ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
25-04-2024, 14:54
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : "ปราสาทเขาพระวิหาร"เป็นของเขมร 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1] 2
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : "ปราสาทเขาพระวิหาร"เป็นของเขมร  (อ่าน 13326 ครั้ง)
ขบวนการไดโนเสาร์
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 39


« เมื่อ: 22-06-2008, 22:25 »

"ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" เขียนจดหมายถึงนักศึกษาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกัลยาณมิตร เล่าประวัติศาสตร์ปราสาทเขาพระวิหาร ฟันธง “เป็นของกัมพูชาทั้งจากด้านประวัติศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์” และวิเคราะห์ถึงรากปัญหาที่สังคมไทยอารมณ์ค้าง ทำให้เรื่องนี้จุดปุ๊บติดปั๊บ พร้อมตั้งคำถามให้ "พันธมิตรฯ" ผู้จุดกระแสเพื่อล้มรัฐบาลตอบ ทั้งในแง่การเมืองในประเทศ และมิติระหว่างประเทศ

http://www.charnvitkasetsiri.com/PDF/PreahVihearFor20June.pdf
บันทึกการเข้า
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #1 เมื่อ: 22-06-2008, 22:40 »

อ.ชาญวิทย์ ผมไม่ทราบว่าแกคร่ำเคร่งกับวิชาการเกินไปรึเปล่านะครับ

คราวที่แล้วร่อนจดหมายอยากจะแยก เขตพระนคร และ เขตธนบุรี ออกจากกัน

ทางที่ดีพักบ้างนะครับ อาจารย์ด้วยความเป็นห่วง
บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
นิรนาม
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 554



« ตอบ #2 เมื่อ: 22-06-2008, 23:00 »

ผมว่าอาจารย์ชาญวิทย์ แก่มีความคิดแบบเดียวกับบรรดา ส.ส.ศรีสะเกษนั้นแหละ "เขาพระวิหารเป็นของเขมร" อามิตพุทธ
บันทึกการเข้า

"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ  จันดำ
ถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
      นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน
“บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา”
Solidus
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,381



« ตอบ #3 เมื่อ: 22-06-2008, 23:12 »

ตลกตรงที่ว่าเป็นของกัมพูชาด้านประวัติศาสตร์นี่แหละ อาณาจักรขอมมันเป็นบรรพบุรุษทั้งไทย กัมพูชา ลาว ตัวหนังสือภาษาไทยก็ดัดแปลงมาจากอักษรขอม ตัวเลขนี่เห็นได้ชัดเจนที่สุด เพราะทั้งไทย ลาว กัมพูชาใช้ตัวเลขแบบเดียวกัน ถ้าเอาตามประวัติศาสตร์ไทยก็สามารถอ้างเป็นเจ้าของได้ ทางขึ้นก็อยู่ที่ไทย มีใครที่ไหนที่สร้างบ้านโดยให้ทางเข้าอยู่ที่บ้านคนอื่นบ้าง
บันทึกการเข้า
นักปฏิวัติ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 330



« ตอบ #4 เมื่อ: 23-06-2008, 00:34 »

ถ้ายึด logic นี้ ผมว่าเราอ้างแผนที่ สมัย ร.5 ก่อนถูกฝรั่งเศส อังกฤษใช้กำลังยึด
http://www.lib.utexas.edu/maps/historical/indo_china_1886.jpg

เราไม่กวาดหมดทั้ง อินโดจีน เหรอเนี่ย  Mr. Green

ไม่ต้อง เอาแค่ เขาพระวิหาร แต่ น่าจะได้บ้านฮุนเซน บ้านตันฉ่วย แหล่งJDAก๊าซมาเลย์ ฯลฯ ที่มีข้อพิพาทกับเราทั้งหลาย น่าจะดีกว่า  Mr. Green
บันทึกการเข้า

"สุดยอดกลยุทธ์ คือชนะโดยไม่ต้องรบ" ซุนวู

"ผู้นำชั้นเลิศนั้น เพียงแต่เป็นที่รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่
ชั้นรองลงมา เป็นที่รักและสรรเสริญ
ชั้นรองกว่านั้น เป็นที่เกรงกลัวและเกลียดชัง" เหล่าจื๊อ เต้าเต๋อจิง
mebeam
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 634


Fear can hold you prisoner. Hope can set you Free.


« ตอบ #5 เมื่อ: 23-06-2008, 00:36 »

-ขนาด หนังสือสือสารคดี ยังต้องขอโทษแกเลย



....... ตีแผ่ความจริง "มติชน" เกือบตายเรื่องปราสาทเขาพระวิหารมาแล้ว หลักฐานชัดเจน ........
.

      "สารคดี" นิตยสารในเครือมติชน เคยทำหนังสือขอโทษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ คุณธีรภาพ โลหิตกุล มาแล้วเรื่องกรณีปราสาทเขาพระวิหาร พวกคุณรู้ดีอยู่แก่ใจและยอมรับแล้วว่า สิ่งที่ทั้งสองท่านพูดไปคือถูกต้อง มิฉะนั้นพวกคุณจะไปขอโทษทั้งสองทำไม

      สื่ออย่างพวกคุณต้องนำความจริง 2 ด้านออกมาแสดงสิ อย่าอคติอีกต่อไปเลย ขอโทษประชาชนซะ อาจให้อภัยพวกคุณ

     ลองมาอ่านกันครับ



เนื้อข่าวที่มติชนลงคลาดเคลื่อน จึงเป็นที่มาของการที่คุณชาญวิทย์และคุณธีรภาพต้องออกมาโต้ จนทำให้มติชนต้องออกแถลงการณ์ขอโทษ มาอ่านกันครับ
    ***
     เนื้อข่าวที่คลาดเคลื่อน
     วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10723

     ปลุกเขาพระวิหารของไทย

     เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ สถาบันสหวิทยาการศาสตร์และการจัดการความรู้ คณะโบราณคดี และสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดเสวนาเรื่อง "เขาพระวิหาร มรดกโลกของเขมร" นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มีการเสนอความคิดว่า "ขอมไม่ใช่เขมร"

     ดังนั้น เมื่อขอมไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของเขมร เขมรปัจจุบันก็ไม่มีสิทธิจะครอบครองเขาพระวิหาร หรือการเสนอแนวคิดเรื่อง "คนไทยอยู่ที่นี่" มาตั้งแต่สมัยทวารวดีแล้ว ดังนั้น คนไทยก็น่าจะเป็นแรงงานกรรมกรในการสร้างเขาพระวิหาร ตลอดจนบรรดาปราสาทขอมทั้งหลายในอีสาน เหตุนี้จึงเป็นสิทธิอันชอบธรรมของไทย ที่จะได้เขาพระวิหารไว้

     นายธีรภาพ โลหิตกุล นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า สมัยก่อนกรมดำรงราชานุภาพเสด็จไปเขาพระวิหารในสมัยนั้นฝรั่งเศสเป็นผู้ครอบครองกัมพูชา ชาวฝรั่งเศสยังข้ามมาฝั่งไทยมาต้อนรับทางฝั่งไทย สิ่งเหล่านี้จึงยืนยันว่าเขาพระวิหารน่าจะเป็นของไทย อย่างไรก็ดี ความคิดแบบดั่งเดิมไทยแพ้ศาลโลกอย่างไม่เป็นธรรมในกรณีเขาพระวิหาร อาจจะนำมาเรื่องความร้าวฉานกลับมาอีกครั้งก็เป็นได้

     ...................................................................................

     "มติชน" คุณเคยคิดจะนำความจริงที่พวกคุณเคยทำผิดพลาดมาแล้ว ออกมาเปิดเผยให้สังคมทราบหรือไม่

 หนังสือที่ ดร.ชาญวิทย์ ตอบกลับ มติชน แบบสอนมวย

     เรียนบรรณาธิการ นสพ. มติชน

     สืบเนื่องจากการรายงานข่าวใน นสพ. มติชน ฉบับวันที่ ๒๐ กรกฎาคม มีความคลาดเคลื่อนและ "อ้างนอกบริบท" และเป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างกัมพูชาและไทย ผมขอเรียนชี้แจงดังนี้

     หนึ่ง) จุดประสงค์ของการจัดสัมมนาเรื่อง "เขาพระวิหาร มรดกโลกของกัมพูชา" ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ก็เพื่อสร้างความเข้าใจให้ถูกต้องว่า "เขาพระวิหาร เป็นมรดกโลกของกัมพูชา"

     สอง) สิ่งที่ผมอภิปราย ก็คือ ยังมีคนในเมืองไทยจำนวนไม่น้อยเข้าใจไม่ถูกต้องว่า "ขอม ไม่ใช่เขมร" ทั้งๆที่ทางประวัติศาสตร์แล้ว "ขอม ก็คือเขมร" หรือ ขะแมร์ นั่นเอง ทั้งยังมีคนไม่น้อยคิดว่า "เขาพระวิหาร" น่าจะเป็นของไทย เพราะทางขึ้นอยู่ทางเมืองไทย แต่ในแง่ของหลักนิติศาสตร์นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ หรือ ๑๐๐ ปีมาแล้ว สยาม/ไทยโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ และสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ก็ได้ยอมรับการแบ่งเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำขึ้นโดยการขีดเส้นให้ "เขาพระวิหาร" อยู่ในพรมแดนของอินโดจีนฝรั่งเศส

    สาม) ดังนั้น ศาลโลกที่กรุงเฮกจึงตัดสินให้ "เขาพระวิหาร" เป็นของกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ เมื่อปี ๒๕๐๕ เรื่องจึงควรยุติที่ตรงนี้

    สี่) เขาพระวิหาร เป็นเรื่องที่มี "ความละเอียดอ่อน" ต้องระมัดระวังในการพูดจาและการถ่ายทอดในสื่อทุกชนิด มิฉะนั้น จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เช่นการเผาสถานทูตไทยเมื่อปี ๒๕๔๖

    ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
    20 กรกฎาคม 2550

    --------------------------------------------
คำแถลงการณ์ที่นำมาลงในเว็บไซต์นิตยสารสารคดี

       http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=News&file=article&sid=2258

       แถลงการณ์
กรณีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร

      ตามที่หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 หน้า 15 เสนอข่าวการเสวนาในหัวข้อ "เขาพระวิหาร มรดกโลกของเขมร"* จัดโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาศิลปากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีหัวข้อข่าวว่า "ปลุกเขาพระวิหารของไทย" และมีเนื้อหาข่าวโดยสรุปได้ว่า นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการแห่งมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และนายธีรภาพ โลหิตกุล นักวิชาการอิสระ แสดงทัศนะว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นสิทธิอันชอบธรรมของไทยนั้น

     ใคร่ขอชี้แจงว่าเป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ และนายธีรภาพ โลหิตกุล มิได้แสดงทัศนะดังกล่าว ดังปรากฏชัดเจนในบันทึกเทปการเสวนาที่คณะโบราณคดีได้บันทึกไว้ และยังปรากฏในเอกสารประกอบการเสวนา รวมทั้งในหัวข้อการเสวนาที่ระบุอย่างชัดเจนว่า "เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของเขมร"

     จึงเรียนมาเพื่อใคร่ขอชี้แจงว่า นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ และนายธีรภาพ โลหิตกุล มีทัศนะเห็นพ้องต้องกันว่า หากพิจารณาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยไม่มีอคติในเรื่องชาตินิยมแล้ว ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกทางอารยธรรมล้ำค่า และเป็นสิทธิอันชอบธรรมของชาวกัมพูชาและประเทศกัมพูชา

     ทั้งนี้ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ยังดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษา โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชา ลาว และพม่า มาโดยตลอด ดังปรากฏในบทความทางวิชาการ บทความสารคดี การจัดอบรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา ครูอาจารย์ เกี่ยวกับความเข้าใจในประเทศเพื่อนบ้าน และยังเป็นผู้นำทางความคิด รณรงค์ให้ที่ประชุมรัฐมนตรีกระทรวง ศึกษาธิการแห่งอาเซียน ร่วมมือกันชำระประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดอคติและความบาดหมางต่อกัน ออกจากแบบเรียนประวัติศาสตร์ของนักเรียน นิสิตนักศึกษาในกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย

      ในขณะที่นายธีรภาพ โลหิตกุล มีผลงานเขียนบทสารคดีโทรทัศน์ รายการโลกสลับสี ชุด "นครวัด นครธม" (พ.ศ. 2533) เป็นผู้เขียนหนังสือสารคดีท่องเที่ยว ชุด "นครวัด นครธม" (พ.ศ. 2545) เป็นผู้จัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในประเทศกัมพูชา พม่า ลาว ฯ ในนามชมรมท่องอุษาคเนย์" และปัจจุบัน ยังเป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุ รายการ "คลื่นอุษาคเนย์" ที่ว่าด้วยความสัม พันธ์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทางวิทยุ อสมท. Fm. 96.5 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.

      จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

      20 กรกฎาคม 2550


http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6729895/P6729895.html

บันทึกการเข้า
mebeam
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 634


Fear can hold you prisoner. Hope can set you Free.


« ตอบ #6 เมื่อ: 23-06-2008, 00:46 »

จัดเสวนาอย่างไร ไม่รู้เรื่องจนเขา เขียนหนังสือไปได้ซะคนละเรื่องละราว ตรงข้ามกันได้อย่างนั้น
ไม่เข้าใจเลย   
บันทึกการเข้า
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #7 เมื่อ: 23-06-2008, 00:53 »

เอ...หรือ อ.ชาญวิทย์ กูรูประวัติศาสตร์ 1 ใน 3 ของประเทศไทย (นิธิ - ชาญวิทย์ - ศรีศักดิ์)

จะกลายเป็น "สูงสุดคืนสู่สามัญ" จากผู้ใหญ่กลายเป็นเด็ก เหมือน อ.นิธิ ไปอีกคนแล้วหรือ

อ.ชาญวิทย์ ในฐานะนักประวัติศาสตร์
ถ้าเอาประวัติศาสตร์รัฐชาติ มาหักล้าง เพื่อเอาชนะ ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์
ไม่ป่วย ก็บ้าแล้วละครับ

ไม่ว่าจะยังไง
ตอนนี้ อ.ชาญวิทย์ ก็กลายเป็นคนดี คนน่ารัก
ในลิสต์รายชื่อของขบวนการคนรักเหลี่ยมไปเรียบร้อยแล้ว


 

ปล.ในขอบเขตราชอาณาจักรไทย ถูกซ้อนทับอยู่ด้วยประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ 3 เชื้อสายใหญ่ ๆ
คือ ขอม - มอญ และ ไต (ชาติพันธุ์ลุ่มแม่น้ำโขง ไปจรดยูนนาน)
ถ้าจะเอาประวัติศาสตร์แบบที่ อ.คิดมาจับ สงสัยประเทศไทยจะสูญหายไปจากแผนที่โลก
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
ScaRECroW
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,000


สุสูสัง ลภเต ปัญญัง - ผู้ฟังดี ย่อมเกิดปัญญา


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 23-06-2008, 01:01 »

ผมไม่ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง มันคงมีหลักฐานเอกสารอยู่เยอะแยะมาก ผมไม่แน่ใจว่าพวกที่ด่า ๆ กันอยู่นั้น มีใครเคยศึกษาตรวจสอบเอกสารหลักฐานในประวัติศาสตร์ของกรณีนี้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์กันบ้างหรือยัง

คนหนึ่งเรียนมาด้านประวัติศาสตร์ หากินด้วยการเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ นานหลายสิบปี อีกคนหนึ่งเป็นสื่อมวลชนมาตลอด ว่าง ๆ ก็ขู่กรรโชก ใครยืนอยู่ห่าง ๆ ก็ด่าเขา ใครไม่เห็นด้วยช่วยเหลือก็ด่าเขา

ระหว่าง ดร.ชาญวิทย์ กับ สนธิ พูดเรื่องประวัติศาสตร์ ผมว่าผมเอน ๆ ไปทางชาญวิทย์มากกว่านะครับ

ภายใต้สภาวะทางสังคมที่เดือดปุด ๆ ทำให้การหยุดฟังคนที่พูดต่าง ก็ยากเหมือนกัน
บันทึกการเข้า

Politic is nothing but the continuation of [the sin of] 7 by other means.

ท่านคิดว่า นรม. ควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ากฏหมายบางฉบับมีช่องโหว่?
ก.ใช้อำนาจ นรม.ที่ได้รับมาจากประชาชนแก้กฏหมายเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ของแผ่นดิน
ข.ฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่เหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและคนรอบข้าง แล้วก็อ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน
เพื่อนร่วมชาติ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 777


« ตอบ #9 เมื่อ: 23-06-2008, 01:12 »

-ขนาด หนังสือสือสารคดี ยังต้องขอโทษแกเลย



....... ตีแผ่ความจริง "มติชน" เกือบตายเรื่องปราสาทเขาพระวิหารมาแล้ว หลักฐานชัดเจน ........
.

      "สารคดี" นิตยสารในเครือมติชน เคยทำหนังสือขอโทษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ คุณธีรภาพ โลหิตกุล มาแล้วเรื่องกรณีปราสาทเขาพระวิหาร พวกคุณรู้ดีอยู่แก่ใจและยอมรับแล้วว่า สิ่งที่ทั้งสองท่านพูดไปคือถูกต้อง มิฉะนั้นพวกคุณจะไปขอโทษทั้งสองทำไม

    --------------------------------------------
คำแถลงการณ์ที่นำมาลงในเว็บไซต์นิตยสารสารคดี

       http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=News&file=article&sid=2258

       แถลงการณ์
กรณีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร

      ตามที่หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 หน้า 15 เสนอข่าวการเสวนาในหัวข้อ "เขาพระวิหาร มรดกโลกของเขมร"* จัดโดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาศิลปากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีหัวข้อข่าวว่า "ปลุกเขาพระวิหารของไทย" และมีเนื้อหาข่าวโดยสรุปได้ว่า นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการแห่งมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และนายธีรภาพ โลหิตกุล นักวิชาการอิสระ แสดงทัศนะว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นสิทธิอันชอบธรรมของไทยนั้น

     ใคร่ขอชี้แจงว่าเป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ และนายธีรภาพ โลหิตกุล มิได้แสดงทัศนะดังกล่าว ดังปรากฏชัดเจนในบันทึกเทปการเสวนาที่คณะโบราณคดีได้บันทึกไว้ และยังปรากฏในเอกสารประกอบการเสวนา รวมทั้งในหัวข้อการเสวนาที่ระบุอย่างชัดเจนว่า "เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของเขมร"

     จึงเรียนมาเพื่อใคร่ขอชี้แจงว่า นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ และนายธีรภาพ โลหิตกุล มีทัศนะเห็นพ้องต้องกันว่า หากพิจารณาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยไม่มีอคติในเรื่องชาตินิยมแล้ว ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกทางอารยธรรมล้ำค่า และเป็นสิทธิอันชอบธรรมของชาวกัมพูชาและประเทศกัมพูชา

     ทั้งนี้ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ยังดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษา โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชา ลาว และพม่า มาโดยตลอด ดังปรากฏในบทความทางวิชาการ บทความสารคดี การจัดอบรมนักเรียน นิสิต นักศึกษา ครูอาจารย์ เกี่ยวกับความเข้าใจในประเทศเพื่อนบ้าน และยังเป็นผู้นำทางความคิด รณรงค์ให้ที่ประชุมรัฐมนตรีกระทรวง ศึกษาธิการแห่งอาเซียน ร่วมมือกันชำระประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดอคติและความบาดหมางต่อกัน ออกจากแบบเรียนประวัติศาสตร์ของนักเรียน นิสิตนักศึกษาในกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย

      ในขณะที่นายธีรภาพ โลหิตกุล มีผลงานเขียนบทสารคดีโทรทัศน์ รายการโลกสลับสี ชุด "นครวัด นครธม" (พ.ศ. 2533) เป็นผู้เขียนหนังสือสารคดีท่องเที่ยว ชุด "นครวัด นครธม" (พ.ศ. 2545) เป็นผู้จัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในประเทศกัมพูชา พม่า ลาว ฯ ในนามชมรมท่องอุษาคเนย์" และปัจจุบัน ยังเป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุ รายการ "คลื่นอุษาคเนย์" ที่ว่าด้วยความสัม พันธ์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทางวิทยุ อสมท. Fm. 96.5 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.

      จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

      20 กรกฎาคม 2550


http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6729895/P6729895.html



อุตส่าห์ไปตัดแปะมาจากพันทิป ก็ช่วยกรองข้อมูลหน่อยเดะ

แยกแยะออกรึเปล่าว่าที่เขาชี้แจง หรือที่คุณใช้คำว่า "ขอโทษ" น่ะ มันเรื่องอะไร

เฮ่อออ..........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008, 01:15 โดย เพื่อนร่วมชาติ » บันทึกการเข้า
mebeam
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 634


Fear can hold you prisoner. Hope can set you Free.


« ตอบ #10 เมื่อ: 23-06-2008, 01:28 »

ผมขอโทษเองก็ได้ ที่ไม่ได้กรอง

แต่หนังสือที่ ลง ตีพิมพ์ เรื่องที่เขาสวนากัน จากขาวเป็นดำ เขาบอกอย่างไปเขียนอีกอย่าง
จนเจ้าตัว ต้องกลับมาแย้ง ว่าเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันผิดไปหมด
จนหนังสือต้อง ออกมาชี้แจง สิ่งที่ถูกต้อง
คุณกลับบอกหนังสือ  ไม่ได้ขอโทษ  เพราะไม่ได้เขียนคำขอโทษไว้
นั่นกลับเป็นการส่งเสริมให้ด่าหนังสือเจ้านี้เป็นอย่างยิ่ง
สังคมมันเป็นอะไรไปนี่เมื่อตัวเองทำผิด แค่คำขอโทษตำเดียวยังหลุดออกมาไม่ได้เลย
 
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 23-06-2008, 02:15 »

ประเทศไทยเป็นอาณาจักร ที่มีหลากหลายชาติพันธุ์รวมกันอยู่มานานแล้ว

จะไปเอาเรื่อง "ชาติพันธุ์" มาเกี่ยวเนื่องกับเรื่อง "รัฐชาติ" ก็ตกประวัติศาสตร์ แน่นอน

แถมยังลืมไปอีกว่า ข้อพิพาทเรื่องดินแดน มีขึ้นได้ตลอดเวลาเพราะแม้จะมีคำพิพากษาแต่ไทยก็สงวนสิทธิ์ที่จะคัดค้าน

ถึงขนาดเดินขบวนประท้วงคำตัดสินศาลโลกทั่วประเทศ ก็แสดงว่า "เรื่องยังไม่จบ"


ผมไม่ทราบว่า พวกนักประวัติศาสตร์มันเคยไปเดินสำรวจ หมู่บ้านภูมิสรอล เชิงเขาพระวิหารมั๊ย

ที่นั่นเป็นที่ตั้งหมวด ตชด. มานาน พูดเขมรทั้งนั้น นั่นแหละเจ้าของตัวจริง

หากจะยึดเอาชาติพันธุ์ พวกนักประวัติศาสตร์ขี้หมา เคยไปเดินในพื้นที่มั๊ย

รู้มั๊ยว่า ภาษา ความเชื่อ วัฒนธรรมอีสานใต้ โดยเฉพาะชายแดน

คนไทยแถบนั้น ก็คือ เขมร ทั้งนั้นแหละ

หรือจะไปดู พระธาตุพนม ก็คนลาว คนญวณ ทั้งนั้น

จะเอาเรื่องชาติพันธุ์มาวัดได้ยังไง

ในเมื่อเขาพระวิหาร ก็คือสมบัติของชาวบ้าน "ภูมิสรอล" อ.กันทราลักษณ์

แค่ชื่อหมู่บ้านก็เห็นชัดๆ ว่าเป็นเขมร ใช่มั๊ย

แต่นั่นคือ "คนไทย" ครับ เป็นคนไทยมาตั้งแต่สมัยรัชการที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มาแล้ว

ถ้าจะบอกว่าเป็นของเขมร ก็คือเขมรในหมู่บ้าน "ภูมิสรอล" นั่นไง


นักวิชาการโง่ประเภทคิดว่า "ไทย" คือ กรุงเทพ ต้องพูดภาษากลาง พวกหน้าโง่ทั้งนั้น

ถ้าใช้วิธีคิดแบบนี้ รัฐปัตตานีก็เป็นของมาเลย์ ไปเลยดีมั๊ย

ไอ้บ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008, 02:27 โดย CanCan » บันทึกการเข้า

Kittinunn
Aloha007
Global Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,127


ไปได้สวย...ด้วยเกียร์ต่ำ!!!


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 23-06-2008, 02:16 »

พอๆ กับบทความอาจารย์ใจเลย
บันทึกการเข้า

“ผมเขียนไปในบล็อกนั้น แบบข้างบนนี้เหมือนกัน นึกว่า จะโพสต์ ปรากฏว่า เขาบอกว่า ต้อง สมัครสมาชิกก่อน ผมขี้เกียจ เลยมาโพสต์ที่นี่แทน อ้อ ตอนเขียน ผมใส่คำว่า ทุเรศ และ น่าสมเพช ไปด้วย” (อ.สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล-เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน - ข้อความในเสรีไทย โดย Snowflake)

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 23-06-2008, 02:37 »

การตั้งถิ่นฐาน-เขมร     
 
ยุคอาณาจักรฟูนัน ชนชาติมอญ - แขมร์  มีถิ่นฐานเดิมที่ประเทศอินเดีย  ตั้งอยู่ที่ฝั่งทะเลแห่งหนึ่ง  ราชธานีแห่งอาณาจักรนี้เรียกว่ากรุงโคกธลอก ในสมัยของพระทองมลนางนาค  ราชวงศ์นี้มีอำนาจอยู่ประมาณ 300 ปี จนถึง พศ. 1028  ต่อมาในยุคที่กษัตริย์ลงท้ายว่า "วรมัน" เริ่มต้นด้วย พระเจ้าเกาณฑินยะชัยวรมัน  ชาวอินเดียใต้ร่วมกับพวกกบฎโจมตีกรุงโคกธลอกแล้วย้ายเมืองหลวงเข้าไปตามฝั่งแม่น้ำใหญ่ 500 ลี้ตั้งชื่อเมืองหลวงว่า วยาธปุระ  แปลว่าเมืองแห่งนายพราน  ส่วนพวกราชวงศ์พื้นเมืองเดิมก็ย้ายขึ้นไปทางเหนือ  สร้างเมืองใหม่ริมฝั่งแม่น้ำโขง  ชื่อศัมภปุระ และภวปุระ  (ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตอนล่าง พ.ศ. 1093)  เกิดจลาจลในเมืองวยาธปุระ  เจ้าชายภววรมันแห่งเมืองภวปุระ และเจ้าชายจิตรเสนแห่งศัมภปุระ สายราชวงศ์พื้นเมือง  ได้ครอบครองวยาธปุระและรวมเข้ากับอาณาจักรเจนละ

ในสมัยของภววรมันนี้เอง  พระองค์ได้แผ่ขยายอำนาจเข้าไปในเขตบริเวณภูเขาดงเร็ก และลุ่มแม่น้ำมูล  ต่อมาเจ้าชายจิตรเสน   ได้อภิเษกเป็นกษัตริย์ ทรงพระนาม มเหนทรวรมัน  ทรงย้ายเมืองหลวงกลับมาอยู่ วยาธปุระ  พ.ศ. 1143-1145  ได้ขยายดินแดนเข้ามาในเขตลุ่มแม่น้ำมูลและภูเขาดงเร็ก  มีการสร้างเทวสถานขึ้นในบริเวณนี้หลายแห่ง  ซึ่งหม่อมเจ้าสุภัทรดิศ  ดิศกุล  ให้ข้อสังเกตว่า  ในการสร้างปราสาทยุคสมัยเจนละ และปราสาทหินในยุคหลัง ยังสร้างด้วยอิฐไม่สอปูน  ซึ่งเป็นศิลปะการสร้างของช่างสกุลจามปา  คือสถาปัตยกรรมจาม  เป็นสถาปัตยกรรมซึ่งใช้อิฐ โดยการใช้ศิลาเพียงเล็กน้อย  โดยใช้อิฐคุณภาพด ีฝนเรียบเรียงกันสอด้วยยางพืช ทำให้รอยต่อสนิท  หลังคาอาคารเล็กเรียงด้วยอิฐ

ตั้งแต่สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เป็นต้นมา ได้มีการสร้างปราสาทต่างๆ ต่อเนื่องเป็นลำดับหลายรัชกาล  จนถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นการสร้างปราสาทหินเขาพระวิหาร ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่  ซึ่งศิลาจารึกเขาพระวิหารหลักที่ 1 หลักที่ 2  ชี้ให้เห็นถึงการมีอำนาจของเขมรโบราณ ได้ระบุว่ามีการสร้างเกษตราธิคม สร้างปราสาทหิน ขุดสระน้ำ และการถวายข้าทาสไว้ดูแลบำรุงศาสนสถานเป็นจำนวนมาก

การตั้งถิ่นฐานของชาวเขมรใน จ.ศรีสะเกษนั้น มีมาแต่โบราณกาล และสืบเชื้อสายต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน  โดยจะอยู่ในเขตท้องที่ อ.กันทรลักษ์  ด้านที่ติดกับเขาพนมดงเร็ก  แถบบ้านทุ่งใหญ่ บ้านประทาย บ้านบึงมะลู  บ้านโดนเอาว์  บ้านรุง  บ้านทุ่งยาว เป็นต้น  และบริเวณบ้านบักดอง  บ้านพราน บ้านทุ่งเลน บ้านสำโรงเกียรติ บ้านไพร บ้านกระมัล   บ้านกราม บ้านกันทรอม อ.ขุนหาญ  บ้านไพรบึง บ้านพราน  บ้านสำโรงพลัน บ้านไทร อ.ไพรบึง บ้านสำโรงระวี  บ้านศรีแก้ว  อ.ศรีรัตนะ  ชุมชนดังกล่าวเป็นชุมชนโดยรอบบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร  ซึ่งอาศัยอยู่แถบ อ.ห้วยขะยุง และห้วยทาที่เป็นสาขาหนึ่งของห้วยขะยุง

ส่วนอีกบริเวณที่พบว่ามีชาวเขมรอาศัยอยู่จำนวนมาก คือ บริเวณที่ราบลุ่มห้วยสำราญ  แถบอ.ขุขันธ์ อ.ปรางค์กู่  เช่น ต.กันทรารมย์  ต.หัวเสือ  ต.ใจดี  ต.โคกเพชร  ต.สะเดาใหญ่ ในพื้นที่ อ.ขุขันธ์   ต.ละลม    อ.ภูสิงห์      ต.ตูม  ต.สำโรงปราสาท  อ.ปรางค์กู่  จนศรีสะเกษได้ชื่อว่าเมืองเขมรป่าดง

ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พ.ศ. 2324 เมืองกัมพูชาเกิดจลาจล เพราะเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) และออกญาวิบูลราช (ชู) เป็นกบฎ  สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีห์  ยกกองทัพไปปราบ แต่ยังทำการไม่สำเร็จก็เกิดเหตุจลาจลในกรุงธนบุรี ต้องยกทัพกลับ   สงครามครั้งนี้ เมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ ได้ยกกองทัพไปร่วมตีเมืองเสียมราฐ กำพงสวาย บันทายเพชร บันทายมาศ  และได้นำชาวเขมรจำนวนมาก มาไว้ที่สุรินทร์ บุรีรัมย์    ต่อมาหลวงสุรินทร์ภักดีเจ้าเมืองสุรินทร์  ได้ให้บุตรชายของตนชื่อ สุ่น  แต่งงานกับบุตรีเจ้าเมืองบันทายเพชร ชื่อดามมาตไว  ซึ่งอพยพตามกองทัพมา  ภายหลังนางได้เป็นชายาของเจ้าเมือง  จึงนำเอาภาษาเขมร  และราชพิธีสำนักเขมรมาใช้ต่อมาจนถึงรุ่นหลาน  และอาจติดต่อมาถึงขุขันธ์  เพราะใน พ.ศ. 2371  เมื่อโปรดเกล้าให้พระยาสังขะบุรี(เกา)  มาเป็นพระยาขุขันธ์ภักดีนครศรีลำดวน ปกครองเมืองขุขันธ์  ซึ่งน่าจะมีชาวสังขะอพยพติดตามมาเป็นจำนวนมาก

ชาวเขมรรุ่นสุดท้ายจำนวนหนึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานใน จ.ศรีสะเกษ  เมื่อ พ.ศ. 2410 พระยาขุขันธ์ (วัง) ได้กราบทูลขอตั้งบ้านลำห้วยแสนไพรอาบาล กับบ้านกันตวด ต.ห้วยอุทุมพร ริมเชิงเขาตกขึ้นเป็นเมือง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้า ให้ยกบ้านลำห้วยแสนไพรอาบาล เป็นเมืองกันทรลักษ์  ยกบ้านกันตวด ห้วยอุทุมพร เชิงเขาตกเป็นเมืองอุทุมพรพิสัย  ต่อมาผู้สำเร็จราชการอินโดจีนฝรั่งเศส  ได้มีหนังสือทักท้วงต่อรัฐบาลสยามว่า ฝ่ายไทยตั้งเมืองรุกล้ำเข้าไปในดินแดนของฝรั่งเศส หลังจากตรวจสอบ ให้ย้ายเมืองกันทรลักษ์ มาตั้งที่บ้านบักดอง  ปัจจุบันอยู่ในท้องที่ อ.ขุนหาญ  ส่วนเมืองอุทุมพรพิสัย ย้ายมาตั้งที่บ้านผือ ต.เมือง อ.กันทรลักษ์ในปัจจุบัน  ซึ่งย่อมมีการอพยพไพร่พลเขมรมาด้วยจำนวนหนึ่ง (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ, 2544 : หน้า 27-30)


http://www.weopenmind.com/board/index.php?topic=5284.0

ถ้าจะอ้างว่าเป็นของเขมร ก็น่าจะเป็นเขมรสูง ( เจนละบก ) แถบเขาพนมดงรักที่สืบเชื้อสายต่อเนื่องกันมายาวนาน

ไม่ใช่ "เขมรต่ำ" ( เจนละน้ำ ) ที่เมืองพระนคร อันเป็นศูนย์รวมในปัจจุบัน


ภาษาเขมร จ.ศรีสะเกษ      
 
 ในจังหวัดศรีสะเกษมีผู้พูดภาษาเขมรร้อยละ 20 ของประชากรทั้งจังหวัด ภาษาเขมรพูดกันมากใน อ.ขุขันธ์  อ.กันทราลักษ์ อ.ภูสิงห์ อ.ขุนหาญ อ.ปรางค์กู่ อ.ไพรบึง  อ.ห้วยทับทัน  อ.ศรีรัตนะ 

ชาวเขมรในศรีสะเกษเป็นชาวเขมรสูง พูดภาษาเขมรแตกต่างจากชาวกัมพูชาหรือเขมรลุ่ม ทั้งในด้านคำศัพท์ และการออกเสียง แต่สามารถสื่อสารเข้าใจกันได้ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008, 03:18 โดย CanCan » บันทึกการเข้า

นค
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 86


« ตอบ #14 เมื่อ: 23-06-2008, 03:19 »

หากใครเดินเยาวรราชจะเห็นวัดจีนหลายวัด  วัดเล่งเน่ยยี่ก็เป็นวัดหนึ่งที่คนไทยไปกราบไหว้กันมาก  คนไทยเชื้อสายจีน
มีบรรพบุรุษคนจีนที่อพยพมาเปนผู้สร้าง  แนวคิดตามคติพุทธมหายาน  ศิลปะต่าง ๆ ก็เป็นแบบจีน  ฯลฯ

และก็อยู่มาเป็นหลายร้อยปี   วันดีคืนดีมีนักธุรกิจไทยอยากทำธุรกิจกับประเทศจีน
จีนบอกขอวัดเล่งเน่ยยี่ได้ไหม  เพราะศิลปวัฒนธรรมเหมือนของจีนมาก น่าจะเป็นของจีน

นักธุรกิจร่วมหัวกับนักขายประเทศในคราบของนักการเมือง นักเลือกตั้ง  บอกเอาไปเลย จัดให้
วัดเล่งเน่ยยี่เป็นของประเทศจีนเมื่อพิจารณาจากศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี

เลยมีคำถามว่า  วัดเล่งเน่ยยี่เป็นของใคร จีน หรือ ไทย  เอาวัดไปแล้วที่ดินตรงที่ตั้งวัดล่ะ 

มีคนมาถามเยอะเรื่องนี้  ก็เลยใช้วิธีอธิบายแบบนี้  จะอธิบายยก ปวศขอม-เขมร  ก็เจอนักวิชาเกินเอาความรู้มาใช้
แบบ ๑+๑  เป็น  ๒  เลยต้องอธิบายให้เห็นจากตัวอย่างจริง ๆ   

------------------  เรื่องเขาพระวิหาร  บรรพบุรุษได้ต่อสู้มาโดยตลอดแล้ว  จะยังไง ก็พยามยามรักษาให้กับประเทศไทย
(พอดีว่าติดชายแดนเขมรด้วยไม่ได้อยู่กลางกรุงแบบวัดจีน  ) 

ความจริงที่เห็นทนายเนรคุณกับพวกเหรี้ยแม้วนี่ทำแบบลุกลี้ลุกลน   แอบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนพวกลักขโมยของ
ที่สำคัญคือ มีคำถามทั่วไปว่า   ผลประโยชน์ทับซ้อนที่เหรี้ยแม้วจะได้จากการใช้แผนที่ฉบับใหม่ คือ อะไร
จะมีใครตอบให้ชัด ๆ บ้าง

มีคนมาถามเยอะเรื่องนี้  ก็เลยใช้วิธีอธิบายแบบนี้  จะอธิบายยก ปวศขอม-เขมร  ก็เจอนักวิชาเกินเอาความรู้มาใช้
แบบ ๑+๑  เป็น  ๒  เลยต้องอธิบายให้เห็นจากตัวอย่างจริง ๆ   

แต่ประเด็นสำคัญ  ผลประโยชน์ทับซ้อน คืออะไร  เหรี้ยแม้วตอบหน่อยซิ

ที่แย่หนักคือ  คำพุดหมัก  เราเสียไปแล้ว ๔๕  ปี  คนพวกนี้มันเห็นแก่ประโยชน์ตนจนหน้ามือตามัวแล้ว
ไม่มีความเป็นคนแล้ว   อยากหนีคดีโกง จนต้องขายชาติตัวเอง

ใครช่วยตอบหน่อยซิ  ผลประโยชน์ทับซ้อนคืออะไร  จะเอาไปขยาย
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 23-06-2008, 03:41 »

• ขอม - เขมร - กัมพูชา

• ขอมเป็นชื่อชนชาติที่เก่าแก่ ต่อมาก็มาเรียกกันว่าเขมร และกลายเป็นกัมพูชาในปัจจุบัน เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแหลมทองในส่วนที่เรียกว่า “อินโดจีน”

• หน้าประวัติศาสตร์ของขอม เขมร หรือกัมพูชานั้น จะพลิกค้นหามาจากศิลาจารึกที่มีอยู่ รวมทั้งจดหมายเหตุที่ได้ติดต่อกับแว่นแคว้นเพื่อนบ้านอันได้แก่ มอญทางด้านตะวันตก จามทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ จีนทางด้านตอนบน หรือชวาในดินแดนโพ้นทะเล

• อาณาจักรฟูนาน หรือ ฟูนัน ซึ่งแปลว่าภูเขา ได้เริ่มต้นด้วยการเป็นศูนย์กลางเล็กๆ ที่ปกครองโดยผู้หญิง มีนามว่า พระนางหลิวเหย่ ราวพุทธศตวรรษที่ 6 มีกองทัพอินเดียซึ่งนำโดย พราหม์โกณฑัญญะ ยกทัพมาโจมตีได้ชัยชนะและได้พระนางหลิวเหย่เป็นชายา พร้อมสถาปนาขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรฟูนัน และเชื่อกันว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของอาณาจักรนี้ได้แก่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้

• ราวพุทธศตวรรษที่ 12 พระเจ้าอีศานวรมันที่ 1 ได้ย้ายราชธานีลงมาทางตอนใต้และได้สถาปนาเมืองอีศานปุระขึ้นเป็นราชธานี มีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 13 เมื่อสิ้นรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 อาณาจักรเจนละได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 แคว้นใหญ่ และเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน คือ เจนละบก กินอาณาบริเวณอยู่ทางตอนเหนือที่เป็นภูเขาและที่ราบสูง กับ เจนละน้ำ กินอาณาบริเวณทางตอนใต้เป็นที่ราบลุ่มจนจดชายฝั่งทะเล

• ในปี พ.ศ. 1345 พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ได้เป็นผู้รวบรวมอาณาจักรทั้งเจนละบกและเจนละน้ำเข้าด้วยกันได้ ทรงสถาปนาเป็นอาณาจักรกัมพุช หรือ กัมพูชา และได้วางรากฐานของพระราชอำนาจไว้อย่างมั่นคงครอบคลุมบริเวณตอนเหนือทะเลสาบใหญ่ โดยมีเมืองหริหราลัยเป็นนครหลวง ต่อมาในสมัย พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ได้ทรงสถาปนาเมืองยโศธรปุระ เป็นเมืองหลวง พอถึง พระเจ้าชัยวรมันที่ 4 ก็ทรงย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่เมืองโฉกการยกยาร์ แต่พอถึงพระเจ้าราเชนทรวรมันก็ทรงย้ายเมืองหลวงกลับไปที่เมืองยโศธรปุระอีก

• อาณาจักรไดโดเวียด ในสมัยของ พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ทรงสถาปนาอาณาจักรไดโดเวียดขึ้น แล้วมีกษัตริย์สืบราชสมบัติต่อมาตามลำดับ ได้แก่ พระเจ้าชัยวีรวรมัน พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 พระเจ้าอุทัยทิตยวรมัน พระเจ้าหรรษาวรมันที่ 3 พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 พระเจ้ายโศวรมันที่ 2 และพระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมัน ก็ถูกกองทัพจามเข้ายึดเมืองยโศธรปุระ

• สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสถาปนานครธมเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่แล้วมีกษัตริย์สืบต่อ ได้แก่ พระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 พระเจ้าศรีนทรวรมัน พระเจ้าชัยวรรมปรเมศวร พระเจ้าศรีราช จนถึงแผ่นดินสมเด็จพระบรมลำพงศ์ราชา

• ปี พ.ศ. 1974 ในสมัยของสมเด็จเจ้าสามพระยา อาณาจักรเมืองพระนครจึงได้ตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา เมื่อแล้วโปรดฯ ให้พระอินทราชาราชบุตรของพระเจ้าธรรมโศกเจ้านายเขมรขึ้นครองเมือง ต่อมาสมัยพระยาญาติ ได้ครองราชย์ต่อและโปรดฯ ให้ย้ายเมืองหลวงไปยังกรุงพนมเปญ

• ผลพวงจากสงครามจึงเป็นเหตุให้เมืองพระนครธมและปราสาทเทวาลัยในศูนย์กลางเก่าของอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งอยู่ในบริเวณเมืองเสียมเรียบได้กลายสภาพเป็นเมืองร้างทิ้งร่องรอยอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ไว้ในป่ารกชัฏสืบมา

• พ.ศ. 2431 ฝรั่งเศสก็เข้ายึดดินแดนในอินโดจีนเป็นอาณานิคม และเขตแดนเขมรที่เคยตกเป็นของไทยมานาน คือ เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณก็ต้องยกให้แก่ฝรั่งเศสเพื่อแลกเปลี่ยนกับอำนาจศาล เมืองด่านซ้าย และจังหวัดตราด ตามสัญญาลงวันที่ 23 มีนาคม 2450 ซึ่งตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 5

• พ.ศ. 2496 กัมพูชาก็ได้เอกราชคืนจากฝรั่งเศส โดยมีสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุเป็นกษัตริย์องค์แรก แล้วก็มีความผันผวนทางการเมืองจนสถานการณ์ของประเทศเสมือนไม่เคยจะสงบสุขกันอย่างแท้จริง และถึงขนาดเกินโศกนาฏกรรมฆ่าฟันกันเองเป็นล้านๆ คน

• จากหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ทั้งศิลาจารึก จดหมายเหตุ รวมทั้งมรดกทางศิลปวัฒนธรรมที่ยังปรากฏอยู่เป็นจำนวนมากในดินแดนกัมพูชา ไทย ลาว และเวียดนาม แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติอันเก่าแก่ของกัมพูชาอันกอปรด้วยอานุภาพทางการเมือง การทหาร และอารยธรรมอันรุ่งเรืองมากชาติหนึ่งของโลก มีอายุนับเนื่องแต่พุทธศตวรรษที่ 7 สืบต่อมาเป็นระยะเวลาเกือบ 2,000 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมรดกทางสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ยั่งยืนปรากฏอวดอ้างความเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

• โบราณวัตถุสถานที่แสดงถึงอารยธรรมขอมนั้น ส่วนใหญ่ก่อเกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากความศรัทธาในศาสนา คือ พราหมณ์ ฮินดู และพุทธศาสนา ปัจจุบันโบราณสถานในเขตพื้นที่กัมพูชาโดยเฉพาะในจังหวัดเสียมเรียบ ได้ถูกค้นพบแล้วมากมายเกือบ 600 แห่ง มีทั้งที่สภาพค่อนข้างสมบูรณ์และที่ปรักหักพังเพราะถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนาน ปัจจุบันกำลังได้รับความช่วยเหลือจากนานาประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อินเดีย และอินโดนีเซีย

ยุคสมัยก่อนพระนครหรืออาณาจักรเจนละ

• พ.ศ.1093-1345 เป็นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ได้มีการแยกตัวออกจากอาณาจักรฟูนันแล้วมาตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เมืองเสฏฐาปุระ ในช่วงต่อมาสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่1 ได้เกิดเหตุการณ์อันเนื่องจากการขัดแย้งขึ้นมาจึงทำให้อาณาจักรเจนละ ได้แตกออกเป็น2ฝ่ายคือ เจนละบกและเจนละน้ำ
ยุคเมืองพระนคร

• พ.ศ. 1345 เป็นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่2 ได้มีการประกาศอิสรภาพจากชวาแล้วก็ได้ทำการรวบรวมเจนละน้ำและเจนละบก จากนั้นก็ได้ตั้งราชธานีขึ้นมาใหม่ที่เมืองหริหราลาลัย(เรอลั้วะ) จากนั้นได้ย้ายไปยังอินทราปุระ(อมเรนทรปุระ) มเหนทรปุระ(พนมปุเรน) หลังจากนั้นก็ได้กลับมาหริหราลัยอีกครั้งหนึ่งในครั้งนี้จึงได้ถือเป็นการเริ่มต้นของอาณาจักรเขมรโบราณ

• พ.ศ. 1432 เป็นสมัยของพระเจ้ายโสวรมันที่1 ได้มีการสร้างเมืองยโสธรปุระขึ้นเป็นเมืองหลวงมีภูเขาพนมบาแค็งเป็นศูนย์กลาง ถือเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของกลุ่มเมืองนครหลวง ได้มีการสร้างสระบารายตะวันออก(ยโสธรฎาฎากะ) หลังจากนั้นก็ได้สร้างปราสาทโลเล็ย ปราสาทพนมกรอม พนมปก เขาพระวิหาร

• พ.ศ. 1471 เป็นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 ได้เกิดเหตุอุทกภัยยิ่งใหญ่ ในเมืองยโสธรปุระ จึงย้ายราชธานีไปยังเมือง โฉกเกยร์ (ไทยเรียกว่าเกาะแกร์) ได้ทำการสร้างปราสาทธม และเป็นปราสาทที่มีความสูงมากที่สุดของกัมพูชา รองมาจากนครวัด หลังจากนั้นก็ได้สร้างปราสาทกระวัน

• พ.ศ. 1487 เป็นสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ได้ทำการรวบรวมเจนละบกและเจนละน้ำอย่างเด็ดขาด แล้วได้ย้ายราชธานีกลับมายังเมืองยโสธรปุระอีกครั้ง โดยตั้งอยู่บริเวณปราสาทแม่บุญตะวันออก ให้ปราสาทแปรรูปเป็นศูนย์กลาง จากนั้นก็ได้ทำการก่อสร้างปราสาทพิมานอากาศ และปราสาทบันสรี ในยุคนี้ยังมีความรุ่งเรืองของศิลปะและการพาณิชย์ และยังทรงได้ยกทัพไปตีอาณาจักรของพวกจาม (เวียตนามกลาง)

• พ.ศ. 1544 เป็นสมัยของพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 1 เริ่มสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่ และได้ให้ปราสาทบาปวนเป็นศูยน์กลางการปกครอง

• พ.ศ. 1603 เป็นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ได้ขึ้นครองราชย์ ทรงสร้างปราสาทหินพิมาย ได้ให้มีการต่อเติมปราสาทเขาพระวิหาร รวมทั้งปราสาทวัดภู (จำปาสัก ลาว)

• พ.ศ. 1656 เป็นสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงสร้างปราสาทนครวัด เป็นกษัตริย์องค์แรกที่ปกครองอาณาจักรได้อย่างมั่นคง เข้มแข็งและเป็นปึกแผ่น

• พ.ศ. 1693 เป็นสมัยของพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 เป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่นับถือศาสนาพุทธนิกายหินยาน

• พ.ศ. 1720-1721 ได้มีบรรดาเหล่ากองทัพของจาม มาทำการครอบครองเมืองยโสธรปุระ

• พ.ศ. 1724-1763 เป็นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างปราสาทบายน เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของนครหลวงที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ หลังจากที่เสร็จสิ้นจากศึกสงคราม ก็ได้สร้างปราสาทตาพรม ปราสาทตาสม ปราสาทนาคพัน และให้มีการต่อเติมปราสาทพระขรรค์ จนเสร็จสิ้นพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเป็นกษัตริย์ ยิ่งใหญ่องค์สุดท้ายของเมืองพระนคร

• พ.ศ. 1763 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สวรรคต จากนั้นพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 ได้ขึ้นครองราชย์แทน ยุคนี้เมืองพระนครเริ่มเสื่อมอำนาจลง

• พ.ศ. 1786 เป็นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ทรงนับถือศาสนาฮินดู นิกายไศวนิกาย ได้มีการสั่งทำลายรูปบูชาของพระพุทธศาสนาจนเสียหายมากมาย

• พ.ศ. 1826 สมัยของพระเจ้าศรีอินทรวรมันขึ้นครองราชย์ ต่อมาได้สร้างต็บตะวันออก หรือปราสาทมัคลาธา ซึ่งเป็นปราสาทหินหลังสุดท้ายของเมืองพระนคร

• พ.ศ. 1839 โจวตากวนออกเดินทางมาพร้อมกับเหล่าคณะทูตของจักรพรรดิจีนเข้ามายังดินแดนเมืองพระนคร

• พ.ศ. 1870 เป็นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร เป็นกษัตริย์เขมรองค์สุดท้าย ที่ปรากฏพระนามอยู่บนศิลาจารึก

• พ.ศ. 1974 สมัยของพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ของกรุงศรีอยุธยา ได้ทำการเข้าโจมตีเมืองพระนครใต้ (พงศวดารเขมรบันทึกเป็น พ.ศ. 1976)
บันทึกการเข้า

morning star
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119


don't let them make up your mind


« ตอบ #16 เมื่อ: 23-06-2008, 04:30 »

ประเทศไทยเป็นอาณาจักร ที่มีหลากหลายชาติพันธุ์รวมกันอยู่มานานแล้ว

จะไปเอาเรื่อง "ชาติพันธุ์" มาเกี่ยวเนื่องกับเรื่อง "รัฐชาติ" ก็ตกประวัติศาสตร์ แน่นอน

แถมยังลืมไปอีกว่า ข้อพิพาทเรื่องดินแดน มีขึ้นได้ตลอดเวลาเพราะแม้จะมีคำพิพากษาแต่ไทยก็สงวนสิทธิ์ที่จะคัดค้าน

ถึงขนาดเดินขบวนประท้วงคำตัดสินศาลโลกทั่วประเทศ ก็แสดงว่า "เรื่องยังไม่จบ"


ผมไม่ทราบว่า พวกนักประวัติศาสตร์มันเคยไปเดินสำรวจ หมู่บ้านภูมิสรอล เชิงเขาพระวิหารมั๊ย

ที่นั่นเป็นที่ตั้งหมวด ตชด. มานาน พูดเขมรทั้งนั้น นั่นแหละเจ้าของตัวจริง

หากจะยึดเอาชาติพันธุ์ พวกนักประวัติศาสตร์ขี้หมา เคยไปเดินในพื้นที่มั๊ย

รู้มั๊ยว่า ภาษา ความเชื่อ วัฒนธรรมอีสานใต้ โดยเฉพาะชายแดน

คนไทยแถบนั้น ก็คือ เขมร ทั้งนั้นแหละ

หรือจะไปดู พระธาตุพนม ก็คนลาว คนญวณ ทั้งนั้น

จะเอาเรื่องชาติพันธุ์มาวัดได้ยังไง

ในเมื่อเขาพระวิหาร ก็คือสมบัติของชาวบ้าน "ภูมิสรอล" อ.กันทราลักษณ์

แค่ชื่อหมู่บ้านก็เห็นชัดๆ ว่าเป็นเขมร ใช่มั๊ย

แต่นั่นคือ "คนไทย" ครับ เป็นคนไทยมาตั้งแต่สมัยรัชการที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มาแล้ว

ถ้าจะบอกว่าเป็นของเขมร ก็คือเขมรในหมู่บ้าน "ภูมิสรอล" นั่นไง


นักวิชาการโง่ประเภทคิดว่า "ไทย" คือ กรุงเทพ ต้องพูดภาษากลาง พวกหน้าโง่ทั้งนั้น

ถ้าใช้วิธีคิดแบบนี้ รัฐปัตตานีก็เป็นของมาเลย์ ไปเลยดีมั๊ย

ไอ้บ้า


นี่แหละที่อยากจะพูด
บันทึกการเข้า

อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #17 เมื่อ: 23-06-2008, 05:16 »

ประเทศอิสราเอล ก็ควรจะเป็นของชาวปาเลสไตล์   
บันทึกการเข้า
เพื่อนร่วมชาติ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 777


« ตอบ #18 เมื่อ: 23-06-2008, 07:27 »

ผมขอโทษเองก็ได้ ที่ไม่ได้กรอง

แต่หนังสือที่ ลง ตีพิมพ์ เรื่องที่เขาสวนากัน จากขาวเป็นดำ เขาบอกอย่างไปเขียนอีกอย่าง
จนเจ้าตัว ต้องกลับมาแย้ง ว่าเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันผิดไปหมด
จนหนังสือต้อง ออกมาชี้แจง สิ่งที่ถูกต้อง
คุณกลับบอกหนังสือ  ไม่ได้ขอโทษ  เพราะไม่ได้เขียนคำขอโทษไว้
นั่นกลับเป็นการส่งเสริมให้ด่าหนังสือเจ้านี้เป็นอย่างยิ่ง
สังคมมันเป็นอะไรไปนี่เมื่อตัวเองทำผิด แค่คำขอโทษตำเดียวยังหลุดออกมาไม่ได้เลย
 

ตกลงรู้รึยังเนี่ยว่าประเด็นที่ผมพูดน่ะมันไม่ได้อยู่ตรงคำว่าขอโทษหรือไม่ได้ขอโทษ

ส่วนคุณจะอยากด่าเครือมติชนก็ด่าไป เพราะหลายครั้งผมก็ด่าสื่อเครือนี้เหมือนกัน (เป็นเรื่อง ๆ ไป)
บันทึกการเข้า
Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #19 เมื่อ: 23-06-2008, 08:31 »

เดี๊ยนขอสรุปอย่างนี้ อาจจะไม่ถูกต้องนัก

ชาญวิทย์ เป็นหนึ่งในคนรักทักษิณ  และแกทนไม่ได้ที่สื่อจับประเด็นเขาพระวิหารมาปลุกปั่น
(คนเกลียดทักษิณก็รู้ ว่าเป็นการปลุกปั่น)

แต่ไอ้การแสดงออกทางวิชาการ หรืออะไรก็ตาม
มันก็ไม่สามารลบล้าง "ความไม่เหมาะสม" ของท่าทีทางการทูตของนายนพดลไปได้

บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
watson
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 393


« ตอบ #20 เมื่อ: 23-06-2008, 09:29 »

ถ้าจะเอาเหตุผลทางประวัติศาสตร์มากอ้างก็ควรจะทำความเข้าใจก่อนว่าดินแดนของเรานั้นถูกครอบครองโดยพวกขอมมาก่อนที่ชนชาติไทยจะอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่และก่อนที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จะสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นมา

โดยตรรกเดียวนี้เองจึงขอสนับสนุนให้บรรดาผู้ที่สนับสนุนการยกปราสาทพระวิหารให้กับประเทศกัมพูชา ร่วมกับรัฐบาลของสมเด็จฮุนเซ็นที่มีนายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรี ช่วยกันสนับสนุนให้

ยกประเทศไทยให้กับกัมพูชาไปเลยครับพี่น้อง!!!
บันทึกการเข้า
ScaRECroW
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,000


สุสูสัง ลภเต ปัญญัง - ผู้ฟังดี ย่อมเกิดปัญญา


เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: 23-06-2008, 09:46 »

เดี๊ยนขอสรุปอย่างนี้ อาจจะไม่ถูกต้องนัก

ชาญวิทย์ เป็นหนึ่งในคนรักทักษิณ  และแกทนไม่ได้ที่สื่อจับประเด็นเขาพระวิหารมาปลุกปั่น
(คนเกลียดทักษิณก็รู้ ว่าเป็นการปลุกปั่น)

แต่ไอ้การแสดงออกทางวิชาการ หรืออะไรก็ตาม
มันก็ไม่สามารลบล้าง "ความไม่เหมาะสม" ของท่าทีทางการทูตของนายนพดลไปได้



ถามนิดนึงครับ ถ้าไม่มองว่า ชาญวิทย์ ชอบใครเกลียดใคร อ่านบทความแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ
บันทึกการเข้า

Politic is nothing but the continuation of [the sin of] 7 by other means.

ท่านคิดว่า นรม. ควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ากฏหมายบางฉบับมีช่องโหว่?
ก.ใช้อำนาจ นรม.ที่ได้รับมาจากประชาชนแก้กฏหมายเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ของแผ่นดิน
ข.ฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่เหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและคนรอบข้าง แล้วก็อ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #22 เมื่อ: 23-06-2008, 10:09 »

ดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ทั้งในประเทศลาว และในประเทศกัมพูชา  ไทยเราถูกฝรั่งเศสปล้นไป ในยุคอาณานิคม

ปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งอนู่ในดินแดนของไทย หลังจากถูกปล้นฝั่งซ้ายไปแล้ว แต่เขมรฟ้องศาลโลก โดยใช้หลักฐานการยึดครอง และอ้างว่าไทยยอมรับไม่โต้แย้ง เราแพ้คดีในศาลด้วยเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ ด้วยภาวะทางการเมืองระหว่างประเทศ

นั่นเป็นข้อเท็จจริง

ปัญหาอยู่ที่ว่า ไทยเราสงวนสิทธิ์ไม่ยอมรับคำตัดสิน จะสงวนไปนานเท่าไหร่ ไม่ใช่ปัญหา จะอุธรณ์ได้หรือไม่ ระยะเวลาตามกฎหมายหมดไปหรือยัง ไม่ใช่ประเด็น

ดูตัวอย่างคดีโกงชาติของทักษิณ หากแก้รัฐธรรมนูญได้ก็ไม่ผิด  แต่ถ้าติดคุกไปแล้ว ไปแก้รัฐธรรมนูญทีหลัง ก็ติดคุกไป ลบล้างกันไม่ได้

ตราบใดที่เรายังประท้วงกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ยอมรับการยึดครองของเขมร เมื่อมีการแก้กฎหมายระหว่างประเทศ แล้วมีช่องทางให้เราสู้คดีใหม่ เราก็ได้สู้ แต่หากเขมรยึดครองไปแล้ว ถึงมีการแก้กฎหมายระหว่างประเทศ เราก็สูไม่ได้แล้ว

กฎหมายรัฐธรรมนูญ ยังแก้ได้  กฎหมายระหว่างประเทศและศาลโลก ตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ตั้งได้ล้มได้แก้ได้

นั่นเอง บรรพบุรุษของเราจึงสงวนท่าทีเรื่องเขาพระวิหารเอาไว้ สายตาของท่านยาวไกล

ไม่โง่และขายชาติเหมือนนักการเมืองและนักวิชาการบางคนในสมัยนี้

สันนิบาติชาติ ตั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และเลิกล้มไปเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เปลี่ยนไปตั้งสหประชาชาติแทน เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หลังสงครามก็จะมีการตั้งองค์กรระหว่างประเทศใหม่ ในวันนั้น กติกาของโลกจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครทราบ

แต่เท่าที่ทราบ เวลาสู้ยังไม่หมด คนที่ถอดใจหรือทรยศชาติ ยกปราสาทเขาพระวิหารให้เขมรโดยไม่สงวนท่าทีการต่อสู้

หน้าตัวเมีย ขายชาติ
บันทึกการเข้า
ขบวนการไดโนเสาร์
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 39


« ตอบ #23 เมื่อ: 23-06-2008, 10:29 »

วานนี้ (22 มิ.ย.) นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ  แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่ไทยลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อสนับสนุนในการเสนอปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยยืนยันว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวไม่มีสถานะเป็นสนธิสัญญา หรือไปเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจรัฐ ดังนั้น จึงไม่เข้าข่ายสนธิสัญญาที่จะต้องขอความเห็นจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง

 

ส่วนการทำแผนบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันที่ต้องเสนอต่อยูเนสโกภายใน 2 ปีนั้น นายกฤต กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่ได้จัดทำแผน เป็นเพียงการหารือร่วมกัน  ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิเหนือดินแดน แต่การลงนามในแถลงการณ์ร่วม เป็นเพียงบันทึกเพื่อแสดงเจตนาร่วมที่ไทยจะสนับสนุน ซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญายูเนสโก ในกรณีขึ้นทะเบียนมรดกโลก ส่วนจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกรรมการที่จะพิจารณา ที่ทางกัมพูชาจะไปยืนยันและชี้แจง

 

นายกฤต กล่าวอีกว่า กรมแผนที่ทหารยังได้ตรวจสอบแผนผังแล้วว่า ไม่มีผลกระทบต่อเขตแดนและพื้นที่ทับซ้อน ส่วนการขอทบทวนคำพิพากษาศาลโลกในกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ขณะนี้ไม่สามารถทำได้แล้ว ทั้งนี้ หากจะทบทวนต้องดำเนินการภายใน 10 ปีหลังมีคำตัดสิน ซึ่งตอนนี้เลยเวลาแล้ว

 

สำหรับพื้นที่ทับซ้อน ที่มีชาวกัมพูชาเข้าไปปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่นั้น นายกฤต กล่าวว่า  เป็นเรื่องสิทธิเหนือพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกัน สืบเนื่องจากคำพิพากษาของศาลโลก เป็นเรื่องที่ไทยและกัมพูชาจะต้องทำการสำรวจและปักปันเขตแดน ซึ่งมีบันทึกความเข้าใจกันอยู่

http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=94509
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 23-06-2008, 11:19 »

กองทัพภาค 2 จะเข้าผลักดันชาวเขมรที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อน

แต่รัฐบาลของนายหน้าเหลี่ยมไม่ยอมให้ทหารเข้าไปผลักดันชาวเขมร

เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาระหว่างประเทศ

พวกเราเคยรู้ข้อมูลแบบนี้มั๊ยครับ
บันทึกการเข้า

mebeam
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 634


Fear can hold you prisoner. Hope can set you Free.


« ตอบ #25 เมื่อ: 23-06-2008, 11:22 »

ไม่เชื่อ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ   ที่เป็นมีออาชีพเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ที่อยู่กับเรื่องนี้มาแทบตลอด ชีวิต
ไม่เชื่อ นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ   
ไม่เชื่อ  เจ้ากรมแผนที่ทหาร ที่ออกมายืนยัน


เพราะอะไร   
                  คนทั้งสามนี้ ไม่มีความรู้จริง
                  คนทั้ง สาม จับมือกันขายชาติขายแผ่นดิน
                  หรือ พวกเขาโดนระบบทักษิณกลืนกินไปแล้ว
                  . 
                  .
                  หรือ เขาทั้งสาม บอกในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจของเรา 
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #26 เมื่อ: 23-06-2008, 11:29 »

ตอบเรื่องเจนละบก เจนละน้ำ ได้หรือยังล่ะ

ตอบเรื่อง การขับไล่ชาวเขมรของทหารไทยหรือยัง ทำไมหน้าเหลี่ยมห้ามทหารไม่ให้ขับไล่เขมรบริเวณนั้นออกไป

ตอบเรื่องการประท้วงของรัฐบาลปี 2505 หรือยัง

ประวัติศาสตร์คงพอพูดได้ แต่นิติศาสตร์ตอบได้มั๊ยว่า การไปเซ็นต์ยอมรับแผนที่เท่ากับยกเลิกการประท้วงใช่หรือไม่
บันทึกการเข้า

นิรนาม
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 554



« ตอบ #27 เมื่อ: 23-06-2008, 11:30 »

ประเทศไทยเป็นอาณาจักร ที่มีหลากหลายชาติพันธุ์รวมกันอยู่มานานแล้ว

จะไปเอาเรื่อง "ชาติพันธุ์" มาเกี่ยวเนื่องกับเรื่อง "รัฐชาติ" ก็ตกประวัติศาสตร์ แน่นอน

แถมยังลืมไปอีกว่า ข้อพิพาทเรื่องดินแดน มีขึ้นได้ตลอดเวลาเพราะแม้จะมีคำพิพากษาแต่ไทยก็สงวนสิทธิ์ที่จะคัดค้าน

ถึงขนาดเดินขบวนประท้วงคำตัดสินศาลโลกทั่วประเทศ ก็แสดงว่า "เรื่องยังไม่จบ"


ผมไม่ทราบว่า พวกนักประวัติศาสตร์มันเคยไปเดินสำรวจ หมู่บ้านภูมิสรอล เชิงเขาพระวิหารมั๊ย

ที่นั่นเป็นที่ตั้งหมวด ตชด. มานาน พูดเขมรทั้งนั้น นั่นแหละเจ้าของตัวจริง

หากจะยึดเอาชาติพันธุ์ พวกนักประวัติศาสตร์ขี้หมา เคยไปเดินในพื้นที่มั๊ย

รู้มั๊ยว่า ภาษา ความเชื่อ วัฒนธรรมอีสานใต้ โดยเฉพาะชายแดน

คนไทยแถบนั้น ก็คือ เขมร ทั้งนั้นแหละ

หรือจะไปดู พระธาตุพนม ก็คนลาว คนญวณ ทั้งนั้น

จะเอาเรื่องชาติพันธุ์มาวัดได้ยังไง

ในเมื่อเขาพระวิหาร ก็คือสมบัติของชาวบ้าน "ภูมิสรอล" อ.กันทราลักษณ์

แค่ชื่อหมู่บ้านก็เห็นชัดๆ ว่าเป็นเขมร ใช่มั๊ย

แต่นั่นคือ "คนไทย" ครับ เป็นคนไทยมาตั้งแต่สมัยรัชการที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มาแล้ว

ถ้าจะบอกว่าเป็นของเขมร ก็คือเขมรในหมู่บ้าน "ภูมิสรอล" นั่นไง


นักวิชาการโง่ประเภทคิดว่า "ไทย" คือ กรุงเทพ ต้องพูดภาษากลาง พวกหน้าโง่ทั้งนั้น

ถ้าใช้วิธีคิดแบบนี้ รัฐปัตตานีก็เป็นของมาเลย์ ไปเลยดีมั๊ย

ไอ้บ้า


"ลุงแคน"ครับ ผมว่าน่าจะเข้าใจผิดอะไรกันบางอย่างแล้วนะครับ

"บ้านภูมิซรอล" แม้จะออกเสียงเป็นสำเนียงเขมรแต่จริง ๆ แล้วชาวบ้านพูดภาษาลาวกันทั้งแถบเลยนะครับ ถ้าจะมีคนพูดภาษาเขมรในพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ที่บ้าน "โดนเอาว์" ต.รุง ลากยาวไปตามแนวชายแดนยัน อ.ขุนหาญ อ.ภูสิงห์ ออกสุรินทร์ ไปโน้นเลย

ยืนยันนะครับว่า "บ้านภูมิซรอล"ชาวบ้านพูดภาษา "ลาว" ครับ

ส่วนพวกนักวิชาการก็ให้เขาเชื่อของเขาไปเถอะ..ประเทศไทย คือ กรุงเทพฯ นอกนั้นเป็นต่างชาติ ต่างภาษาหมด สุรินทร์ เป็น เขมร ศรีสะเกษ เป็น ส่วย รวมทั้งอุบลฯ ก็เป็น "ลาว"
บันทึกการเข้า

"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ  จันดำ
ถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
      นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน
“บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา”
นิรนาม
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 554



« ตอบ #28 เมื่อ: 23-06-2008, 11:34 »

กองทัพภาค 2 จะเข้าผลักดันชาวเขมรที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อน

แต่รัฐบาลของนายหน้าเหลี่ยมไม่ยอมให้ทหารเข้าไปผลักดันชาวเขมร

เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาระหว่างประเทศ

พวกเราเคยรู้ข้อมูลแบบนี้มั๊ยครับ


รู้แต่มันพูดไม่ได้น่ะลุง
บันทึกการเข้า

"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ  จันดำ
ถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
      นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน
“บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา”
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 23-06-2008, 11:41 »

สมัย 2505-2513 น้าชายผมเป็น ผบ.หมวดตชด. ที่หมู่บ้านภูมิสรอลครับ

เมื่อก่อนยังไม่ประกาศเป็นเขตป่าสงวน ก็เข้าไปจับจองที่ดินทำไร่แถบนั้น ตอนหลังมาประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร

ทำให้ที่ดินแถบนั้นไม่มีเอกสารสิทธิ์และไม่ดึงดูดให้คนไทยเข้าไปอาศัยในเขตป่าสงวน

นั่นคือจุดที่คนไทยเสียโอกาส และทำให้มีพวกเขมรอพยพเข้ามาบุกรุกพื้นที่ตรงนั้น

ในแถบนั้นพูดลาว พูดเขมร รู้เรื่องกันหมดครับ เหมือนคนอีสาน พูดลาว หรือพูดไทย แต่ก็สื่อสารกันรู้เรื่อง

จะว่าไป เรื่องชนชาติ เชื้อชาติ ลองอ่านความเห็นที่ 15

แล้วหากจะสาวประวัติศาสตร์ ควรถามไปถึงยุค "ฟูนัน" หรือ เรื่อง "เจนละบก เจนละน้ำ" ให้มันขาดไปเลย
บันทึกการเข้า

เบื่อไอ้เหลี่ยม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 389


« ตอบ #30 เมื่อ: 23-06-2008, 11:47 »

คนอย่างนี้เป็นอาจารย์ ผมก็เป็นปรมาจารย์เลยละสิ
นังแต๋วคนครัวบ้านผมก็เป็นอาจารย์ได้ เป็นได้ดีกว่าไอ้นี่อีก
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #31 เมื่อ: 23-06-2008, 11:57 »

จากจดหมายอ.ชาญวิทย์ในกระทู้ ผมนำมาตอนช่วงท้ายละกัน
..........................................................
(Cool
กล่าวโดยย่อ ปราสาทเขาพระวิหาร ตกเป็นของกัมพูชาทั้งจากทางด้านประวัติศาสตร์ ทางด้านนิติศาสตร์ ข้ออ้างของฝ่ายไทยเราทางด้านภูมิศาสตร์ คือ ทางขึ้นหรือสันปันน้ำ นั้นหาได้รับการรับรองจากศาลโลกไม่ แต่คดีปราสาทเขาพระวิหาร ก็มีผลกระทบอย่างประเมินมิได้ต่อจิตวิทยาของคนไทย ที่ถูกปลุกระดมด้วยวาทกรรมของ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” และ “การเสียดินแดน”

ขอกล่าวขยายความไว้ตรงนี้ว่าวาทกรรมของ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” และ “การเสียดินแดน”
ถูกสร้างและ “ถูกผลิตซ้ำ” มายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว เริ่มด้วยกระบวนการสร้างจิตสำนึกใหม่ว่าเขาและปราสาทพระวิหารเป็น “ของไทย” หรือขยายความการตีความประวัติศาสตร์ ให้ไทยมีความชอบธรรมในการครอบครองเขาพระวิหารยิ่งขึ้น มีการเสนอความคิดว่า “ขอมไม่ใช่เขมร” ดังนั้น เมื่อ “ขอม” มิได้เป็นบรรพบุรุษของเขมรหรือขะแมร์กัมพูชา ประเทศนั้นก็ไม่ควรมีสิทธิจะครอบครองปราสาทเขาพระวิหาร

วิธีการตีความประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดจิตสำนึกว่าเป็น “ของไทย” แบบนี้ จะพบในงานเขียนมากมายของยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานของ ปรีดา ศรีชลาลัย, น. ณ ปากน้ำ, พลูหลวง รวมทั้งของบุคคลสำคัญที่มีงานเขียนเชิงโฆษณาชวนเชื่อ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” เช่น “นายหนหวย” เป็นต้น และยังถูกถ่ายทอดต่อมาในวงการศึกษาประวัติศาสตร์โบราณคดีของหลายสถาบัน รวมทั้งปรากฏอยู่เป็นประจำในงานสื่อสารมวลชน นสพ. รายวัน รายการวิทยุและทีวีโดยทั่วๆไปอีกด้วย


(9)

สรุป

เราจะเห็นได้ว่าวาทกรรมของ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” และ “การเสียดินแดน” นั้นถูกสร้าง ถูกปลุกระดม ถูกผลิตซ้ำมาเป็นระยะเวลา 3-4 ชั่วอายุคน ฝังรากลึกมาก ดังนั้นประเด็นนี้จึงกลายเป็น “ร้อนแรง-ดุเดือด-เลือดพล่าน” จุดปุ๊บติดปั๊บขึ้นมาทันที “5 พันธมิตรฯ” ดูจะได้อาวุธใหม่และพรรคพวกเพิ่มในอันที่จะรุกรบให้แพ้ชนะกันให้เด็ดขาด นำเอาเวอร์ชั่นของ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” มาคลุกผสมกับ “ “ราชาชาตินิยม” ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลสมัคร (ที่เป็นนอมินีทั้งของทักษิณ และเป็นนอมินีของอีกหลายๆฝ่ายหลายๆสถาบัน ที่เรามักจะคิดไม่ถึงหรือมองข้ามไป) ก็ดูจะขาดความสุขุมรอบคอบและความละเอียดอ่อนทางการทูตในการบริหารจัดการกับปัญหากรณีเกี่ยวกับเรื่องปราสาทและเขาพระวิหาร

ดังนั้น ในเมื่อเขาพระวิหารได้ถูกทำให้กลายเป็นการเมืองร้อนแรงเพื่อโค่นล้มรัฐบาล คำถามของเราในที่นี้ คือ

ในแง่ของการเมืองภายใน

-รัฐบาลสมัครจะล้มหรือไม่
-รัฐบาลจะยุบสภาหรือไม่
-พันธมิตรจะรุกต่อหรือต้องถอย
-จะเกิดการนองเลือดหรือไม่
-ทหารจะปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจอีกหรือไม่

หรือจะ “เกี้ยเซี้ย” รักสามัคคี สมานฉันท์ แตกต่าง หลากสีกันได้ ไม่มีเพียงแค่สีเหลือง กับสีแดง
คนไทยได้ผ่านเหตุการณ์ทั้งที่วิปโยคและปลื้มปิติกันมาแล้วเป็นเวลากว่า 70 ปี

ทั้งการปฏิวัติ 2475
ทั้งกบฏบวรเดช 2476
ทั้งรัฐประหาร 2490
ทั้งปฏิวัติ 2500-2501
ทั้งการลุกฮือ 14 ตุลาคม 2516
ทั้งการรัฐประหารนองเลือด 6 ตุลาคม 2519
ทั้งพฤษภาเลือด (ไม่ใช่ทมิฬ) 2535
และท้ายสุดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ประสบการณ์และเหตุการณ์ดังกล่าวพอจะเป็นตัวอย่าง เป็นบทเรียนได้หรือไม่
หรือจะต้องรอให้สึนามิทางการเมืองถล่มทับสยามประเทศ(ไทย)ของเราให้ย่อยยับลงไป

ในแง่ของการเมืองระหว่างประเทศ

เรื่องของเขาและปราสาทพระวิหารจะบานปลายไปเป็นการเมืองระหว่างไทยและกัมพูชาหรือไม่

รุนแรงจนขั้นแบบเผาสถานทูตหรือไม่

จะมีการปิดการค้าชายแดนหรือไม่

จะกลายเป็นประเด็นสาดโคลนการเมืองภายในของกัมพูชา
(ที่จะมีการเลือกตั้ง 27 กรกฏานี้) หรือไม่

หรือว่า

ทั้งไทยกับกัมพูชา จะตระหนักว่าต้องอยู่ร่วมกันโดยสันติ
ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนยาว 800 กม. เป็นสมาชิกอาเซียนด้วยกันจะตกลงเสนอทั้งปราสาทและทั้งเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลกร่วมกันบริหารจัดการและ (เอี่ยว) แบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อความสมานฉันท์ เพื่อคนไทย คนกัมพูชา คนลาว คนกูย คนขะแมร์อีสานใต้ คนกำหมุ คนแต้จิ๋ว คนไหหลำ คนฮกเกี้ยน คนกวางตุ้ง คนปาทาน ฯลฯ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นประชากรอันหลากหลายของรัฐชาติบนผืนแผ่นดินใหญ่อุษาคเนย์นี้

คำตอบไม่น่าจะอยู่ในสายลม มิใช่หรือ

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
20 มิ.ย. 2551

http://www.charnvitkasetsiri.com/PDF/PreahVihearFor20June.pdf

*********************

ความเห็นผมเอง

ที่จริงไม่กล้าโต้แย้งท่านอาจารย์ในแง่ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์

แต่ในแง่นิติศาสตร์อยากเรียนถามแบบโง่ๆว่า
ในปีที่ศาลโลกตัดสินนั้น ผมเป็นหนึ่งในคนไทยที่เดินขบวนคัดค้านคำตัดสินของศาลโลกในปี 2505 อาจารย์ลองหาคำตอบให้สังคมบ้างซีครับ

การที่คนไทยทั้งประเทศเดินขบวนประท้วงไม่ยอมรับคำตัดสินและเมื่อรวมกับหนังสือคัดค้านของรัฐบาลไทย จะไม่มีความหมายในแง่นิติศาสตร์เลยเชียวหรือครับ

แคน ไทเมือง

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

เขตแดนไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง กระทู้จาก พันทิปดอตคอม
ประเทศไทยในยุคล่าอาณานิคม จากบ้านจอมยุทธดอตคอม
กรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส จากหอมรดกไทย กระทรวงกลาโหม


http://www.oknation.net/blog/canthai/2008/06/23/entry-1
บันทึกการเข้า

Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #32 เมื่อ: 23-06-2008, 12:07 »

ถามนิดนึงครับ ถ้าไม่มองว่า ชาญวิทย์ ชอบใครเกลียดใคร อ่านบทความแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ




แล้วคุณล่ะคะ รู้สึกยังไง  คิดว่าจุดประสงค์ของไอ้บทความบ้านี่คืออะไร

เดี๊ยนรู้สึกสะอิดสะเอียน ผู้เขียนจะรังเกียจอมาตยาธิปไตย หรือรักทักษิณ หรืออะไรก็ไม่รู้
ที่อ่านดู อาจารย์มีความรู้ขั้นเทพ แต่ดันเอาข้อเท็จจริงไปสนับสนุนความอคติลำเอียงของตนเองซะงั้น

เหตุผลคือ

เดี๊ยนขอสรุปโครงสร้างของบทความบ้านี่ก่อน
1. นำเสนอข้อเท็จจริงความรู้ด้านประวัติศาสตร์
2. ลำดับเหตุการณ์กรณีพิพาทเรื่องดินแดน
3. บทสรุป อ่านแล้ว ดูเหมือนวัตถุประสงค์ของบทความบ้านี่
พยายามชี้ว่า กรณีเขาพระวิหารเป็นเพียงวาทะกรรมปลุกปั่นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง


นี่คือใจความสำคัญของบทความ

- เริ่มด้วยประวัติศาสตร์เรื่องเขตแดน  พยายามตอกย้ำว่า จริงๆแล้วปราสาทพระวิหารเกือบจะถูกทิ้งร้างด้วยซ้ำ

ไม่ทราบว่าจะตอกย้ำหาพระแสงอะไร 
มีคนสนใจปราสาทหรือไม่  มันก็คนละเรื่องกับการปกป้องผลประโยชน์ของชาติด้านเขตแดน
ซึ่งเป็นเรื่องซีเรียสมาก ละเอียดอ่อน
พยายามจะเอาความรู้ทางประวัติศาสตร์  มาตัดสินท่าทีทางการทูตหรือไงไม่ทราบ??


- พระวิหารสมควรเป็นของเขมร เพราะเป็นสถาปัตยกรรมขอม และ ร.5 ทรงยกให้ฝรั่งเศสไป

มีความรู้ขั้นเทพ นี่หรือคือตรรกะที่คิดได้?? ผู้อ่านคงเข้าใจได้เองไม่ต้องขยายความ
ยุคนั้นฝรั่งเศสบีบคั้นไทยได้  ดินแดนส่วนนั้นก็ควรเป็นของเขมร? บ้า
แล้วไอ้ก่อนหน้านั้นที่เป็นเมืองขึ้นไทยล่ะ

จริงๆแล้วคือ ทีใครทีมัน จังหวะใครได้เปรียบ ก็สามารถแย่งดินแดนกันไปมาได้ต่างหาก


- พอ ป.พิบูล ขึ้นมาก็ทวงพระวิหารคืน  เป็นวิธีของอมาตย์ หวังจะสร้างคะแนนเสียง

สรุปว่า พอเราไปยืมมือญี่ปุ่นบีบฝรั่งเศส(เอาคืนมันบ้าง)
แล้วเราก็ได้ดินแดนคืนมา  เป็นความชั่วร้ายของอมาตยาธิปไตย
อมาตย์ทำอะไรก็ชั่วไปหมด  แม้เราจะได้ดินแดนคืนก็ตาม  นี่คือตรรกะ?  อายลูกศิษย์มั่งป่าวเนี่ย


- ต่อมาพอไทยแพ้สงครามโลก ต้องแลกเปลี่ยนโดยการคืนดินแดน 
อมาตยาธิปไตยไม่ยอม  เอาธงขึ้นไปปักบนปราสาทซะอีก เลยคิดว่าเป็นการเล่นแง่

5555 เอาธงขึ้นไปปักบนโบราณสถานซึ่งมีทางขึ้นอยู่ในดินแดนของไทย นี่คือการเล่นแง่?
พอกัมพูชาได้เอกราช ก็อยากจะต่อสู้เอาปราสาทคืน ทีใครทีมัน
เมื่อรัฐบาลไทยปลุกกระแสสู้คดีเพื่อรักษาดินแดน  ก็หาว่าหลอกระดมเงินจากประชาชนอีก



คือไม่ว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญใดๆในประวัติศาสตร์พระวิหาร
อาจารย์ก็พยายามจะบอกว่า มันเป็นเกมส์การเมืองทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ก็เพื่อจะลดความชอบธรรมของการจุดประเด็นของพันธมิตร(โยงกับอำมาตย์)
แค่นั้นเองใช่มั้ย  จิตสำนึกเรื่องผลประโยชน์ของชาติ ไม่ต้องไปคิดถึงมัน

น่าเศร้าที่คนคิดแบบนี้ เป็นอาจารย์สั่งสอนคนในชาติ



จริงๆแล้ว มันไม่ใช่กงการอะไรเลยของไอ้เหล่ ที่จะต้องไปลงนามยอมรับ
นี่คือท่าทีทางการทูต ที่ไม่สมควรเปลี่ยนแปลง


ถึงเราไม่ลงนามยอมรับ  เรื่องนี้ก็จะไม่บานปลายเป็นสงครามขึ้นมาได้หรอกไม่มีอะไรต้องเสีย

แต่ที่แสดงท่าทียอมรับ  เพราะมีอะไรบางอย่างที่จะ "ได้"  หรือว่าไง

หน้าที่เรามีอย่างเดียวเท่านั้น คือ ค้านในที่ประชุม unesco
เพราะครั้งแรกที่มันยื่นแผนที่ไป  มันล้ำดินแดนไทย
คอยระวังไอ้เขมร ที่ตลบแตลงปลิ้นปล้อนเป็นเอี้ย  เท่านั้นเอง


ถ้ามันยื่นแผนที่ที่ถูกต้องแล้ว  เราจะเฉยๆไว้  หรือจะค้านก็ยังได้เลย

แต่เฉยดีกว่านะ  ถ้าเป็นมรดกโลกแล้ว เราก็จะได้ผลทางการท่องเที่ยวด้วย

ถ้าค้าน ก็เป็นการแสดงจุดยืนที่คงเส้นคงวา  ว่าเราไม่เห็นด้วยกับศาลโลก แค่นั้นเอง




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008, 12:26 โดย YoYo » บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #33 เมื่อ: 23-06-2008, 12:16 »


ขอย้ำว่า พันธมิตรยิบยกประเด็นเขาพระวิหารขึ้นมาจุดชนวนชุมนุม จริง  ไม่มีความชอบธรรม

คนที่ไม่เห็นด้วย ก็ควรอยู่ในประเด็นแค่นี้



ส่วนไอ้ความพยายามทั้งหลายทั้งปวง ที่จะลดความชอบธรรมของการปลุกระดม
ทำแม้กระทั่ง อ้างโน่น นี่ นั่น  อวดภูมิความรู้  เข้าข้างผลประโยชน์ของเขมร 

ทำแบบนี้  ขอประนาม!

ไม่มีปัญญาต่อกรกับพันธมิตรด้วยวิธีอื่นแล้วหรือ?


บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #34 เมื่อ: 23-06-2008, 12:21 »

ไม่เชื่อ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ   ที่เป็นมีออาชีพเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ที่อยู่กับเรื่องนี้มาแทบตลอด ชีวิต
ไม่เชื่อ นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ   
ไม่เชื่อ  เจ้ากรมแผนที่ทหาร ที่ออกมายืนยัน


เพราะอะไร   
                  คนทั้งสามนี้ ไม่มีความรู้จริง
                  คนทั้ง สาม จับมือกันขายชาติขายแผ่นดิน
                  หรือ พวกเขาโดนระบบทักษิณกลืนกินไปแล้ว
                  . 
                  .
                  หรือ เขาทั้งสาม บอกในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจของเรา 

คุณใช้คำว่า "เชื่อ"  เพราะว่า กำลังพยายามหาพวกสนับสนุนความคิดของตัวเองหรือเปล่า
คนที่มีเครดิต  เราก็สมควรเชื่อเหรอ

เชื่อในข้อเท็จจริง  แต่จุดยืนไม่เห็นด้วย  ได้มั้ยล่ะ

บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #35 เมื่อ: 23-06-2008, 12:29 »

การเมืองหรือไม่การเมืองผมไม่สนหรอก

แต่ถ้ามีหมาตัวไหนเข้ามาในบ้านของผม
แล้วจะยึดบ้านของผมไปเป็นของมัน
ผมนี่แหละ จะเตะมันออกไป

บันทึกการเข้า
pigaboo
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 35


« ตอบ #36 เมื่อ: 23-06-2008, 12:40 »

ไม่เชื่อ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ   ที่เป็นมีออาชีพเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ที่อยู่กับเรื่องนี้มาแทบตลอด ชีวิต
ไม่เชื่อ นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ   
ไม่เชื่อ  เจ้ากรมแผนที่ทหาร ที่ออกมายืนยัน


เพราะอะไร   
                  คนทั้งสามนี้ ไม่มีความรู้จริง
                  คนทั้ง สาม จับมือกันขายชาติขายแผ่นดิน
                  หรือ พวกเขาโดนระบบทักษิณกลืนกินไปแล้ว
                  . 
                  .
                  หรือ เขาทั้งสาม บอกในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจของเรา 

สำหรับทั้งสามคนนั้น ผมไม่เถียงว่าพูดได้ถูกต้อง เพราะเจ้าของที่แท้จริงคือเขมรโบราณ แล้วก็รัฐบาลมีสิทธิ์ในการทำข้อตกลง และไทยไม่ได้เสียดินแดนเพิ่ม

เขาทั้งสามตอบตรงกับความจริง และก็ไม่ตรงกับใจเราจริงๆเพราะ

พวกเราคนไทยรู้ว่า ฝรั่งเศสช่วยเขมรในการนี้

พวกเราคนไทยรุ้ว่า เราถูกเอาเปรียบ

พวกเราคนไทยรู้ว่า รัฐบาลในอดีต ไม่เคยยอมรับการได้ไปซึ่งเขาพระวิหารนี้ของเขมร แต่ก็ยอมปฏิบัติตามคำสังศาล

พวกเราคนไทยรู้ว่า ศาลตัดสินเฉพาะตัวปราสาท และไม่เข้าไปแตะเรื่องเขตแดน


แต่มาวันนี้ คนไทยบางส่วนและพ่อค้า จะยอมรับการได้ไปซึ่งเขาพระวิหารของเขมร

แต่มาวันนี้ คนไทยบางส่วนและพ่อค้า กำลังยอมอ่อนข้อให้เขมรซึ่ง ไม่น่าจะสู้ไทยได้


คำถามจาก พวกเราคนไทยคือ ทำไมเราไม่ขอร่วมกับเขมรเลย? เพราะยังไงถ้าเราไม่ยอมเขาก็ขอไม่ได้ เขาไม่ยอมเราก็ไม่ยอม

คำถามจาก พวกเราคนไทยคือ ทำไมเราถึงยอมตามข้อเสนอของเขมร? เพราะไทยแกร่งกว่าเขมรในหลายๆด้าน

คำถามจาก พวกเราคนไทยคือ  ทำไมรัฐบาลให้นพดลซึ่งเป็นลูกจ้างพ่อค้าที่สนิทกับนายกเขมร ไปเจรจา? เพราะความน่าเชื่อถือมันแถบไม่มีเหลือ

คำถามจาก พวกเราคนไทยคือ แล้วถ้าวันหนึ่งเขมร ขอขึ้นศาลขอให้พิจารณาเขตแดน ตามแบบของเขา โดยอ้างว่าประสาทเป็นของเขา และไทยก็ยอมรับ แล้วศาลก็บอกว่า ไทยมิเคยคัดค้าน จึงถือว่ายอมรับ แบบที่เราโดนมาครั้งหนึ่งแล้ว คนไทยกลุ่มนี้ ลูกจ้างและพ่อค้าจะรับผิดชอบยังไงไหว?


เรียนคุณ mebeam ช่วยตอบแทนรัฐมนตรีฮีโร และท่านผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสามหน่อยได้ไหม ถ้าไม่รุจะตอบยังไง ตอบคำถามต่อไปนี้ก็ได้ ว่า

ถ้าศาลสั่งให้พ่อไม่มีสิทธิ์ในตัวลุกชายเพราะความที่ตัวเองกินเหล้าแล้วพาล แต่พ่อก็ยังรักลูกถึงแม้จะไม่มีสิทธิ์ แล้ววันนึง มีคนมาขอแต่งงานใหม่ฝ่ายพ่อยอมแต่งแล้วมีลุกกับเมียใหม่ ถามว่าวันนึงพ่อกลับตัวแล้ว อยากขอความปราณีศาล ศาลควรจะเห็นใจพ่อที่แต่งงานใหม่ หรือพ่อที่ไม่แต่งงานใหม่มากกว่ากัน ถ้าพ่อเลิกเหล้าได้แล้ว มันก็เหมือนกับตอนนี้ ที่ว่าเราไม่ต้องการทวงสิทธิ์หรือเรายังต้องการมีสิทธิ์ร่วม

บันทึกการเข้า
watson
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 393


« ตอบ #37 เมื่อ: 23-06-2008, 13:05 »

ไม่เชื่อ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ   ที่เป็นมีออาชีพเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ที่อยู่กับเรื่องนี้มาแทบตลอด ชีวิต
ไม่เชื่อ นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ   
ไม่เชื่อ  เจ้ากรมแผนที่ทหาร ที่ออกมายืนยัน


เพราะอะไร   
                  คนทั้งสามนี้ ไม่มีความรู้จริง
                  คนทั้ง สาม จับมือกันขายชาติขายแผ่นดิน
                  หรือ พวกเขาโดนระบบทักษิณกลืนกินไปแล้ว
                  . 
                  .
                  หรือ เขาทั้งสาม บอกในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจของเรา 

มีใครเขาไปเถียงเรื่องประวัติศาสตร์ของปราสาทพระวิหารหรือครับ มีใครบอกว่าไม่เชื่อว่าในแง่ประวัติศาสตร์แล้วปราสาทเขาพระวิหารเป็นของเขมรหรือครับ
เขาไม่ได้เถียงกันว่าในอดีตสมัยก่อนสุโขทัยว่าปราสาทเป็นของใคร แต่เขากำลังพูดถึงว่า "แผ่นดิน" บริเวณเขาพระวิหารนั้นปัจจุบันเป็นของใคร
กำลังหลงประเด็นอยู่หรือครับ
บันทึกการเข้า
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #38 เมื่อ: 23-06-2008, 13:14 »

ผมว่าเรากำลังหลงประเด็นกลายเป็น Chauvinism กันหมดแล้วละ

เรื่องชาติพันธ์หรืออะไรก็ตาม เป็นเรื่องของอดีต ถ้ายกเรื่องชาติพันธ์อาณาจักร ตั้งแต่นครศรี ควรเป็นของ อินโด นะครับ

เราต้องดูว่าแผนที่ใหม่ที่มันออกนี้ เราเสียดินแดนในปัจจุบันไปเท่าไหร่

และไอ้ทักษิณมันได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการนี้

เรื่องของศาลโลกที่ฝรั่งเศสไปLobby ผมว่ามาคิดตอนนี้สายไปหน่อยแล้ว

ประเด็นเรื่องเขาพระวิหารทำให้เราหลงประเด็น ไปเยอะพอควรเลยละ

เดี๋ยวจะบานปลายไปเผาสถานฑูตเขมร ในไทย เหมือนตอนฮุนเซน ปลุกกระแสคลั่งชาติในเขมรนะครับ
บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
ScaRECroW
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,000


สุสูสัง ลภเต ปัญญัง - ผู้ฟังดี ย่อมเกิดปัญญา


เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 23-06-2008, 13:29 »




แล้วคุณล่ะคะ รู้สึกยังไง  คิดว่าจุดประสงค์ของไอ้บทความบ้านี่คืออะไร

เดี๊ยนรู้สึกสะอิดสะเอียน ผู้เขียนจะรังเกียจอมาตยาธิปไตย หรือรักทักษิณ หรืออะไรก็ไม่รู้
ที่อ่านดู อาจารย์มีความรู้ขั้นเทพ แต่ดันเอาข้อเท็จจริงไปสนับสนุนความอคติลำเอียงของตนเองซะงั้น

เหตุผลคือ

เดี๊ยนขอสรุปโครงสร้างของบทความบ้านี่ก่อน
1. นำเสนอข้อเท็จจริงความรู้ด้านประวัติศาสตร์
2. ลำดับเหตุการณ์กรณีพิพาทเรื่องดินแดน
3. บทสรุป อ่านแล้ว ดูเหมือนวัตถุประสงค์ของบทความบ้านี่
พยายามชี้ว่า กรณีเขาพระวิหารเป็นเพียงวาทะกรรมปลุกปั่นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง


นี่คือใจความสำคัญของบทความ

- เริ่มด้วยประวัติศาสตร์เรื่องเขตแดน  พยายามตอกย้ำว่า จริงๆแล้วปราสาทพระวิหารเกือบจะถูกทิ้งร้างด้วยซ้ำ

ไม่ทราบว่าจะตอกย้ำหาพระแสงอะไร 
มีคนสนใจปราสาทหรือไม่  มันก็คนละเรื่องกับการปกป้องผลประโยชน์ของชาติด้านเขตแดน
ซึ่งเป็นเรื่องซีเรียสมาก ละเอียดอ่อน
พยายามจะเอาความรู้ทางประวัติศาสตร์  มาตัดสินท่าทีทางการทูตหรือไงไม่ทราบ??


- พระวิหารสมควรเป็นของเขมร เพราะเป็นสถาปัตยกรรมขอม และ ร.5 ทรงยกให้ฝรั่งเศสไป

มีความรู้ขั้นเทพ นี่หรือคือตรรกะที่คิดได้?? ผู้อ่านคงเข้าใจได้เองไม่ต้องขยายความ
ยุคนั้นฝรั่งเศสบีบคั้นไทยได้  ดินแดนส่วนนั้นก็ควรเป็นของเขมร? บ้า
แล้วไอ้ก่อนหน้านั้นที่เป็นเมืองขึ้นไทยล่ะ

จริงๆแล้วคือ ทีใครทีมัน จังหวะใครได้เปรียบ ก็สามารถแย่งดินแดนกันไปมาได้ต่างหาก


- พอ ป.พิบูล ขึ้นมาก็ทวงพระวิหารคืน  เป็นวิธีของอมาตย์ หวังจะสร้างคะแนนเสียง

สรุปว่า พอเราไปยืมมือญี่ปุ่นบีบฝรั่งเศส(เอาคืนมันบ้าง)
แล้วเราก็ได้ดินแดนคืนมา  เป็นความชั่วร้ายของอมาตยาธิปไตย
อมาตย์ทำอะไรก็ชั่วไปหมด  แม้เราจะได้ดินแดนคืนก็ตาม  นี่คือตรรกะ?  อายลูกศิษย์มั่งป่าวเนี่ย


- ต่อมาพอไทยแพ้สงครามโลก ต้องแลกเปลี่ยนโดยการคืนดินแดน 
อมาตยาธิปไตยไม่ยอม  เอาธงขึ้นไปปักบนปราสาทซะอีก เลยคิดว่าเป็นการเล่นแง่

5555 เอาธงขึ้นไปปักบนโบราณสถานซึ่งมีทางขึ้นอยู่ในดินแดนของไทย นี่คือการเล่นแง่?
พอกัมพูชาได้เอกราช ก็อยากจะต่อสู้เอาปราสาทคืน ทีใครทีมัน
เมื่อรัฐบาลไทยปลุกกระแสสู้คดีเพื่อรักษาดินแดน  ก็หาว่าหลอกระดมเงินจากประชาชนอีก



คือไม่ว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญใดๆในประวัติศาสตร์พระวิหาร
อาจารย์ก็พยายามจะบอกว่า มันเป็นเกมส์การเมืองทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ก็เพื่อจะลดความชอบธรรมของการจุดประเด็นของพันธมิตร(โยงกับอำมาตย์)
แค่นั้นเองใช่มั้ย  จิตสำนึกเรื่องผลประโยชน์ของชาติ ไม่ต้องไปคิดถึงมัน

น่าเศร้าที่คนคิดแบบนี้ เป็นอาจารย์สั่งสอนคนในชาติ



จริงๆแล้ว มันไม่ใช่กงการอะไรเลยของไอ้เหล่ ที่จะต้องไปลงนามยอมรับ
นี่คือท่าทีทางการทูต ที่ไม่สมควรเปลี่ยนแปลง


ถึงเราไม่ลงนามยอมรับ  เรื่องนี้ก็จะไม่บานปลายเป็นสงครามขึ้นมาได้หรอกไม่มีอะไรต้องเสีย

แต่ที่แสดงท่าทียอมรับ  เพราะมีอะไรบางอย่างที่จะ "ได้"  หรือว่าไง

หน้าที่เรามีอย่างเดียวเท่านั้น คือ ค้านในที่ประชุม unesco
เพราะครั้งแรกที่มันยื่นแผนที่ไป  มันล้ำดินแดนไทย
คอยระวังไอ้เขมร ที่ตลบแตลงปลิ้นปล้อนเป็นเอี้ย  เท่านั้นเอง


ถ้ามันยื่นแผนที่ที่ถูกต้องแล้ว  เราจะเฉยๆไว้  หรือจะค้านก็ยังได้เลย

แต่เฉยดีกว่านะ  ถ้าเป็นมรดกโลกแล้ว เราก็จะได้ผลทางการท่องเที่ยวด้วย

ถ้าค้าน ก็เป็นการแสดงจุดยืนที่คงเส้นคงวา  ว่าเราไม่เห็นด้วยกับศาลโลก แค่นั้นเอง






ผมเป็นคนที่มักจะให้ความสนใจกับ ข้อติติง "ที่ไม่น่าฟัง" ทั้งจากฝั่งเดียวกันและฝั่งตรงข้าม ผมจะไม่ค่อยเหมารวมว่าใครที่ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับเราต้องเป็นคนละพวกกับเรา แล้วผมก็ยังเชื่อว่าถึงเขาจะอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาก็อาจจะคิดว่าเขารักชาติเท่า ๆ กับเราก็ได้ เวลามีประเด็นอะไร ผมก็จะพยายามข่มอคติข่มทัศนคติตัวเอง  แล้วลองหาคำตอบโดยพยายามคิดแบบที่ฝั่งตรงข้ามคิด ทำแบบนี้มันยากเหมือนกันครับ เพราะผมเองก็มีอคติกับทุกเรื่องเท่า ๆ กับที่คนอื่น ๆ มี พอดีคิดไม่ค่อยเก่ง ก็เลยยากกว่าคนอื่น ๆ เขาน่ะครับ

เรื่องบางเรื่องที่ดูแล้วสลับซับซ้อน มากเล่ห์ หลากหลายชั้นเชิง โดยที่แต่ละฝ่าย พูดหรือแสดงข้อเท็จจริงออกมาให้เห็นไม่มาก ผมจะระวังครับ
บันทึกการเข้า

Politic is nothing but the continuation of [the sin of] 7 by other means.

ท่านคิดว่า นรม. ควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ากฏหมายบางฉบับมีช่องโหว่?
ก.ใช้อำนาจ นรม.ที่ได้รับมาจากประชาชนแก้กฏหมายเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ของแผ่นดิน
ข.ฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่เหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและคนรอบข้าง แล้วก็อ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน
protecter
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 465


« ตอบ #40 เมื่อ: 23-06-2008, 13:30 »

ง่ายๆเลย
แถบนั้น พรมแดนระหว่างไทย กับ เขมร แบ่งโดยใช้ภูมิประเทศเป็นหลัก
ไทยอยู่ฝั่งที่ราบสูง เขมรอยุ่ฝั่งที่ราบต่ำ
ส่วนตัวปราสาทอยู่ตรงขอบที่ราบสูง(หน้าผา)ติดพรมแดนเขมร

ในเมื่อพื่นที่ที่ราบสูงแถบนั้นทั้งหมดอยู่ในเขตแดนไทย..แล้วเหตุใด ตัวปราสาทโดดๆจึงเป็นของเขมร

ถ้าไม่ใช่ควายก็คงรู้นะว่าศาลโลกตัดสินคดีลำเอียง โกงเราไปดื้อๆ
ซึ่งก็เข้าใจได้ไม่ยากอีกว่าไทยเราทำไมถึงถูกโกง

1.ไทยอ่อนแอ แต่ฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจโลก
2.คณะผู้พิพากษาส่วนใหญ่เป็นพวกคนผิวขาวซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส
3.หนึ่งในผู้พิพากษาในขณะนั้น เป็นลูกศิษย์ของทนายฝ่ายเขมร
4.มีใส้ศึกฝ่ายไทยเอาข้อมูลไปขายให้ฝ่ายตรงข้าม
5.ไทยช่วงนั้นโง่ รู้ไม่เท่าทันฝรั๋งเศส เสียรู้ที่ไม่คัดค้านแผนที่ ที่มันทำขึ้นเอง

แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหมดสิทธิค้าน หรือเอาคืน ถ้าตราบใดที่เรายังไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการ
(แต่สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ทำ น่ากลัวว่าจะเข้าข่าวยอมรับอย่างเป็นทางการซะแล้ว)

ปราสาทสร้างโดยชนชาติขอม ซึ่งต่อมาได้เสื่อมสลายไปแล้ว ลูกหลานของชนชาติขอบก็ถูกไทยและเขมรกลืนกินกลมกลืนไปหมดแล้ว
จะมาอ้างเรื่องสถาปัตกรรมไม่ได้แน่นอน

สิ่งที่ไทยควรทำตอนนี้คือ

1.ยอมปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลก แต่อย่ายอมรับการตัดสิน และขอสงวนสิทธิการทวงคืน ด้วยกฏหมายและสันติวิธีในอนาคต

2.เมื่อศาลโลกตัดสินเฉพาะตัวปราสาทเป็นของเขมร ฉะนั้นพื้นที่ทุก ตร นิ้วรอบตัวปราสาทต้องเป็นของไทย อย่าให้คนเขมรเข้ามารุกล้ำเข้ามาอาศัย ถ้ามีต้องรีบผลักดันออกไป ปล่อยไปนานๆจะกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนแล้วต้องมาเจรจาแบ่ง พท คนละครึ่งกันอีก (ซึ่งก็เกิดแล้ว)

3.อย่ารับรองหรือยอมให้เขมรขึ้นเป็นมรดกโลกเพียงตัวปราสาทเท่านั้น ต้องขึ้นรวมบริเวณโดยรอบในส่วนของไทยด้วย โดยให้บริหารร่วมกัน รายได้จากการท่องเที่ยวและผลประโยชน์อื่นแบ่งกัน

4.คัดค้านการทำกระเช้าขึ้นจากทางเขมร ถ้าเขมรทำ ต่อไปมันจะปิดตายทางบันใดขึ้น ทุกคนที่ขึ้นไปจะต้องเข้าทางเขมร แบบนี้รายได้จากนักท่องเที่ยว เขมรก็รับไปเต็มๆฝ่ายเดียว

5.หาช่องทาง ยื่นต่อศาลโลก ให้พิจารณาคดีใหม่




4.ไทย
บันทึกการเข้า
เบื่อไอ้เหลี่ยม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 389


« ตอบ #41 เมื่อ: 23-06-2008, 13:49 »

“ม.ล.วัลย์วิภา” นักวิชาการไทยคดี มธ.จี้รัฐบาลไทย-รัฐบาลกัมพูชา แสดงความโปร่งใสในการยื่นจดทะเบียนประสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เชื่อเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นสื่อบังหน้าความต้องการเปลี่ยนเส้นเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเลของไทย เพื่อหวังผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มการเมือง ชี้แผนที่กัมพูชาขีดเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลกินเกาะกรูด และพื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติ สอดคล้องข้อมูล “สนธิ” ที่ส่งให้ ผบ.ทบ.เมื่อปี 49 เร่งนักวิชาการร่วมกันเขียนข้อเสนอยูเนสโกชะลอขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหาร

 
 
ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัย 9 สถาบันไทยคดีศึกษา มธ.
 
 
              วันนี้ (18 มิ.ย.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่ชั้น 9 ตึกอเนกประสงค์ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แถลงข่าวเรื่อง “ข้อเท็จจริงจากพื้นที่กรณีขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของมนุษย์” โดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัย 9 สถาบันไทยคดีศึกษา นายประกาสิทธิ์ แก้วมงคล ผู้ช่วยนักวิจัย และทีมงาน
       โดย ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวว่า การศึกษาของทีมงานครั้งนี้ไม่ใช่งานวิจัย แต่เป็นการลงไปเก็บข้อมูลในพื้นที่โดยเป็นการชี้เบาะแสเชิงวิชาการ และมีการศึกษาอย่างเป็นระบบ หลังจากที่ได้ฟัง นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการขอขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหาร ว่า เป็นเพียงการบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อน และเป็นเรื่อง win-win เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา จึงเกิดความรู้สึกว่า ปัญหาเรื่องประสาทเขาพระวิหารเป็นเรื่องอึมครึม และน่าอึดอัดในความรู้สึกของคนไทย แต่เหตุใดรัฐบาลไทยจึงไม่พูดเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจน จึงได้ลงพื้นที่ไปศึกษาเรื่องดังกล่าว
       
       ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวต่อไปว่า ปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา นั้น ทางฝ่ายกัมพูชาพยายามรักษาอธิปไตยของตนเอง โดยมีการสร้างชุมชน ตลาด และวัด เข้ามาในดินแดนฝั่งไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาไม่ได้ยึดถือหลักเขตแดนของไทยตามมติ ครม.เมื่อปี 2505 ของไทย โดยที่รัฐบาลของไทยไม่ได้มีความพยายามดำเนินการใดๆ และเมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่กัมพูชากับไทยได้เจรจาร่วมกันมา ทางกัมพูชาได้ยื่นข้อเสนอขอเปิดจุดผ่านแดนช่องตาเฒ่า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทางกัมพูชาเตรียมไว้สำหรับเปิดศูนย์การค้า แหล่งบันเทิง และ กาสิโน และเมื่อตนย้อนกลับไปดูการจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ทางทะเลที่ลากจากหลักกิโลเมตรที่ 73 จ.ตราด ได้พบแผนที่ของกัมพูชา ที่มีการเขียนหลักเขตแดนทางทะเลผ่านเกาะกรูด ของไทย และกินพื้นที่พัฒนาร่วม หรือ JDA ซึ่งเป็นจุดที่มีทรัพยากรธรรมชาติขนาดใหญ่ และเป็นเส้นเขตแดนทางทะเลที่แตกต่างจากเส้นเขตแดนของไทย โดยกินพื้นที่ของไทยเข้ามาด้วย ทั้งนี้ แผนที่ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด เรื่อง เรียกร้องขอให้ทหารหาญของชาติแสดงจุดยืนปกป้องผลประโยชน์ชาติ กรณีเร่งรัดแบ่งเขตแดนทางทะเลไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2549
       
       “เส้นเขตแดนทางทะเลมีเส้นเขตแดนเดิมตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ที่เกาะกรูด จะต้องเป็นของไทย และในปี 2544 รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้บรรลุข้อตกลงกับทางกัมพูชา ด้วยการทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งน่าสงสัยว่า ทำไมการปักปันเขตแดนซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นอธิปไตยของชาติ เหตุใดจึงไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในวงกว้าง หรือผ่านกระบวนการรับรองการเปลี่ยนเส้นเขตแดนที่ไม่ใช่ฝ่ายบริหารรับรู้แต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น จึงเชื่อว่า เขาพระวิหารเกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตแดน และเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพื้นที่ JDA ด้วย”
       
       ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวอีกว่า ในนามของคณะวิจัย สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอแถลงการณ์ว่า 1.ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ที่แท้จริงมิใช่ราชอาณาจักรไทยหรือราชอาณาจักรกัมพูชา แต่เป็นรัฐบาลไทยกับประชาชนไทย ดังนั้น ข้าราชการประจำทั้งทหารและพลเรือน ทุกคนจะต้องตัดสินใจแล้วว่า ตนกำลังปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือไม่ หรือของใคร 2.สิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้ คือ รัฐบาลไปยอมให้ราชอาณาจักรกัมพูชาขึ้นทะเบียนแต่ฝ่ายเดียว และยอมรับแผนที่ของกัมพูชาที่ไม่ยอมรับอธิปไตยตามมติคณะรัฐมนตรี 2505 และยังยอมไปทำแถลงการณ์ร่วมในการพัฒนาพื้นที่ร่วมกันโดยยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องเขตแดนแม้แต่น้อย ผลเสียตามกฎหมายปิดปากก็จะเกิดขึ้น
       
       “เมื่อรัฐบาลไทยไม่ยับยั้งหรือคัดค้าน ประชาชนคนไทยควรร่วมกันยับยั้ง หรือคัดค้านโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิชุมชน และส่งเรื่องไปตามขั้นตอนและเวลาอย่างเร่งด่วนผ่านองค์การยูเนสโกในประเทศไทย ไปยังคณะกรรมการมรดกโลก จึงขอความร่วมมือของนักวิชาการ ข้าราชการประจำองค์กรภาคประชาชน สื่อและประชาชนทุกคนมาร่วมกัน ศึกษาพิจารณาดูข้ออ้างที่จะมาใช้ เพื่อให้มีการเลื่อนการพิจารณาประสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่สำคัญ คณะวิจัยมองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องความต้องการเปลี่ยนเส้นเขตแดน ทั้งทางบกและทางทะเลของไทย เพื่อหวังผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มการเมือง โดยมีเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นสื่อบังหน้า”
       
       ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวเพิ่มเติมว่า หากไม่ยืนยันเขตอธิปไตยหรือเส้นเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2505 ไทยจะเสียดินแดนให้กัมพูชา ซึ่งแผนที่ใหม่ของกัมพูชามีนัยเป็นการยืนยันท่าทีของกัมพูชาที่ไม่ยึดถือเขตอธิปไตย หรือเส้นเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2505 เมื่อไม่มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้ชัดเจนเสียก่อน แต่เลือกแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ร่วมและออกแถลงการณ์ร่วม ไทยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเสียดินแดนให้กัมพูชาในที่สุด
       
       “รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาไม่มีความไม่โปร่งใสในเรื่องดังกล่าว ซึ่งการขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหาร เป็นมรดกของโลกเป็นเรื่องดี ดังนั้น รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศควรจะทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส ไม่ควรทำเพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง หรือเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สำหรับนักวิชาการที่ต้องการร่วมกันระดมความเห็นเพื่อยื่นข้อเสนอส่งให้ยูเนสโกชะลอการประกาศเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกให้ทันวันที่ 2 กรกฎาคม ที่จะถึง ซึ่งจะมีการประชุมเรื่องดังกล่าว สามารถติดต่อได้ทาง walwipha2000@yahoo.com และขอให้นักวิชาการออกมาช่วยกัน เพราะขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว และการที่ดิฉันไม่ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย เพราะรัฐบาลไทยเพิกเฉย จึงจำเป็นต้องยื่นข้อเสนอไปถึงยูเนสโกแทน” ม.ล.วัลย์วิภา กล่าว
บันทึกการเข้า
mebeam
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 634


Fear can hold you prisoner. Hope can set you Free.


« ตอบ #42 เมื่อ: 23-06-2008, 13:51 »

สำหรับทั้งสามคนนั้น ผมไม่เถียงว่าพูดได้ถูกต้อง เพราะเจ้าของที่แท้จริงคือเขมรโบราณ แล้วก็รัฐบาลมีสิทธิ์ในการทำข้อตกลง และไทยไม่ได้เสียดินแดนเพิ่ม


เรียนคุณ mebeam ช่วยตอบแทนรัฐมนตรีฮีโร และท่านผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสามหน่อยได้ไหม ถ้าไม่รุจะตอบยังไง ตอบคำถามต่อไปนี้ก็ได้ ว่า

ถ้าศาลสั่งให้พ่อไม่มีสิทธิ์ในตัวลุกชายเพราะความที่ตัวเองกินเหล้าแล้วพาล แต่พ่อก็ยังรักลูกถึงแม้จะไม่มีสิทธิ์ แล้ววันนึง มีคนมาขอแต่งงานใหม่ฝ่ายพ่อยอมแต่งแล้วมีลุกกับเมียใหม่ ถามว่าวันนึงพ่อกลับตัวแล้ว อยากขอความปราณี
 ศาล ศาลควรจะเห็นใจพ่อที่แต่งงานใหม่ หรือพ่อที่ไม่แต่งงานใหม่มากกว่ากัน ถ้าพ่อเลิกเหล้าได้แล้ว มันก็เหมือนกับตอนนี้ ที่ว่าเราไม่ต้องการทวงสิทธิ์หรือเรายังต้องการมีสิทธิ์ร่วม


งง ครับ แต่เอาซะหน่อย
โดนตัดสิทธิ์เพราะว่าทำผิดเอง (คุณยกตัวอย่างมาเอง )  วันนึงอยากกลับมามีสิทธิ์ ต้องดูเรื่องนี้ก่อนเลย กฎหมายมันมีโอกาสให้เอาคืนไหม สู้กันไว้ฎีกาหรือยัง อายุความเป็นไง ลูกชายบรรลุนิติ  แม่เค้ายอมขึ้นศาลด้วยหรือเปล่า
สมมุติ ว่ามีช่องทำได้ กลับมาดู วันนี้ คุณและลูกชาย และแม่เค้าเป็นไง ดีกันคุยกันไหม ลูกอยากอยู่ในสิทธิ์คุณไหม ต้องคิดให้ดี เพราะถ้าพลาดแล้วคุณอาจเสียลูกไปตลอดชีวิตไม่เหมือนเสียสิทธิ์ในวันนี้แต่ยังพบหน้าพึ่งพากันอยู่
สมมุติว่ายอมเอาเรื่องขึ้นศาลได้ สาเหตุที่คุณแพ้ตอนนั้นเพราะกินเหล้าและพาล คุณแน่ใจ หรือว่าสาเหตุที่แพ้นั้นมันเปลี่ยนไปแล้ว จนจะทำให้ศาลเปลี่ยนความคิดได้  ส่วนที่ว่าคุณแต่งงานใหม่แล้วหรือยัง ทนายบอกใช้ไปอ้างในศาลไม่เป็นผล เพราะ ตกลงกันไว้แล้วว่า โจทย์และจำเลยเอามาอ้างกันไม่ได้
    ผมก็ได้แต่แนะนำให้คุณไม่ควรฟ้องเอาสิทธ์กลับคืน เพราะฟ้องไปมีแต่แพ้ สู้เก็บเอาสิ่งที่ดีที่เหลือระหว่างคุณและลูกชาย เอาไว้ดีกว่า
บันทึกการเข้า
ScaRECroW
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,000


สุสูสัง ลภเต ปัญญัง - ผู้ฟังดี ย่อมเกิดปัญญา


เว็บไซต์
« ตอบ #43 เมื่อ: 23-06-2008, 14:02 »

“ม.ล.วัลย์วิภา” นักวิชาการไทยคดี มธ.จี้รัฐบาลไทย-รัฐบาลกัมพูชา แสดงความโปร่งใสในการยื่นจดทะเบียนประสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เชื่อเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นสื่อบังหน้าความต้องการเปลี่ยนเส้นเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเลของไทย เพื่อหวังผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มการเมือง ชี้แผนที่กัมพูชาขีดเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลกินเกาะกรูด และพื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติ สอดคล้องข้อมูล “สนธิ” ที่ส่งให้ ผบ.ทบ.เมื่อปี 49 เร่งนักวิชาการร่วมกันเขียนข้อเสนอยูเนสโกชะลอขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหาร

 
 
ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัย 9 สถาบันไทยคดีศึกษา มธ.
 
 
              วันนี้ (18 มิ.ย.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่ชั้น 9 ตึกอเนกประสงค์ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แถลงข่าวเรื่อง “ข้อเท็จจริงจากพื้นที่กรณีขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของมนุษย์” โดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัย 9 สถาบันไทยคดีศึกษา นายประกาสิทธิ์ แก้วมงคล ผู้ช่วยนักวิจัย และทีมงาน
       โดย ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวว่า การศึกษาของทีมงานครั้งนี้ไม่ใช่งานวิจัย แต่เป็นการลงไปเก็บข้อมูลในพื้นที่โดยเป็นการชี้เบาะแสเชิงวิชาการ และมีการศึกษาอย่างเป็นระบบ หลังจากที่ได้ฟัง นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการขอขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหาร ว่า เป็นเพียงการบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อน และเป็นเรื่อง win-win เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา จึงเกิดความรู้สึกว่า ปัญหาเรื่องประสาทเขาพระวิหารเป็นเรื่องอึมครึม และน่าอึดอัดในความรู้สึกของคนไทย แต่เหตุใดรัฐบาลไทยจึงไม่พูดเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจน จึงได้ลงพื้นที่ไปศึกษาเรื่องดังกล่าว
       
       ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวต่อไปว่า ปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา นั้น ทางฝ่ายกัมพูชาพยายามรักษาอธิปไตยของตนเอง โดยมีการสร้างชุมชน ตลาด และวัด เข้ามาในดินแดนฝั่งไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาไม่ได้ยึดถือหลักเขตแดนของไทยตามมติ ครม.เมื่อปี 2505 ของไทย โดยที่รัฐบาลของไทยไม่ได้มีความพยายามดำเนินการใดๆ และเมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่กัมพูชากับไทยได้เจรจาร่วมกันมา ทางกัมพูชาได้ยื่นข้อเสนอขอเปิดจุดผ่านแดนช่องตาเฒ่า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทางกัมพูชาเตรียมไว้สำหรับเปิดศูนย์การค้า แหล่งบันเทิง และ กาสิโน และเมื่อตนย้อนกลับไปดูการจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ทางทะเลที่ลากจากหลักกิโลเมตรที่ 73 จ.ตราด ได้พบแผนที่ของกัมพูชา ที่มีการเขียนหลักเขตแดนทางทะเลผ่านเกาะกรูด ของไทย และกินพื้นที่พัฒนาร่วม หรือ JDA ซึ่งเป็นจุดที่มีทรัพยากรธรรมชาติขนาดใหญ่ และเป็นเส้นเขตแดนทางทะเลที่แตกต่างจากเส้นเขตแดนของไทย โดยกินพื้นที่ของไทยเข้ามาด้วย ทั้งนี้ แผนที่ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด เรื่อง เรียกร้องขอให้ทหารหาญของชาติแสดงจุดยืนปกป้องผลประโยชน์ชาติ กรณีเร่งรัดแบ่งเขตแดนทางทะเลไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2549
       
       “เส้นเขตแดนทางทะเลมีเส้นเขตแดนเดิมตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ที่เกาะกรูด จะต้องเป็นของไทย และในปี 2544 รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้บรรลุข้อตกลงกับทางกัมพูชา ด้วยการทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งน่าสงสัยว่า ทำไมการปักปันเขตแดนซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นอธิปไตยของชาติ เหตุใดจึงไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในวงกว้าง หรือผ่านกระบวนการรับรองการเปลี่ยนเส้นเขตแดนที่ไม่ใช่ฝ่ายบริหารรับรู้แต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น จึงเชื่อว่า เขาพระวิหารเกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตแดน และเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพื้นที่ JDA ด้วย”
       
       ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวอีกว่า ในนามของคณะวิจัย สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอแถลงการณ์ว่า 1.ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ที่แท้จริงมิใช่ราชอาณาจักรไทยหรือราชอาณาจักรกัมพูชา แต่เป็นรัฐบาลไทยกับประชาชนไทย ดังนั้น ข้าราชการประจำทั้งทหารและพลเรือน ทุกคนจะต้องตัดสินใจแล้วว่า ตนกำลังปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือไม่ หรือของใคร 2.สิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้ คือ รัฐบาลไปยอมให้ราชอาณาจักรกัมพูชาขึ้นทะเบียนแต่ฝ่ายเดียว และยอมรับแผนที่ของกัมพูชาที่ไม่ยอมรับอธิปไตยตามมติคณะรัฐมนตรี 2505 และยังยอมไปทำแถลงการณ์ร่วมในการพัฒนาพื้นที่ร่วมกันโดยยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องเขตแดนแม้แต่น้อย ผลเสียตามกฎหมายปิดปากก็จะเกิดขึ้น
       
       “เมื่อรัฐบาลไทยไม่ยับยั้งหรือคัดค้าน ประชาชนคนไทยควรร่วมกันยับยั้ง หรือคัดค้านโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิชุมชน และส่งเรื่องไปตามขั้นตอนและเวลาอย่างเร่งด่วนผ่านองค์การยูเนสโกในประเทศไทย ไปยังคณะกรรมการมรดกโลก จึงขอความร่วมมือของนักวิชาการ ข้าราชการประจำองค์กรภาคประชาชน สื่อและประชาชนทุกคนมาร่วมกัน ศึกษาพิจารณาดูข้ออ้างที่จะมาใช้ เพื่อให้มีการเลื่อนการพิจารณาประสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่สำคัญ คณะวิจัยมองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องความต้องการเปลี่ยนเส้นเขตแดน ทั้งทางบกและทางทะเลของไทย เพื่อหวังผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มการเมือง โดยมีเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นสื่อบังหน้า”
       
       ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวเพิ่มเติมว่า หากไม่ยืนยันเขตอธิปไตยหรือเส้นเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2505 ไทยจะเสียดินแดนให้กัมพูชา ซึ่งแผนที่ใหม่ของกัมพูชามีนัยเป็นการยืนยันท่าทีของกัมพูชาที่ไม่ยึดถือเขตอธิปไตย หรือเส้นเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2505 เมื่อไม่มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้ชัดเจนเสียก่อน แต่เลือกแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ร่วมและออกแถลงการณ์ร่วม ไทยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเสียดินแดนให้กัมพูชาในที่สุด
       
       “รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาไม่มีความไม่โปร่งใสในเรื่องดังกล่าว ซึ่งการขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหาร เป็นมรดกของโลกเป็นเรื่องดี ดังนั้น รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศควรจะทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส ไม่ควรทำเพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง หรือเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สำหรับนักวิชาการที่ต้องการร่วมกันระดมความเห็นเพื่อยื่นข้อเสนอส่งให้ยูเนสโกชะลอการประกาศเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกให้ทันวันที่ 2 กรกฎาคม ที่จะถึง ซึ่งจะมีการประชุมเรื่องดังกล่าว สามารถติดต่อได้ทาง walwipha2000@yahoo.com และขอให้นักวิชาการออกมาช่วยกัน เพราะขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว และการที่ดิฉันไม่ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย เพราะรัฐบาลไทยเพิกเฉย จึงจำเป็นต้องยื่นข้อเสนอไปถึงยูเนสโกแทน” ม.ล.วัลย์วิภา กล่าว


ผมสนับสนุนท่าทีนี้ครับ
บันทึกการเข้า

Politic is nothing but the continuation of [the sin of] 7 by other means.

ท่านคิดว่า นรม. ควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ากฏหมายบางฉบับมีช่องโหว่?
ก.ใช้อำนาจ นรม.ที่ได้รับมาจากประชาชนแก้กฏหมายเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ของแผ่นดิน
ข.ฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่เหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและคนรอบข้าง แล้วก็อ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน
pigaboo
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 35


« ตอบ #44 เมื่อ: 23-06-2008, 14:18 »

งง ครับ แต่เอาซะหน่อย
โดนตัดสิทธิ์เพราะว่าทำผิดเอง (คุณยกตัวอย่างมาเอง )  วันนึงอยากกลับมามีสิทธิ์ ต้องดูเรื่องนี้ก่อนเลย กฎหมายมันมีโอกาสให้เอาคืนไหม สู้กันไว้ฎีกาหรือยัง อายุความเป็นไง ลูกชายบรรลุนิติ  แม่เค้ายอมขึ้นศาลด้วยหรือเปล่า
สมมุติ ว่ามีช่องทำได้ กลับมาดู วันนี้ คุณและลูกชาย และแม่เค้าเป็นไง ดีกันคุยกันไหม ลูกอยากอยู่ในสิทธิ์คุณไหม ต้องคิดให้ดี เพราะถ้าพลาดแล้วคุณอาจเสียลูกไปตลอดชีวิตไม่เหมือนเสียสิทธิ์ในวันนี้แต่ยังพบหน้าพึ่งพากันอยู่
สมมุติว่ายอมเอาเรื่องขึ้นศาลได้ สาเหตุที่คุณแพ้ตอนนั้นเพราะกินเหล้าและพาล คุณแน่ใจ หรือว่าสาเหตุที่แพ้นั้นมันเปลี่ยนไปแล้ว จนจะทำให้ศาลเปลี่ยนความคิดได้  ส่วนที่ว่าคุณแต่งงานใหม่แล้วหรือยัง ทนายบอกใช้ไปอ้างในศาลไม่เป็นผล เพราะ ตกลงกันไว้แล้วว่า โจทย์และจำเลยเอามาอ้างกันไม่ได้
    ผมก็ได้แต่แนะนำให้คุณไม่ควรฟ้องเอาสิทธ์กลับคืน เพราะฟ้องไปมีแต่แพ้ สู้เก็บเอาสิ่งที่ดีที่เหลือระหว่างคุณและลูกชาย เอาไว้ดีกว่า

กฎหมายให้โอกาสเสมอครับ เมื่อมีข้อมูลใหม่ หรือคุณกลับตัวเป็นคนใหม่ ส่วนสิทธิในตัวบุตรนั้น ตามหลักแล้วศาลจะไม่ให้พ่อพบลูกก็ต่อเมื่อพ่อมันเลวจริงๆ ส่วนคำตัดสินมิอาจลบล้างได้แต่สามารถขอลดโทษได้เสมอ ความสัมพันธ์สำหรับพ่อกับลุกนั้น โอกาสแพ้มีน้อยครับ และถ้าคุณจะไปขอมีสิทธฺในตัวลูก มันจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับคุณ ไม่เหลือยังไง เพราะเมื่อศาลไม่ให้สิทธิ์คุณก็จะไปคุยสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ แม่เขาเอาไปฟ้องว่าข่มขู่ แล้วคุณจะมีสิ่งที่ดีเหลือได้ยังไง

ตกลงกันตอนไหนครับว่าจะเอามาอ้างไม่ได้ ศาลแค่สั่งให้ไม่เข้าไปยุ่งหรือหมดสิทธิ์ในตัวลูก อย่างที่บอกว่าเมื่อหลักฐานเปลี่ยน คนเปลี่ยนจนเป็นที่น่าเชื่อถือได้ คำตัดสินย่อมมีการนำมาพิจารณาใหม่ หรือขอลดโทษได้เสมอ และการพิจาณาก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของจำเลยด้วย ไม่อย่างนั้นแพะก็เป็นแพะไปจนตายใช่ไหมครับ หรือคนที่กลับตัวเป็นคนดีคงไม่มีการลดโทษ ถ้าคุณไม่มีอคติ หรือเคยโดนเอาเปรียบจะเข้าใจเองครับ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเอาเปรียบคนอื่น ชาติหน้าก็คงยังไม่เข้าใจครับ

เป็นผมยังไงผมก็ต้องเรียกร้องสิทธินี้ แพ้เพราะเรียกร้อง มันก็เท่ากับว่าเราทำดัที่สุดแล้ว แต่แพ้เพราะไม่ทำอะไรเลย มันก็แพ้วันยังค่ำ เหมือน ปชป ไง แต่ถ้าวันนึงเรื่องแบบยี้เกิดกับคุณ ถ้าคุณไม่ขายลูก หรือบวชเป็นพระ ยังไงคุณก็ต้องทำครับ ของแบบนี้ไม่เกิดกับตัว หรือมีผลประโยชน์บังตา มันก็พูดได้เสมอครับ
บันทึกการเข้า
Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #45 เมื่อ: 23-06-2008, 17:08 »

ผมเป็นคนที่มักจะให้ความสนใจกับ ข้อติติง "ที่ไม่น่าฟัง" ทั้งจากฝั่งเดียวกันและฝั่งตรงข้าม ผมจะไม่ค่อยเหมารวมว่าใครที่ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับเราต้องเป็นคนละพวกกับเรา แล้วผมก็ยังเชื่อว่าถึงเขาจะอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาก็อาจจะคิดว่าเขารักชาติเท่า ๆ กับเราก็ได้ เวลามีประเด็นอะไร ผมก็จะพยายามข่มอคติข่มทัศนคติตัวเอง  แล้วลองหาคำตอบโดยพยายามคิดแบบที่ฝั่งตรงข้ามคิด ทำแบบนี้มันยากเหมือนกันครับ เพราะผมเองก็มีอคติกับทุกเรื่องเท่า ๆ กับที่คนอื่น ๆ มี พอดีคิดไม่ค่อยเก่ง ก็เลยยากกว่าคนอื่น ๆ เขาน่ะครับ

เรื่องบางเรื่องที่ดูแล้วสลับซับซ้อน มากเล่ห์ หลากหลายชั้นเชิง โดยที่แต่ละฝ่าย พูดหรือแสดงข้อเท็จจริงออกมาให้เห็นไม่มาก ผมจะระวังครับ

  ด่าได้ดีค่ะ

แล้วพวกหลายๆคนในบอร์ดนี้  ที่พยายามสร้างความชอบธรรมให้ผลประโยชน์ของเขมร  ปกป้องว่านพดลทำถูกอยู่ร่ำไป
แบบนี้  เราจะเรียกว่าอะไรดีคะ  รักชาติดีมั้ย 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008, 17:10 โดย YoYo » บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
fcaon
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 71



« ตอบ #46 เมื่อ: 23-06-2008, 17:55 »

ดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ทั้งในประเทศลาว และในประเทศกัมพูชา  ไทยเราถูกฝรั่งเศสปล้นไป ในยุคอาณานิคม

ปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งอนู่ในดินแดนของไทย หลังจากถูกปล้นฝั่งซ้ายไปแล้ว แต่เขมรฟ้องศาลโลก โดยใช้หลักฐานการยึดครอง และอ้างว่าไทยยอมรับไม่โต้แย้ง เราแพ้คดีในศาลด้วยเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ ด้วยภาวะทางการเมืองระหว่างประเทศ

นั่นเป็นข้อเท็จจริง

ปัญหาอยู่ที่ว่า ไทยเราสงวนสิทธิ์ไม่ยอมรับคำตัดสิน จะสงวนไปนานเท่าไหร่ ไม่ใช่ปัญหา จะอุธรณ์ได้หรือไม่ ระยะเวลาตามกฎหมายหมดไปหรือยัง ไม่ใช่ประเด็น

ดูตัวอย่างคดีโกงชาติของทักษิณ หากแก้รัฐธรรมนูญได้ก็ไม่ผิด  แต่ถ้าติดคุกไปแล้ว ไปแก้รัฐธรรมนูญทีหลัง ก็ติดคุกไป ลบล้างกันไม่ได้

ตราบใดที่เรายังประท้วงกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ยอมรับการยึดครองของเขมร เมื่อมีการแก้กฎหมายระหว่างประเทศ แล้วมีช่องทางให้เราสู้คดีใหม่ เราก็ได้สู้ แต่หากเขมรยึดครองไปแล้ว ถึงมีการแก้กฎหมายระหว่างประเทศ เราก็สูไม่ได้แล้ว

กฎหมายรัฐธรรมนูญ ยังแก้ได้  กฎหมายระหว่างประเทศและศาลโลก ตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ตั้งได้ล้มได้แก้ได้

นั่นเอง บรรพบุรุษของเราจึงสงวนท่าทีเรื่องเขาพระวิหารเอาไว้ สายตาของท่านยาวไกล

ไม่โง่และขายชาติเหมือนนักการเมืองและนักวิชาการบางคนในสมัยนี้

สันนิบาติชาติ ตั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และเลิกล้มไปเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เปลี่ยนไปตั้งสหประชาชาติแทน เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หลังสงครามก็จะมีการตั้งองค์กรระหว่างประเทศใหม่ ในวันนั้น กติกาของโลกจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครทราบ

แต่เท่าที่ทราบ เวลาสู้ยังไม่หมด คนที่ถอดใจหรือทรยศชาติ ยกปราสาทเขาพระวิหารให้เขมรโดยไม่สงวนท่าทีการต่อสู้

หน้าตัวเมีย ขายชาติ

 
บันทึกการเข้า

หากคุณยังติดตามข่าวสารเชิงรับอยู่ นั่นหมายถึงคุณไม่ได้ติดตามข่าวสารใดๆเลย

เพียงแค่วินาทีเดียว ก็ไม่ควรให้คนเลวเข้ามามีอำนาจ

รณรงค์ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และใช้ภาษาที่สุภาพครับ
ฟ้าเข้ม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 462


« ตอบ #47 เมื่อ: 23-06-2008, 18:38 »

ไม่เข้าใจ คุณนพดลเป็นคนสองสัญชาติหรือไร ถึงได้ทำเพื่อเขมรขนาดนั้น (ชาติเขมรกะชาติหมา)

ถ้ามีการต่อรองทางการฑูต เพื่อรักษาสิทธิ์ของไทย เพื่อให้"ประเทศไทย" ได้ผลประโยชน์ นั่นคือหน้าที่ของคุณนพดล

แต่การต่อรองเพื่อให้ชาติเสียประโยชน์หรือเท่าทุนนี่ ไม่ทราบทำไปเพื่ออะไร

ถึงแม้ตอนนี้จะมาบอกว่าเราไม่เสียดินแดนไปแม้แต่นิ้วเดียวก็ตาม

แต่สิ่งที่ผมสูญเสียไปคือความรู้สึกที่ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของไทย

และจะต้องเสียไปโดยการยอมรับเป็นลายลักษณ์อักษรจากคนไทยด้วยกัน





ในอดีตเราต้องเสียดินแดน เราต่อรองทางการฑูต เพื่อให้อธิปไตยเราคงอยู่ได้ 


แล้วรัฐบาลชุดนี้ คุณนพดล ให้เหตุผลกับการทำแบบนี้ได้หรือไม่



บันทึกการเข้า
oho
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 712


« ตอบ #48 เมื่อ: 23-06-2008, 19:03 »

อ้างถึง
"ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" เขียนจดหมายถึงนักศึกษาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกัลยาณมิตร เล่าประวัติศาสตร์ปราสาทเขาพระวิหาร ฟันธง “เป็นของกัมพูชาทั้งจากด้านประวัติศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์” และวิเคราะห์ถึงรากปัญหาที่สังคมไทยอารมณ์ค้าง ทำให้เรื่องนี้จุดปุ๊บติดปั๊บ พร้อมตั้งคำถามให้ "พันธมิตรฯ" ผู้จุดกระแสเพื่อล้มรัฐบาลตอบ ทั้งในแง่การเมืองในประเทศ และมิติระหว่างประเทศ


แล้วระหว่าง อั้ยชาญวิทย์ เกษตรศิริ  ที่บอกว่า "ปราสาทพระวิหารเป็นของเขมร"

กับ

ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ประธานคณะกรรมการมรดกโลก  ระบุว่า "ประชาชนต้องผนึกกำลังปกป้องสมบัติชาติเอาไว้ ซึ่งทางเดียวที่ทำได้ก็คือ ต้องให้รัฐบาลแถลงระงับการลงนามสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา  แต่เชื่อว่ารัฐบาลนี้คงไม่ทำ ดังนั้นที่จะทำได้ก็คือ เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่วาระเขาพระวิหารจะเข้าที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก"

ใครมี Credit มากกว่ากัน....

แก๊งอั้ยเหลี่ยมมันต้องบอกว่า..มันไม่เชื่อ ประธานคณะกรรมการมรดกโลก หว่ะ

อั้ยเหลี่ยมเอ๊ย ..เหลี่ยมเอ๊ยเหลี่ยม

 
บันทึกการเข้า
mebeam
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 634


Fear can hold you prisoner. Hope can set you Free.


« ตอบ #49 เมื่อ: 23-06-2008, 19:21 »

ประเด็น ประเด็นเขาพระวิหาร จุดติดแล้ว


ในเขมรนะ


เตรียมอพยพคนไทยกลับประเทศได้

 

บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
    กระโดดไป: