จากที่อภิปรายฯ วันแรก คุณนพดลก็หนีกลับก่อน
ไปดูที่มติชน เจอบทความหม่อมอุ๋ยจับโกหกอีก
เรื่องข้ออ้างต้องรีบเซ็นเพราะกลัวเสียดินแดน
มาเป็นชุดแบบนี้ผมว่าคุณนพดลไปก่อนแน่นอน -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
'หม่อมอุ๋ย'เขียนเรื่อง'เขาพระวิหาร'แฉ'บิ๊ก' กองทัพหวั่นเสียดินแดนจำใจทำตาม'นพดล' http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=37636&catid=1วันที่ 24 มิถุนายน 2551
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล จับปากกาเขียนบทความเรื่อง
"เขาทำอะไรกันที่เขาพระวิหาร" ผมได้ยิน
ผู้ใหญ่ในรัฐบาลและบิ๊กทหารจำใจรับข้อเสนอบัวแก้ว ดีกว่าปล่อยยืนเดี่ยวลุยยูเนสโก้ ดินแดนทับซ้อน
จะยิ่งลุกลาม เปิดโปงเขมรไม่มีทางขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวได้ ถ้าไทยไม่รับรอง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หนึ่งในผู้ร่วมลงนาม
ในจดหมายเปิดผนึกถึงคณะกรรมการมรดกโลก ได้เขียนบทความเรื่อง "เขาทำอะไรกันที่เขาพระวิหาร"
มีสาระสำคัญ คือ
จากการอ่านแถลงการณ์ร่วมระหว่าง
รัฐมนตรี สก อาน ของกัมพุชา และ
นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีต่างประเทศ
ของไทย พบว่าแม้แผนที่ที่ฝ่ายกัมพูชาจัดทำขึ้นใหม่เพื่อประกอบการยื่นขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็น
มรดกโลก จะไม่ครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อนทางทิศตะวันตกและทิศเหนือของตัวปราสาท ที่ไทยถือว่า อยู่ใน
เขตแดนของไทย ก็ตาม
แต่ข้อตกลงของที่ประชุมบางข้ออาจเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชาใช้ประโยชน์ในการ เรียกร้องดินแดนส่วนนี้
จากเราได้ง่ายขึ้นในอนาคต แม้ว่ากัมพูชาอาจจะไม่ตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม
ก่อนเรื่องเขาพระ วิหารขึ้นศาลโลก กัมพูชาถือว่า เส้นเขตแดนระหว่างกัมพูชาและไทย คือเส้นประ (รูปที่ 1)
ส่วนไทยถือว่า เส้นเขตแดนคือเส้นทึบ
หลังจากศาลโลกตัดสินให้กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหาร (แต่ไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตแดน
รัฐบาลไทย มีมติครม.ปี 2505 ปรับเส้นเขตแดนใหม่ (เส้นไข่ปลา) แต่พื้นที่ทับซ้อนด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือ
(พื้นที่ JZ) นั้น รัฐบาลไทยยังถือว่าอยู่เขตแดนของไทยอยู่ต่อไป ซึ่งเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมากัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียน
ปราสาทเขาพระวิหาร โดยระบุเส้นเขตแดนตามเส้นประครอบคลุมพื้นที่ ที่ไทยถือว่า อยู่ในเขตแดนไทยด้วย
ประเทศไทยจึงทักท้วง โดยเสนอทางออกขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกัน แต่กัมพูชาไม่ยอมตามข้อเสนอนี้
ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2550 ที่เมืองไครส์เชิร์ช จึงได้ขอให้ทั้งสองฝ่ายกลับมา
ตกลงกันให้ได้เสียก่อนทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศของไทยพยายามเจรจากับกัมพูชาให้ยื่นขอ
จดทะเบียนร่วมกันมาโดยตลอด
แต่เมื่อไม่นานมานี้
รัฐมนตรี นพดล ปัทมะได้ เข้ามาเป็นผู้นำการเจรจาด้วยตนเอง และได้เปลี่ยนแนวทางจาก
ความพยายามที่จะขอยื่นจดทะเบียนร่วมกัน เป็นการยินยอมให้กัมพูชายื่นขอเพียงฝ่ายเดียว โดยจะต้องกำหนด
เขตของปราสาทพระวิหารที่จะยื่นขอไม่ให้ครอบคลุมพื้นที่ JZ ที่เราถือว่า อยู่ในเขตแดนไทย
ผลการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายปรากฏว่า กัมพูชายินยอมกำหนดเขตที่จะยื่นขอขึ้นใหม่ตามแผนที่ในรูปที่ 2 จึงรู้สึก
เหมือนกับว่า กัมพูชาได้ปรับเขตพื้นที่ด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือของปราสาท ให้เป็นของไทยโดยสิ้นเชิง
เสมือนว่าผู้เจรจาสามารถทำให้เกิดความแจ่มชัดว่า กัมพูชายอมรับว่าพื้นที่ทับซ้อนส่วนนี้เป็นของไทย
แต่เมื่ออ่านคำแถลงการณ์ร่วมอย่างละเอียดแล้วพบว่า กัมพูชาเรียกเส้นที่กำหนดขึ้นใหม่เพื่อประกอบการ
ยื่นขอขึ้นทะเบียนนี้ว่า เส้นขอบเขตของปราสาท ไม่ได้เรียกว่าเส้นเขตแดน กัมพูชายังคงถือเส้นประในรูปที่ 1
เป็นเส้นเขตแดนตามเดิมและพื้นที่ JZ ในรูปที่ 1 ก็ยังเป็นพื้นที่ทับซ้อนซึ่งจะต้องเจรจากันต่อไประหว่าง 2 ประเทศ
และเมื่ออ่านแถลงการณ์ร่วมอย่างละเอียดแล้วพบว่าในข้อ 4 ได้ระบุให้ทั้งสองประเทศต้องร่วมกันจัดทำแผนบริหาร
จัดการฉบับสุดท้ายสำหรับ ตัวปราสาทพระวิหารทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ (พื้นที่ JZ ในรูปที่ 1) และให้บรรจุ
แผนการบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวไว้ ที่จะต้องเสนอต่อศูนย์มรดกโลกภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553
แถลงการณ์ข้อนี้ ชี้ชัดว่า คณะกรรมการมรดกโลกต้องการแผนบริหารจัดการของพื้นที่ทับซ้อนด้านทิศตะวันตก
และทิศเหนือของตัวปราสาทจึงจะพิจารณาอนุมัติการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกได้ ไม่ใช่การขึ้นทะเบียนเฉพาะ
ตัวปราสาทพระวิหารแต่เป็นการขึ้นทะเบียนตัวปราสาท และพื้นที่รอบตัวปราสาท ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ทำให้
มีสถานะเป็นมรดกโลกที่สมบูรณ์แบบรวมกันไปด้วย
หาก ปล่อยให้ดำเนินการไปเช่นนี้จนได้รับอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในที่ สุด ก็เท่ากับว่ากัมพูชา
เป็นผู้ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียง ผู้เดียว และเป็นผู้นำเสนอแผนบริหารจัดการ
พื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหาร โดยมีฝ่ายไทยช่วยจัดทำแผนบริหารจัดการดังกล่าว แต่ไม่ได้ร่วมขอ
ขึ้นทะเบียนมรดกโลกชิ้นนี้ด้วย
ข้อเท็จจริงที่ว่า การอนุมัติให้ปราสาทพระวิหารและพื้นที่รอบปราสาท เป็นมรดกโลก มิได้หมายความว่า
พื้นที่ดังกล่าวตกเป็นของกัมพูชา แต่จะเป็นหลักฐานชัดเจนว่ากัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้ยื่นขอขึ้นทะเบียน
ปราสาทและพื้นที่รอบปราสาทต่อคณะกรรมการมรดกโลก โดยประเทศไทยไม่ได้แสดงตนในความเป็น
เจ้าของพื้นที่ทับซ้อนด้านทิศตะวันตกและ ทิศเหนือไว้เป็นหลักฐานเลย เป็นพื้นฐานที่ดีที่กัมพูชาอาจใช้
ในการเรียกร้องสิทธิเหนือดินแดนในพื้นที่ ดังกล่าวได้ในอนาคต และมีข้อเท็จจริงเช่นกันว่า ขณะนี้ในพื้นที่
ทับซ้อนบนเขาพระวิหารนั้น มีชาวเขมรไปตั้งบ้านเรือนจนเป็นชุมชนและมีร้านค้าขายของเป็นตลาดสำหรับ
นักท่องเที่ยวอยู่แล้ว โดยไม่มีคนไทยเข้าไปอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนนี้เลย
กัมพูชายังถือว่า เส้นประในรูปที่ 1 เป็นเส้นเขตแดน และถือว่า พื้นที่ทับซ้อนทั้งหมดอยู่ในเขตแดนของเขา
หลังจากได้รับอนุมัติให้ปราสาทและพื้นที่โดยรอบเป็นมรดกโลกแล้ว เขาคงจะทิ้งช่วงเวลาไว้อีกระยะหนึ่ง
จนถึงจุดที่อ้างได้ว่า ในทางปฏิบัติเขาได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนส่วนนี้มานานแล้ว ทั้งในด้าน
ครอบครองเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขมร และในด้านที่เป็นส่วนประกอบของมรดกโลกที่เขาเป็นผู้เสนอ
แต่ฝ่ายเดียว เมื่อถึงเวลานั้นคนกลางที่ตัดสินอาจจะไม่สามารถปฏิเสธการเรียกร้องสิทธิดัง กล่าวได้
ผมได้ยินมาว่า ผู้ใหญ่ในรัฐบาลหลายท่านและนายทหารใหญ่ที่มีอำนาจ จำใจต้องยินยอมตามข้อเสนอ
ของกระทรวงต่างประเทศ เพราะได้รับทราบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศว่า หากประเทศไทย
ไม่สนับสนุนกัมพูชาก็จะดำเนินการขอขึ้นทะเบียนแต่เพียงลำพัง โดยใช้แผนที่ที่มีเส้นประในรูปที่ 1
เป็นเส้นกำหนดเขตของปราสาทที่ขอขึ้นทะเบียน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนที่ทับซ้อนไปทั้งหมด
ข้ออ้างนี้ไม่น่าจะเป็นจริง เพราะข้อบังคับของคณะกรรมการมรดกโลกข้อที่ 132.1 เรื่องการพิสูจน์สถานที่
ระบุว่า "ในกรณีที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนซึ่งมีเขตแดนที่ไม่ชัดเจน ประเทศข้างเคียงจะต้องลงนามให้ความยินยอม
คณะกรรมการมรดกโลกจึงจะรับพิจารณา"
นอกจากนี้ยังมีข้อบังคับข้อที่ 135 ซึ่งระบุว่า
" หากเป็นไปได้ ประเทศที่มีมรดกโลกร่วมกันตามแนวชายแดน
ควรเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน เพื่อสะดวกในการบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่ร่วมกันของ
ทั้งสองประเทศ" และในอดีตจนถึงปัจจุบัน ได้มีการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยสองประเทศ
ทำร่วมกันหลายชิ้นแล้ว
ท่านนายกฯ ครับ เรื่องนี้ยังไม่สายเกินแก้ ผมเชื่อในความรักชาติของท่านนายกฯ และผมเชื่อว่าท่าน
จะสามารถหาหนทางแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสม