http://www.komchadluek.net/2008/06/24/x_eco_d001_208455.php?news_id=208455ครัวเรือนรายได้ต่ำเสี่ยงหนี้พุ่ง ธปท.ห่วงกลุ่มเกษตร-แรงงานสู้ค่าครองชีพไม่ไหวธปท.ระบุครัวเรือนรายได้น้อยเสี่ยงก่อปัญหาหนี้เพิ่ม หลังค่าครองชีพพุ่งสูงขณะที่รายได้ยังอยู่ในระดับต่ำ เผยเงินออมลดลง แนวโน้มการกู้ยืมเพิ่มขึ้น และอาจชำระหนี้ไม่ได้ มองกลุ่มเกษตรกรและแรงงานรายได้น้อยน่าเป็นห่วงน.ส.อนรรฆ เสรีเชษฐพงษ์ และนายกฤษฎิ์ เดชารักษ์ เศรษฐกรส่วนเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุในบทความเรื่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือน ว่า แม้ภาพรวมปัญหาหนี้สินของครัวเรือนไทยจะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ แต่ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย โดยเฉพาะครัวเรือนในภาคเกษตรและแรงงานยังมีความเสี่ยงต่อปัญหาหนี้ครัวเรือน จากการที่สัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ และภาระหนี้สินต่อเดือนอยู่ในระดับสูง โดยครัวเรือนที่มีรายได้น้อยมีภาระหนี้สินทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยคิดเป็น 35% ของรายได้ต่อเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงหากเทียบกับภาระหนี้ที่อยู่ในระดับบริหารจัดการได้ที่ 30-40% ของรายได้
"ภาวะดังกล่าวทำให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยมีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำ และเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหนี้สิน อีกทั้งการสำรวจล่าสุดยังพบว่า กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อยมีหนี้สินเพิ่มและมีสินทรัพย์ทางการเงินลดลงในช่วงปี 2549 แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ต่ำลงและมีความเสี่ยงในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น" ผู้เขียนบทความระบุ
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากระดับการออมของครัวเรือนที่มีรายได้น้อย จะพบว่าครัวเรือนที่รายได้น้อยมีเงินออมติดลบต่อเนื่องจากการที่มีรายได้ต่ำกว่ารายจ่าย และยังมีแนวโน้มที่จะมีเงินออมติดลบต่อเนื่องอีกด้วย ซึ่งในภาวะที่ค่าครองชีพปรับเพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้ ทำให้การลดลงของเงินออมรุนแรงมากขึ้น และนำไปสู่การกู้ยืมเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีความเปราะบางต่อปัญหาการชำระหนี้มากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ครัวเรือนภาคเกษตรที่มีรายได้น้อยถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงซ้ำซ้อน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุดและรายได้ยังผันผวนตามผลผลิตและราคาสินค้าด้วย ซึ่งการปรับขึ้นของราคาสินค้าเกษตรในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รายได้เกษตรกรปรับตัวดีขึ้น แม้ต้นทุนค่าครองชีพจะปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวความเสี่ยงของกลุ่มครัวเรือนเกษตรกรรายได้น้อยยังมีอยู่ โดยเฉพาะการที่รายได้สุทธิผันผวนตามราคาสินค้าเกษตร
ส่วนกลุ่มแรงงานรายได้น้อยเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่กู้ยืมเงินจากนายทุนนอกระบบสูงถึง 31.6% ทำให้ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยสูง และการก่อหนี้ยังเป็นไปเพื่อการบริโภค ซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้เป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนถึง 54.24% ดังนั้น เมื่อค่าครองชีพปรับเพิ่มขึ้นขณะที่รายได้คงที่ ความเสี่ยงในการชำระหนี้ของกลุ่มแรงงานรายได้น้อยจึงสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่การปรับค่าแรงขั้นต่ำช่วงที่ผ่านมามีส่วนช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพได้ในระดับหนึ่ง แต่ในระยะยาวปัญหาด้านค่าครองชีพยังคงเป็นความเสี่ยงอยู่ต่อไป
...............................
เรื่องแบบนี้แบ๊งก์ชาติถึงขนาดต้องเสียเวลาไปทำวิจัยด้วยหรือ?? ในเมื่อคนทำงานแบ๊งก์ชาติแต่ละคนขับรถมาทำงานจอดกันเต็มลาน ก็รู้สึกได้อยู่แล้วว่ามันค่าน้ำมันแต่ละเดือนมันซดหนักขนาดไหน มันเรื่องเซ้นส์ๆ แล้วเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 203 บาท ข้าวจานละ 35-40 บาท ค่านั่งมอไซค์ออกไปปากซอยไปกลับ 30 บาท รถเมล์ 2 ต่อไปกลับ 60 บาท วันนึงยังไม่นับค่าเช่าบ้านก็ 210 บาทแล้ว ............. นอกจากนี้ก็ไม่ต้องไปอื่นไกล แบ๊งก์ชาติเองนั่นแหละที่ประชุมกำหนดอัตราดอกเบี้ยแต่ละครั้ง ก็รู้ว่าดอกเบี้ยที่แท้จริงมันติดลบมา 5 ปีแล้ว นี่คือสาเหตุส่วนหนึ่งที่ไปกดดันให้เงินเฟ้อ คนต้องออกมากู้ กิน ใช้ กันแหลกลาน จนกระทั่งมีราคาน้ำมันพุ่งมากระทบ แล้วทำไมต้องไป "ทำวิจัยขี่ช้างจับตักแตน" เพื่ออะไร