ชาติไทย ตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ บรมปฐมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา

คนกลุ่มนี้จึงพูดจาจู่โจมโหมกระทบไปถึงประชาชนพลเมืองของเพื่อนบ้านบางประเทศ จนขณะนี้ เริ่มมีน้ำมันเบนซินไปราดรดกองไฟในใจของประชาชนพลเมืองของคนในประเทศนั้นแล้ว ผมคิดว่า คำด่าทอจะขยับขยายกลายเป็นความขัดแย้ง ที่กว่าจะสมานกันได้อาจจะต้องใช้เวลาอีกนานหลายทศวรรษเลยทีเดียว

คนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งขึ้นหลังคารถด่าทอคนกัมพูชาเป็นภาษาเขมร พฤติกรรมอย่างนี้ทำให้หลายชาติดีใจ ไม่ว่าจะเป็นจีน สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย ฯลฯ เพราะเมื่อด่าทอเขมรอย่างนี้แล้ว ต่อไปในอนาคต ก็ไม่มีคนไทยได้ไปลงทุนทำมาหากินในกัมพูชาแข่งกับผู้คนจากประเทศของตน

พ.ศ.2535-2545 เป็นห้วงช่วงเวลา 10 ปีที่คนเขมรนิยมเรียนภาษาไทย ชอบคนไทย ดูหนังไทย ซื้อสินค้าของไทย ฯลฯ แต่ใน พ.ศ. นี้กลับไม่ใช่แล้วครับ ในกรุงพนมเปญ นักเรียนเขมรนิยมเข้าโรงเรียนจีน บางแห่งมีนักเรียนแย่งกันเรียนเกือบถึงหนึ่งหมื่นคน จนรัฐบาลจีนต้องให้มือที่มองไม่เห็นไปเปิดโรงเรียนจีนแห่งที่สอง ที่สาม...

ต่อไปในอนาคต ผู้คนชนชาติเขมรจะพูดแมนดารินกันเต็มประเทศ คนสิงคโปร์ก็พูดภาษาแมนดาริน คนมาเลเซียเชื้อสายจีนก็พูดแมนดาริน วันนั้นมาถึง คนจีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็จะเข้ามาใช้พื้นที่ในกัมพูชา และวันนั้นนั่นแหละครับ คำว่า “กัมพูชาเป็น China’s network” เครือข่ายของจีน ก็จะเป็นความจริง

ชาติที่สู้อิทธิพลเครือข่ายของจีนสุดกำลังก็เห็นจะเป็นเกาหลีใต้ นายลี จุง คัน ประธานบริษัท บูยูยัง เข้าใจแผนการกระดิกพลิกตัวของจีน ก็รีบกระโจนโผนออกไปขอพบนายฮุนเซน แจ้งว่าข้าพเจ้าขอเข้ามาลงทุนในกัมพูชา ทว่าไม่ต้องการมาหากำไรจากประเทศนี้ ว่าแล้วนายลีก็บริจาคกระดานดำ 4 หมื่นแผ่น สร้างโรงเรียนให้ใหม่อีก 300 หลัง สร้างสถานที่อบรมครูบาอาจารย์ นอกจากนั้นยังมอบเงินไว้ให้อีก 9แสนดอลลาร์ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม นายลีก็สั่งให้ขนมามอบให้เขมรอีกหลายตู้คอนเทนเนอร์

ญี่ปุ่นสู้อิทธิพลจีนด้วยการเปิดเที่ยวบินตรงจากจังหวัดคุมาโมโตะ มายังจังหวัดเสียมราฐ ขณะเดียวกันก็ทั้งพูด ทั้งพิมพ์ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับกัมพูชาหวังว่าให้อยู่ในใจคนเขมร ปราสาทในญี่ปุ่นหลายแห่งถูกค้นคว้าหาหลักฐานในเรื่องที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับกัมพูชา ผู้อ่านท่านลองฟังตำนานเรื่องนี้ที่ นายมาซาโตชิ ทานิกาวา ประธานศูนย์ระหว่างประเทศของญี่ปุ่นนำมาเล่าในเขมรสิครับ

400 ปีที่แล้ว ซามูไรคนหนึ่งซึ่งทำการค้ากับกัมพูชา ท่านนำสินค้าพวกผ้าไหม น้ำตาล กลับมาขาย ได้กำไรแล้วก็นำสตางค์ไปสร้างปราสาทคุมาโมโตะ ซึ่งเป็นสมบัติสำคัญของญี่ปุ่นจนกระทั่งทุกวันนี้"เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง พวกเราชาวญี่ปุ่นจึงขอปลูกคูโซโนกิ 3 ต้น ไว้ในนครวัด เพื่อเป็นที่ระลึกนึกถึงความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง”

เป็นไงครับ ต่างจากพฤติกรรมคนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่เคยแหย่เท้าเข้าไปสร้างสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อช่วยประเทศไทย แต่กลับไปยืนบนหลังคารถ พ่นคำผรุสวาทออกมาด่าเป็นภาษาเขมร จนคนเขมรเอาไปฟังแล้วแค้นกันทั้งประเทศ

พวกเอ็งเคยนึกถึงประเทศชาติบ้านเมืองกันบ้างไหม?..."
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #4 เมื่อ: 25-06-2008, 10:08 »



"เอ็งเคยนึกถึงชาติบ้านเมืองบ้างไหม?

5555............ตอบได้ดีจริง ๆ ด้วย....


ดูชื่อนักวิชาการแต่ละคนดิ.....ดร.จรัล  ดร.กิตติ ลิ่มสกุล  ........น่าเชื่อถือทั้งน้าน.....โห....ยัง นิติภูม นวรัตน์ อีก....
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #5 เมื่อ: 25-06-2008, 10:10 »


"เอ็งเคยนึกถึงชาติบ้านเมืองบ้างไหม?

5555............ตอบได้ดีจริง ๆ ด้วย....


ดูชื่อนักวิชาการแต่ละคนดิ.....ดร.จรัล  ดร.กิตติ ลิ่มสกุล  ........น่าเชื่อถือทั้งน้าน.....โห....ยัง นิติภูม นวรัตน์ อีก....


นิติภูมินี่ก็คนของแป๊ะลิ้มแท้ๆเลยน๊ะเนี่ย
บันทึกการเข้า
hitman
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24


« ตอบ #6 เมื่อ: 25-06-2008, 10:20 »

นิติภูมิแม่งขายข้อสอบอยู่หน้าราม  จะสมัครไทยรักไทย  ก็ไม่สนับสนุน   
     

อ่านถึงไอ้จรัลนี่  ที่เป็นกรรมเกินสิทธิ  นปก   นี่หว่า   จะให้แม่งออกมาพูดความจริงได้ไง



มึคงนี่คบแต่***   ไม่เอากิ้งก่ากิ้งกือ   มาปนเลย 



ไอ้พรรคพลังเฮี้ยยยย
[/color]
บันทึกการเข้า
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 25-06-2008, 10:41 »

ผมไม่เห็นมีใครเกลียดเขมร เกลียดสมเด็จฮุนเซน
ความจริงน่ายกย่องด้วยซ้ำ เพราะเขาทำอะไรที่ทำให้ประเทศตัวเองได้ประโยชน์
ต่างจากไอ้พวกขายชาติบางตัว นอกจากไม่ทักท้วงแล้วยังช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่
แล้วยังมีพวกสนับสนุนการขายชาติแบบไม่ลืมหูลืมตา
ความจริงคนพวกนี้ก็รักชาติ ขนาดว่าแผ่นดินไทยตารางนิ้วเดียวก็เอาไปไม่ได้
แต่น่าเสียใจ พอทักษิณบอกว่าได้ มันก็พยักหน้ากันหงึกหงัก
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
นู๋เจ๋ง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,877



« ตอบ #8 เมื่อ: 25-06-2008, 10:48 »

^^
ความคิดขึ้นทะเบียนครั้งนี้ นับว่า
เขมรรัชาติบ้านเมืองกว่าคนไทยกลุ่มทักษิณ ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าแผ่นดิน
บันทึกการเข้า

~จะแน่วแน่...แก้ไข...ในสิ่งผิด~
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #9 เมื่อ: 25-06-2008, 11:50 »


นิติภูมินี่ก็คนของแป๊ะลิ้มแท้ๆเลยน๊ะเนี่ย

ใครบอกล่ะ..ไปถามเจ๊หน่อยดิ....
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #10 เมื่อ: 25-06-2008, 13:36 »

ผมไม่เห็นมีใครเกลียดเขมร เกลียดสมเด็จฮุนเซน
ความจริงน่ายกย่องด้วยซ้ำ เพราะเขาทำอะไรที่ทำให้ประเทศตัวเองได้ประโยชน์
ต่างจากไอ้พวกขายชาติบางตัว นอกจากไม่ทักท้วงแล้วยังช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่
แล้วยังมีพวกสนับสนุนการขายชาติแบบไม่ลืมหูลืมตา
ความจริงคนพวกนี้ก็รักชาติ ขนาดว่าแผ่นดินไทยตารางนิ้วเดียวก็เอาไปไม่ได้
แต่น่าเสียใจ พอทักษิณบอกว่าได้ มันก็พยักหน้ากันหงึกหงัก


หากคนไทยประกาศบอกว่าไม่ยอมรับผลวินิจฉัยของศาลโลกที่ได้ตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว และดึงดันที่จะกลั่นแกล้งไม่ให้เขมรสามารถจดทะเบียนปราสาทขึ้นเป็นมรดกโลกได้สำเร็จ....ถามว่านานาประเทศเค้าจะมองไทยว่าเป็นประเทศเถื่อนหรือไม่? ใครเค้าจะมาคบกับประเทศที่ไม่เคารพและปฏิบัติในคำตัดสินของศาลโลก?  แล้วถ้าบอกว่าไทยสงวนสิทธิในการไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลโลก...ไทยมีเหตุผลอะไรที่จะนำเรื่องนี้ให้ศาลโลกพิจารณาตั้งแต่แรก?

อย่าเอาความรักชาติและถือศักดิ์ศรีแบบผิดๆมากล่าวอ้างเพียงเพื่อต้องการล้มรัฐบาลนี้เลยครับ...ความจริงก็คือ ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของเขมรไปแล้ว และคนไทยต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงดังกล่าวและรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับประเทศเขมรตลอดไป

ผิดจากนี้...ก็เตรียมรับสงครามกับเขมรได้เลย!!
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #11 เมื่อ: 25-06-2008, 13:38 »

^^
ความคิดขึ้นทะเบียนครั้งนี้ นับว่า
เขมรรัชาติบ้านเมืองกว่าคนไทยกลุ่มทักษิณ ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าแผ่นดิน


ปราสาทเป็นของเขมรครับ....ในเมื่อของๆเค้า ก็ต้องเป็นฝ่ายขอขึ้นทะเบียนเท่านั้นเอง ไทยจะไปขอขึ้นทำเบียนตัวประสาทฯไม่ได้เพราะไม่ใช่เจ้าของ
บันทึกการเข้า
Familie
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 369



« ตอบ #12 เมื่อ: 25-06-2008, 14:20 »

สมาชิกทุกท่านครับ
ใหนว่าจะไม่ให้ความสำคัญกับกระทู้ป่วนแล้วละครับ
เราก็รู้แล้วนะครับ พูดไปก็ไร้ประโยชน์เปล่าๆ
บันทึกการเข้า


บรรพบุรุษ ของไทย แต่โบราณ      ปกบ้าน ป้องเมือง คุ้มเหย้า
เสียเลือด เสียเนื้อ มิใช่เบา           หน้าที่เรา รักษา สืบไป
ลูกหลาน เหลนโหลน ภายหน้า      จะได้มี พสุธา อาศัย
อนาคต จะต้องมี ประเทศไทย       มิยอมให้ ผู้ใด มาทำลาย
hitman
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24


« ตอบ #13 เมื่อ: 25-06-2008, 14:30 »

สมาชิกทุกท่านครับ
ใหนว่าจะไม่ให้ความสำคัญกับกระทู้ป่วนแล้วละครับ
เราก็รู้แล้วนะครับ พูดไปก็ไร้ประโยชน์เปล่าๆ

ด่าขี้ข้าแม้วสนุกดีครับ   ยิ่งด่ามันมันยิ่งตัดแปะ   ยิ่งตัดแปะมันก็เห็นความโง่  ให้มันแสดงความโง่มากมาก   นาสมเพชดี 


   แล้ว   ผมก็ไม่ด่าหมาที่บ้าน   หมาที่บ้านรักชาติมากกว่าพวกไอ้แม้ว   และสมาชิคพรรคพลังเฮี้ย
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #14 เมื่อ: 25-06-2008, 14:35 »

สมาชิกทุกท่านครับ
ใหนว่าจะไม่ให้ความสำคัญกับกระทู้ป่วนแล้วละครับ
เราก็รู้แล้วนะครับ พูดไปก็ไร้ประโยชน์เปล่าๆ


ฮ่าๆๆๆ....TLE มีหน้าที่นำข้อเท็จจริงมาประจาน...เอ๊ย...แฉพวกอันธพาลทางการเมืองข้างถนน ใครจะสนใจหรือไม่สนใจก็ตามแต่ แต่แน่ๆก็คือ TLE ต้องขยันทำหน้าที่ดังกล่าวไปเรื่อยๆจนกว่าเว๊บนี้จะเจ๊ง
บันทึกการเข้า
西施无情
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 456


ไซซีไ้ร้ใจ


« ตอบ #15 เมื่อ: 25-06-2008, 14:38 »

นักวิชาการที่มัวแต่ท่องตำรา น่าจะหัดมองความจริงซะบ้าง

ไปว่ากันในสภาเถอะค่ะ เจอจริงไปเลยดีกว่า
 
บันทึกการเข้า

我愛你, 陈一冰,
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #16 เมื่อ: 25-06-2008, 14:39 »

ด่าขี้ข้าแม้วสนุกดีครับ   ยิ่งด่ามันมันยิ่งตัดแปะ   ยิ่งตัดแปะมันก็เห็นความโง่  ให้มันแสดงความโง่มากมาก   นาสมเพชดี 


   แล้ว   ผมก็ไม่ด่าหมาที่บ้าน   หมาที่บ้านรักชาติมากกว่าพวกไอ้แม้ว   และสมาชิคพรรคพลังเฮี้ย


ขอยกตำแหน่งขี้ข้าแห่งปีให้กับhitmanเลยน๊า...ไม่ว่าTLEจะขยับไปทางไหนก็ตาม hitmanก็จะตามต้อยๆกระดิกหางดิ๊กไปทุกหนทุกแห่ง  ว้าววววว


ม่ะ...มารับรางวัล




"ลูก‘สัก กอแสงเรือง’เมาเละ ขับรถเก๋งพุ่งชน ก.กลาโหม




ลูกชาย คตส.คนดัง “สัก กอแสงเรือง” เมาเละ แอลกอฮอล์ในเลือดเกินลิมิตถึง 260 ขับรถเก๋งพุ่งชนรั้วกระทรวงกลาโหมกลางดึก สภาพรถพังยับเยิน ตำรวจ สน.พระราชวัง ต้องควบคุมตัวไว้ก่อนจะยอมให้ประกันตัวไปในตอนสาย พร้อมกับเตรียมนำตัวขึ้นศาลแขวงดุสิตวันนี้ เจ้าตัวรับกินเหล้ากับเพื่อนจนใกล้สว่าง จนถึงที่เกิดเหตุบังคับรถไม่ได้เลยพุ่งขึ้นฟุตบาธเสยรั้วอย่างจัง
เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุมีคนเมาเป็นชายวัยประมาณ 30 ปี ขับรถเก๋งพุ่งเข้าชนรั้วกระทรวงกลาโหมได้รับความเสียหาย สภาพรถด้านหน้าพังยับเยิน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระราชวัง จึงได้เดินทางไปตรวจดูที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งควบคุมตัวผู้ขับขี่มาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.ท.อัศวยุทธ นุชพุ่ม รอง.ผกก.สืบสวนสอบสวน สน.พระราชวัง เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 05.00 น. ของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ต.ท.เมธี ธรรมวิมล สารวัตรเวร สน.พระราชวัง ได้รับแจ้งเหตุรถชนที่บริเวณ ถนนสนามไชย หน้ากระทรวงกลาโหม เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบรถเก๋งวอลโว่ สีบรอนซ์ฟ้า เลขทะเบียน งพ 4942 รุ่น 760 สภาพด้านหน้าพังยับเยิน ไฟแตก และชนรั้วกั้นของกระทรวงกลาโหมได้รับความเสียหาย

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบชื่อผู้ขับรถว่า นายอภิชัย กอแสงเรือง อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38 ถ.จรัญสนิทวงศ์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ เป็นลูกชายของ นายสัก กอแสงเรือง หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) คนดัง

นายอภิชัย ให้การว่าได้นั่งดื่มสุรากับเพื่อนที่บริเวณตลาดบางลำพูและได้ออกจากร้านประมาณเวลา 03.00 น. ได้ขับรถเพื่อที่จะกลับบ้านย่านจรัญสนิทวงศ์ เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุนั้นได้สูญเสียการบังคับรถจึงทำให้ขับขึ้นบนบริเวณฟุตบาธ แล้วรถพุ่งเข้าชนรั้วของกระทรวงกลาโหม

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุได้นำตัวนายอภิชัย ไปตรวจสอบปริมาณแอลกอฮอล์ และควบคุมตัว ภายหลังจากตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของนายอภิชัย พบว่ามีระดับแอลกอฮอล์สูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โดยตามกฎหมายกำหมดให้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จึงได้นำตัวไปยังสน.พระราชวังเพื่อควบคุมตัวไว้รอส่งฟ้องศาล แต่ว่านายอภิชัย ได้นำหลักทรัพย์ เงินสดจำนวน 10,000 บาทประกันตัวออกไปเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.

โดยวันที่ 25 มิถุนายน นี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวผู้ต้องหาส่งศาลแขวงดุสิต และจะต้องมีการเจรจากับตัวแทนกระทรวงกลาโหม เพื่อชดเชยค่าเสียหายด้วย

อนึ่ง สำหรับโทษของผู้ขับรถในระหว่างเมาสุรา (ตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม้เกิน 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่"
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #17 เมื่อ: 25-06-2008, 14:51 »

นักวิชาการที่มัวแต่ท่องตำรา น่าจะหัดมองความจริงซะบ้าง

ไปว่ากันในสภาเถอะค่ะ เจอจริงไปเลยดีกว่า
 


เห็นด้วยค่ะว่านักวิชาการส่วนมากจะบ้าทฤษฎี พอให้ลองลงมาทำงานของจริง...ส่วนมากจะเฟอะฟะ  นักวิชาการบางคนทำตัวเป็นเจ้าพ่อทางความคิดประเภทเห็นทีวี เห็นไมค์ไม่ได้ เป็นต้องรี่เข้าใส่อยากเสนอหน้าผ่านสื่อ


เอ๊ะ...ใครกันน๊าที่ชอบแอ๊คแก่ผ่านหน้าจอทีวี!?!



"ราษฎรอาวุโสหลงทาง

โดย คุณอัคนี คคนัมพร
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
25 มิถุนายน 2551

ภาษิตไทยที่ว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ยังเป็นความจริงอยู่เสมอ ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใดนพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ที่เคยให้ความคิดความเห็น เป็นประโยชน์ต่อสังคมเสมอมา

แต่ในวัยชรา หลายครั้งที่ความคิดความเห็นของท่าน กลายเป็นความเห็นแบบเด็กๆ จนใครบางคนบ่นออกมาดังๆ ว่าราษฎรอาวุโส น่าจะหยุดแสดงความคิดเห็นได้แล้ว อย่าให้สังคมไทยต้องสับสน เพราะคนแก่มากนักเลย

แต่ดูเหมือนคนแก่ทั้งหลาย จะมีธาตุหรือมีสารอะไรบางอย่าง ที่เหมือนๆ กันอยู่ในตัว ดังนั้น คนแก่จึงไม่ค่อยรู้ตัวว่าถึงเวลาที่ตนเองควรจะหยุดได้แล้ว

ไม่เพียงแต่ นพ.ประเวศ เท่านั้น หลายครั้งที่ผู้อาวุโสที่น่าเคารพนับถือ อย่าง อ.รพี สาคริก ก็หลุด จนกระทั่งผู้เขียน ไม่อยากจะเห็นท่านออกมาแสดงทรรศนะใดๆ ในที่สาธารณะอีก อยากเก็บความรู้สึกดีๆ ไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องจากกัน สำหรับกรณีของ นพ.ประเวศนั้น ต่อปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองที่ดำรงอยู่ในระยะนี้ ท่านได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในการหาทางออกไว้หลายหน

แต่อย่างว่าแหละ ระยะนี้ รู้สึกจะมีคนฟังท่านน้อยเต็มที ครั้งหลังสุดที่ท่านออกมาเสนอทางออกให้แก่สังคม โดยบอกว่า ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมควรจะได้เสียสละครั้งสำคัญเสียที ด้วยการหยุดการเคลื่อนไหวด้วยประการทั้งปวง เดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อจะได้ถูกยึดทรัพย์และติดคุก

นพ.ประเวศเชื่อว่า หากทำได้ดังนี้ ความขัดแย้งทั้งหลายก็จะหยุดลง เพราะปัญหาทั้งหมด อยู่ที่คนสองฝ่ายเท่านั้น คือ พวกของทักษิณพวกหนึ่ง กับพวกไม่เอาทักษิณอีกพวกหนึ่ง หากตัวปัญหาคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เสียสละ ด้วยการหยุดการเคลื่อนไหว คนฝ่ายทักษิณก็คงหยุดการเคลื่อนไหวไปด้วย ดังนั้น สันติภาพก็ย่อมเกิดขึ้น

ผู้เขียนได้ฟังข้อสรุปของ นพ.ประเวศ ดังว่านี้แล้ว ก็รู้สึกตกใจเป็นอันมาก ตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่า คนระดับท่าน จะวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างตื้น ไม่น่าเชื่อเพียงนี้ จริงอยู่ปัญหาที่ถกเถียงกัน จนทำให้สังคมไทยกลายเป็น “เปลือกโลกแตก” อยู่ในขณะนี้ มีตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวละครสำคัญ ถ้าจะพูดภาษาพระ ก็ต้องบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเนื่องมาแต่เหตุ ถ้าเหตุดับทุกอย่างก็ดับ

กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ กับ คมช. หรือกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ต้องยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นต้นเหตุคนหนึ่ง ถ้าหยุด พ.ต.ท.ทักษิณ เสียได้ด้วยวิธีใดก็ตาม ความขัดแย้งจนกลายเป็นความตึงเครียดก็อาจลดลง หรือหายไปได้ตามที่ว่า

แต่ผู้เขียนก็ต้องขอถามว่า 2 ปีมานี้ นพ.ประเวศไปอยู่เสียที่ไหน จึงมองเห็นแต่เพียงว่า คู่ขัดแย้งในสังคมไทยมีเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ คมช. หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ กับพันธมิตรฯ เหตุใด นพ.ประเวศจึงมองไม่เห็นว่า คู่ขัดแย้งจริงๆ คือคนไทยผู้รักประชาธิปไตย กับ พวกเผด็จการ เหตุใด นพ.ประเวศจึงมองไปว่า คนทั้งหลายที่ลุกขึ้นมาทวงสิทธิ เสรีภาพ ทวงประชาธิปไตย เป็นลูกสมุนหรือบริวาร หรือระบอบทักษิณไปทั้งหมด อันเป็นภาพเดียวกับที่ คมช.และ พันธมิตรฯมอง

ทำไม นพ.ประเวศ ซึ่งยืนห่างจากรากหญ้าของสังคมไทยไปมากแล้วไ ม่ลองถาม นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และ นพ.เหวง โตจิราการ ดูบ้างล่ะว่า คนอย่างลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ที่ขับรถแท็กซี่ เข้าชนรถถังโดยไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังมีอยู่จริงในสังคมไทยอีกกี่มากน้อย

ผู้เขียนจะบอกให้เอาบุญว่าแท้จริง ความขัดแย้งในสังคมไทย ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณและบริวาร กับ คมช.และพันธมิตรฯ หากมันเป็นความขัดแย้งระหว่าง ประชาชนคนไทยผู้ด้อยโอกาสมาตลอดระยะเวลา 76 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง กับเผด็จการอำมาตยา เป็นความขัดแย้ง ระหว่างนักประชาธิปไตย กับ กลุ่มผลประโยชน์ที่แอบแฝงอยู่รอบๆ และใกล้ชิดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยซ้ำ พ.ต.ท.ทักษิณหยุดไปคนเดียว ยังไม่อาจแก้ความขัดแย้งได้-

เชื่อผู้เขียนเถอะ ดูถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะปัจเจกชนอาจดูถูกได้ แต่อย่าดูถูกนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคนอื่นๆ อีกจำนวนมากสิครับ ผู้เขียนคนหนึ่งล่ะ ที่ยอมไม่ได้ ต้องขอสอนหนังสือให้สังฆราชเสียหน่อย"
บันทึกการเข้า
西施无情
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 456


ไซซีไ้ร้ใจ


« ตอบ #18 เมื่อ: 25-06-2008, 14:59 »

ไม่ต้องข้อความพวกนี้มาหรอกค่ะ บอกตรงๆ ขี้เกียจอ่าน นักวิชาการสี่สามหามแห่ที่คุณยกมาทั้งหลายทั้งปวงนั่นแหละ

ไม่ต้องรอให้นักวิชาเกินทั้งหลายมาบอกหรอกค่ะ ทุกวันนี้ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าประเทศไม่ได้เจริญขึ้น ข้าวของก็แพง ปตท ที่บอกว่าเป็นของไทย ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ขูดเลือดขูดเนื้อกันเข้าไป

ยกเอาพวกคร่ำตำราทั้งประเทศมาชาวบ้านก็ไม่สนใจหรอก คงจะบอกได้แค่ว่า บริหารได้เฮงซวยมาก

ช่วงนี้เบื่อหน้ารัฐมนตรีหัวเถิกดั้งหักตาเหล่เป็นเบ๊แม้ว เป็นแค่ทนายต๊อกต๋อยอยู่ๆก็ดันเป็นรัฐมนตรีได้ซะนี่ เมื่อวานไม่เห็นมาสภาเลย หรือว่าเป็นครั้งแรกใจมันเลยตุ๊มๆต่อมๆ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2008, 15:07 โดย 西施无情 » บันทึกการเข้า

我愛你, 陈一冰,
hitman
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24


« ตอบ #19 เมื่อ: 25-06-2008, 17:37 »

มรึงมีปัญญาจะให้เหรอ  ไอ้กร๊วก   พ่อมึงยังจ้างกูไม่ได้เลย   




เกาะตูดพ่อมึงดัๆแล้วกัน          พวกไอ้ใจมันไม่รักใครจริงหรอก   



                     [size=30ptตีนกูสิแน่นอน[/size]
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #20 เมื่อ: 26-06-2008, 09:34 »

ไม่ต้องข้อความพวกนี้มาหรอกค่ะ บอกตรงๆ ขี้เกียจอ่าน นักวิชาการสี่สามหามแห่ที่คุณยกมาทั้งหลายทั้งปวงนั่นแหละ

ไม่ต้องรอให้นักวิชาเกินทั้งหลายมาบอกหรอกค่ะ ทุกวันนี้ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าประเทศไม่ได้เจริญขึ้น ข้าวของก็แพง ปตท ที่บอกว่าเป็นของไทย ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ขูดเลือดขูดเนื้อกันเข้าไป

ยกเอาพวกคร่ำตำราทั้งประเทศมาชาวบ้านก็ไม่สนใจหรอก คงจะบอกได้แค่ว่า บริหารได้เฮงซวยมาก

ช่วงนี้เบื่อหน้ารัฐมนตรีหัวเถิกดั้งหักตาเหล่เป็นเบ๊แม้ว เป็นแค่ทนายต๊อกต๋อยอยู่ๆก็ดันเป็นรัฐมนตรีได้ซะนี่ เมื่อวานไม่เห็นมาสภาเลย หรือว่าเป็นครั้งแรกใจมันเลยตุ๊มๆต่อมๆ


 





"รายชื่อนักวิชาการรับใช้เผด็จการ


ที่ออกมาคัดค้านและห้ามใครคิดจะมาแตะรัฐธรรานูญเผด็จการ พวกนี้จะสู้ตาย
ห้ามแก้ไข ห้ามปรับปรุง  ห้ามฉีก

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/t ... 88426.html
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/t ... 88479.html

รายชื่อนักวิชาการรับใช้เผด็จการ
คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1. ผศ.ธิติพันธ์ เชื้อบุญชัย (คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ)
2. ผศ.กนิช บุณยัษฐิติ (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
3. ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
4. ศ.วีระพงษ์ บุญโญภาส (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
5. รศ.สำเรียง เมฆเกรียงไกร (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
6. ผศ.ดร.ศารทูล สันติวาสะ (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
7. ผศ.อิทธิพล ศรีเสาวลักษณ์ (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
8. อาจารย์วิโรจน์ วาทินพงศ์พันธ์ (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
9. อาจารย์พัฒนาพร โกวพัฒนกิจ (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
10.อาจารย์ธิดารัตน์ ศิลปภิรมย์สุข (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
11.อาจารย์วิภานันท์ ประสมปลื้ม (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
12.อาจารย์วิโรจน์ วาทินพงศ์พันธ์ (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
13.อาจารย์ธิดาพร ศิริถาพร (นิติศาสตร์ จุฬาฯ)
14.อาจารย์กัญจน์ศักดิ์ เพชรานนท์(นิติศาสตร์ จุฬาฯ)

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
1. ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ (คณบดีคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์)
2. ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ (อธิการบดี ธรรมศาสตร์)
3. ศ. ดร.ไพโรจน์ กัมพูสิริ (นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์)
4. รศ. ดร. อุดม รัฐอมฤต (นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์)
5. รศ. ดร. ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ (นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์)
6. ผศ.ดร.สมเกียรติ วรปัญญาอนันต์ (นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์)
7. รศ.ดร.วิจิตรา วิเชียรชม (นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์)
8. ผศ.ดร.วีรวัฒน์ จันทโชติ (นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์)
9. ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ (นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์)
10. ดร.เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล (นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์)

สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
1. อาจารย์เธียรชัย ณ นคร (นิติศาสตร์ มสธ.)
2. อาจารย์คมสันต์ โพธิ์คง (นิติศาสตร์ มสธ.)
3. อาจารย์สิริพันธ์ พลรบ (นิติศาสตร์ มสธ.)
4. รศ.ศิริศักดิ์ ศุภมนตรี (นิติศาสตร์ มสธ.)


คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
1. ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.สยาม

คณะนิติศาตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
1. อาจารย์รพีพรรณ อัตนะ (นิติศาสตร์ ม.ทักษิณ)
2. อาจารย์จิรานันท์ ชูชีพ (นิติศาสตร์ ม.ทักษิณ)
3. อาจารย์หทัยกาญจน์ กำเนิดเพชร (นิติศาสตร์ ม.ทักษิณ)
4. อาจารย์กรรภัทร ชิตวงศ์ (นิติศาสตร์ ม.ทักษิณ)
5. อาจารย์กรกฎ ทองขะโชค (นิติศาสตร์ ม.ทักษิณ)
6. อาจารย์ธนากร โกมลวนิช (นิติศาสตร์ ม.ทักษิณ)

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
1. อาจารย์นิดาวรรณ เพราะสุนทร รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.รังสิต
2. อาจารย์ ชาญชัย ดิเรกคุณาธรณ์ รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.รังสิต

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวง
1. อาจารย์ นิรมัย พิศแข (นิติศาสตร์ ม.แม่ฟ้าหลวง)

มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต
1. อาจารย์โชคดี นพวรรณ

นักวิชาการอิสระด้านนิติศาสตร์
1. อาจารย์กิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์

พวกเขาเกิดมาเพื่อเผด็จการเก่งแต่ปาก ทำไม่เป็น
แต่บูชาเผด็จการ อำมาตย์  ขุนนาง
เพราะเขามองว่า ประเทศไทย ด่อย โง่ 
แต่พวกเขาคือคนเก่งฉลาด การศึกษาดี
มีฐานะ"
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: