ผู้ ญ ธรรมดา ที่นางฟ้าอยากเป็น
|
|
« เมื่อ: 22-06-2008, 19:04 » |
|
ใจ อึ๊งภากรณ์ เสนอบทความ: เขาพระวิหารเป็นของเขมร
การยกเรื่องเขาพระวิหารมาเป็นประเด็นเพื่อพยายามปลุกระดมคนให้สนับสนุนพันธมิตรฯ เป็นการกระทำที่น่าสมเพชอันหนึ่งของ พันธมิตรประชาชนเพื่อรัฐประหาร ชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์
เมื่อผมอยู่ ป.4 ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ในสมัยรัฐบาลเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ์ ก็มีการปลุกระดมเรื่องเขาพระวิหารแบบนี้โดยฝ่ายขวาตกขอบเช่นกัน ในครั้งนั้นศาลโลกตัดสินอย่างถูกต้องและมีเหตุผลว่า เขาพระวิหารเป็นของเขมร ดูเหมือนว่าห้าสิบปีผ่านไป พวกฝ่ายขวาตกขอบในพันธมิตรฯ ยังไม่รู้จักโต ยังไม่รู้จักพัฒนาสักที
เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะบนยอดเขานั้นมีปราสาทหินจากยุคอาณาจักรเขมร สมัยอาณาจักรเขมร ชนเผ่าไท ยังด้อยพัฒนาอยู่มาก เป็นคนป่า ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรไม่ดีหรอก แต่ต้องยอมรับความจริง เขมรเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดที่มีในไทยภายหลัง แถมนักประวัติศาสตร์ยังมองว่ากษัตริย์สุโขทัยเป็นคนเขมรอีกด้วย วัฒนธรรมและศีลปะจำนวนมากที่อ้างกันว่าเป็นแบบ ไทยๆ ก็ลอกมาจากเขมรทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อเราไปดูนครวัด
ถ้าเขาพระวิหารเป็นของเขมร พิมาย ควรเป็นของเขมรหรือไม่? ในแง่หนึ่งมันเป็นของเขมรอยู่แล้ว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมรในอดีต แต่ตอนนี้มันอยู่ใจกลางผืนแผ่นดินที่กษัตริย์กรุงเทพฯก่อตั้งขึ้นมาเป็นรัฐชาติไทยไปแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้นการที่จะไปยกให้เขมรก็คงไม่สมควร และรัฐบาลเขมรก็ไม่ได้เรียกร้องด้วย แต่ในกรณีเขาพระวิหาร มันอยู่บนยอดเขาตรงเส้นพรมแดน ที่กรุงเทพฯ กับปารีส เคยขีดเอาไว้ ไม่มีหมู่บ้านประชาชนอยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเถียงอะไรบ้าๆ บอๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
แล้วพวกปัญญาอ่อนที่ทำเป็นโกรธเคืองเรื่องเขาพระวิหาร เขาทำไปเพื่ออะไร? ก็เพื่อปั้นน้ำเป็นตัวปลุกกระแสชาตินิยมไร้เหตุผล เพื่อมาเป็นเครื่องมือของเขา ส่งผลต่อไปให้คนที่เป็นลูกน้องทางความคิดของพวกนี้ เกลียดชังคนพม่า คนมาเลย์มุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ และในอนาคตอาจทำให้เกลียดคนเชื้อสายจีนอีกด้วย นี่คือการเมืองของชนชั้นปกครองซีกขวา ที่เราเคยเห็นสมัยรัชกาลที่ 6, จอมพล ป. และ 6 ตุลา ไม่มีประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยเลยแม้แต่นิดเดียว ถามว่าการที่เขาพระวิหารจะเป็น ของ ใครนั้น ช่วยแก้ปัญหาอาหารน้ำมันแพงหรือไม่? ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยหรือไม่? ช่วยสร้างรัฐสวัสดิการหรือไม่? ช่วยขยายสิทธิเสรีภาพของสตรี หรือคนรักเพศเดียวกัน หรือกลุ่มชาติพันธ์หรือไม่? แก้ปัญหาโลกร้อนหรือไม่? ทำให้รายได้ลูกจ้างลดลงหรือไม่? ทำให้ชาวนารายย่อยล้มละลายมากขึ้นหรือไม่? ไม่เลย ไม่เกี่ยวอะไรกับปัญหาปากท้อง และปัญหาการขยายสิทธิเสรีภาพของประชาชนแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องไร้สาระ ท่าทีที่ดีที่สุดของภาคประชาชนต่อเรื่องนี้คือ พูดออกมาเลย ฟันธงเลย เขาพระวิหารเป็นของเขมร
ใจ อึ๊งภากรณ์ (ผมไม่ใช่ คนไทย ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ)http://www.prachatai.com/05web/th/home/12608
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าเหล่าเทพเจ้าอยู่รวมกันเป็นเมือง พลเมืองเทพเทวดาเหล่านั้นจะมีการปกครองหรือไม่? คำตอบคือ มี
และถ้าจะถามว่าระบอบอะไร? คำตอบก็คือ
"ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบที่ดีเยี่ยมสำหรับเทพเจ้า แต่ไม่เหมาะสมเลยกับมวลมนุษย์!" (Jean Jacques Rousseau)
|
|
|
พรรณชมพู
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 22-06-2008, 19:13 » |
|
ใจ อึ๊งภากรณ์ (ผมไม่ใช่ คนไทย ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ)เออ มรึงคนละชาติกับกรู ไปอยู่เมืองจีน ไม่ก็เมืองอังกฤษ ที่ไอ้แม้วพ่อมรึงบินไปบินมา หรือจะไปอยู่ประเทศที่พ่อมรึงซมซานไปตายก็ได้ อย่ามาเสือกเรื่องของประเทศกรู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชัย คุรุ เทวา โอม
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 22-06-2008, 19:13 » |
|
ตอนนี้ท่านหัวหน้าพรรค นายใจ กำลังอ่วมอรทัยกับการที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมของพันธมิตร
มากกว่าที่เขาจะมาเหลียวแล พรรคที่ไม่มีทางเป็นไปได้ของตัวเอง
ใจครับ ผมขอเตือนให้ไปดูแลกิ๊กให้ดีก่อน ว่างๆพาเขาไปดูหนังบ้าง ทางที่ดีอย่าให้เมียจับได้นะครับ อิอิ
ปล.ใจก็จีน ผมก็จีน แต่ผมเกิดเมืองไทย ผมไม่ได้มีเชื้อฝรั่งจอมล่าอาณานิคม และที่สำคัญผมภูมิใจในความเป็นไทยครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 19:17 โดย Post-modern ++++ »
|
บันทึกการเข้า
|
"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..." คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน (How the Steel Was Tempered) นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933 ******************************* เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ http://www.oknation.net/blog/amalit1990
|
|
|
ผู้ ญ ธรรมดา ที่นางฟ้าอยากเป็น
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 22-06-2008, 19:16 » |
|
ใจ อึ๊งภากรณ์ (ผมไม่ใช่ คนไทย ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ) จากตรงนี้ พอจะอนุมานได้ว่า
วิถีชีวิตตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาของ "ใจ" (ขออนุญาตไม่เรียกอาจารย์) ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นคนไทยเลยไช่หรือไม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าเหล่าเทพเจ้าอยู่รวมกันเป็นเมือง พลเมืองเทพเทวดาเหล่านั้นจะมีการปกครองหรือไม่? คำตอบคือ มี
และถ้าจะถามว่าระบอบอะไร? คำตอบก็คือ
"ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบที่ดีเยี่ยมสำหรับเทพเจ้า แต่ไม่เหมาะสมเลยกับมวลมนุษย์!" (Jean Jacques Rousseau)
|
|
|
login not found
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 22-06-2008, 19:19 » |
|
โอ๊ยยย พูดอย่างนี้เสียหมาไปทั้งคอก
ขอม มันเป็นเขมรที่ไหน คนละเผ่าพันธุ์เลย
และตอนนี้มันเอาดินแดนล้ำเข้ามาอีกหลายสิบเมตร ทางทะเลอีกเป็นกิโล
นั่น ที่ทางหากินจนถึงชั่วลูกชั่วหลานเลยนะ
ไม่ใช่แค่เรื่องดินแดนกระจอกๆของแผ่นดินห่วยๆ ที่คนเขียนบทความไม่สำนึกในการเป็นเจ้าของ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กระดานดำออนไลน์
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 22-06-2008, 19:23 » |
|
ตามประวัติศาสตร์และคำบอกเล่า บรรพบุรุษผมอพยพมาจากดินแดนในประเทศลาวปัจจุบัน คนสุรินทร์กว่าครึ่งจังหวัดพูดภาษาเขมร ผมพูดภาษากูย (ส่วย) ผมเกิดห่างจากปราสาทศีขรภูมิที่ชาวขอมโบราณมาสร้างไว้ก่อนมีกรุงสุโขทัยไม่ถึง ๑ กม. และเติบโตท่ามกลางวัฒนธรรมเขมร, ลาว, กูย ในจังหวัดสุรินทร์ แต่ผมภูมิใจที่ได้เกิดใต้พระบรมโพธิสมภาร ภูมิใจในความเป็น "คนไทย"และไม่อกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 19:33 โดย กระดานดำออนไลน์ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 22-06-2008, 19:24 » |
|
เลวมากจริงๆ เพียงเพราะความบ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เลยไปเชียร์เขมร โดยไม่สนว่าประเทศจะเสียดินแดนไปหรือเปล่า
แล้ว "ใจ อึ้ง" ก็ไม่ควรมาอ้างว่า มีเชื้อจีน เพราะว่าจีนแผ่นดินใหญ่มันไม่ได้โง่ปล่อยไต้หวันเข้า WHO หรือผู้นำโผล่หน้าไปเจรจาดาไลลามะ เพื่อเปิดทางให้มันแยกเอกราช
"ใครจะเป็นจะตายช่างมัน ประเทศจะเสียดินแดนช่างมัน กูจะเลือกตั้ง"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 22-06-2008, 19:24 » |
|
แล้วเขมรสามารถยก หรือถอดประสาทพระวิหารกลับไปตั้งในเขตแดนของตนเองได้หรือป่าวล่ะคะ อาจารย์ ตรงนั้น มีที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ของไทยตั้งเด่นเป็นสง่าเชียวค่ะท่าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปรมาจารย์เจได
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 22-06-2008, 19:33 » |
|
กล้าพูดขนาดนี้ แล้วยังเสือกบอกอีกว่าในอนาคต คนจะเกลียดคนจีน
เขียนออกมาแบบนี้แหละดีละ ชาวบ้านเขาจะเลือกตัดสินใจเองหรอก
ผมอยากให้ทางด่วนผ่านบ้านมันจัง เวนคืนที่มันแล้วจ่ายถูกๆ
เมื่อยามที่รัฐบาลไทยต้องการที่ดินบ้านมัน มันจะดิ้นพล่านมะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ตี๋ สักมังกือ
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 22-06-2008, 19:41 » |
|
โชคดีของประเทศไทย ที่
ไม่มีคนอย่างไอ้ใจ เป็นคนไทย
ส่วนคดีที่มันพาคนบุกรัฐสภาไทย ปิด บังคับ ขู่เข็ญ มิให้สมาชิก ทำหน้าที่
ขอให้ศาลไทย พิจารณาลงโทษสูงสุดตามอัตรากฎหมายไทย
ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
meriwa
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 22-06-2008, 19:44 » |
|
ความคิดช่างตื้นเขินเสียจริงๆ
พูดมาได้ไงว่าไม่เกี่ยวกับปัญหาปากท้อง
หรือบ้านจานแกไม่ได้อยู่แถวนั้น ก็เลยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนอะไรกันหรือเปล่า
ทำเป็นพวกคนลืมตัว วัวลืมตีน คิดว่าไปร่ำเรียนเมืองนอกเมืองนาเชื่อฝรั่งมังค่า แล้วจะทำให้ตัวเองดูดี
นี่ถ้ามันบอกว่าถ้ายกประเทศไทยให้พวกมันแล้วปัญหาปากท้องจะหมดไป มันก็คงยอมกันละ
พวกสิ้นคิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตน อย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่น อย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่น อย่างเต็มที่
...คำคมขงเบ้ง
|
|
|
ชัย คุรุ เทวา โอม
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 22-06-2008, 19:46 » |
|
โชคดีของประเทศไทย ที่
ไม่มีคนอย่างไอ้ใจ เป็นคนไทย
ส่วนคดีที่มันพาคนบุกรัฐสภาไทย ปิด บังคับ ขู่เข็ญ มิให้สมาชิก ทำหน้าที่
ขอให้ศาลไทย พิจารณาลงโทษสูงสุดตามอัตรากฎหมายไทย
ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช
คนละคน นั่นพี่เขา จอน คนนี่ใจ หัวหน้าพรรค
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..." คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน (How the Steel Was Tempered) นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933 ******************************* เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ http://www.oknation.net/blog/amalit1990
|
|
|
ปรมาจารย์เจได
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 22-06-2008, 20:08 » |
|
พอดีกลับบ้านนอก เลยแวะพื้นที่ศรีสะเกษ
ชาวบ้านฉลาดกว่าที่คิดครับ เขาสาปแช่งไอ้ตาเขกระหึ่ม เขารู้กันหมด ว่าไอ้เหล่มันเซ็นยินยอมมอบเขาพระวิหารไปแล้ว
หากยกให้เขมรไปแล้ว เราจะเสียบันไดทางขึ้นตั้งแต่ขั้นที่ 1 ไปถึงขั้นที่ 160 กว่า และกินบริเวณขอบสองข้างไปอีก 4 เมตร
ชาวศรีสะเกษฐานเสียงไทยรักไทยไม่มีใครรับได้กับการขายชาติในครั้งนี้
ไม่มีอะไรทำลายพวกมันได้เท่าพวกมันทำลายกันเอง
ส่วนศาลปกครองที่สมัครบอกว่าเขาคงไม่โง่ตามพันธมิตร เรื่องนี้ไม่มีใครโง่หรือไม่โง่ หากตอบตรงนี้ก็สามารถตอบได้ทันทีครับว่าคำสั่งไอ้เหล่ โดนศาลปกครองสังหารแน่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 22-06-2008, 20:17 » |
|
โบราณบอกไว้ว่า ในทุกท้องของคนเป็นแม่ที่มีลูกมากกว่า 1 จะต้องติดลูก "ล้างตระกูล" หรืออย่างแย่น้อยที่สุด ก็คือ "ทำตัวแปลกแยก" มาด้วย 1 คนเสมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
西施无情
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 22-06-2008, 20:21 » |
|
ไม่ใ่ช่คนไทย ก็ดีแล้วค่ะ แล้วเมื่อไหร่ คุณใจ อึ้งภากรณ์จะกลับประเทศของตัวเองซะทีคะ อยู่ประเทศคนอื่นนานๆ ไม่รู้สึกถึงข้าวแดงแกงร้อนบ้างหรือ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Register_AC
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 22-06-2008, 20:24 » |
|
เผอิญไม่ค่อยมีความรู้ ...
แต่คนเขียนนี่เค้าเป็นใครหรอครับ มีฐานะสังคมอย่างไร อ่านแล้วเหมือนเป็นคนถ่***ๆ ใช้อารมณ์ในการเขียนหนังสือมากกว่าใช้สมองอะครับ
ไม่ทราบจริงๆ อะ ลองอ่านดูจิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชัย คุรุ เทวา โอม
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 22-06-2008, 20:36 » |
|
เผอิญไม่ค่อยมีความรู้ ...
แต่คนเขียนนี่เค้าเป็นใครหรอครับ มีฐานะสังคมอย่างไร อ่านแล้วเหมือนเป็นคนถ่***ๆ ใช้อารมณ์ในการเขียนหนังสือมากกว่าใช้สมองอะครับ
ไม่ทราบจริงๆ อะ ลองอ่านดูจิ
อาจารย์ประจำคณะ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าพรรคแนวร่วมภาคประชาชน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..." คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน (How the Steel Was Tempered) นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933 ******************************* เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ http://www.oknation.net/blog/amalit1990
|
|
|
Sweet Chin Music
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 22-06-2008, 20:44 » |
|
ไม่ใช่คนไทย แล้วมาเสือกอะไรกับประเทศตรูว่ะ
เสร่อ สราด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
morning star
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 22-06-2008, 20:48 » |
|
อ่านดูแล้วต่อไปอาจต้องเอาพระแก้วมรกตคืนลาวไปด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
|
|
|
prinz_bismarck
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 22-06-2008, 21:05 » |
|
ถ้าหากมันได้อำนาจการปกครองประเทศ มันขายชาติแน่ครับ มันก็ประกาศตัวชัดแล้วว่า มันไม่ใช่คนไทย น่าเสียดาย นายป๋วยมีลูกขายชาติแบบไอ้ใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
西施无情
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 22-06-2008, 21:06 » |
|
ไม่ใช่คนไทย แล้วมาเสือกอะไรกับประเทศตรูว่ะ
เสร่อ สราด
สะใจแบบบอกไม่ถูกแฮะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนกวาดขยะ
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 22-06-2008, 21:14 » |
|
"เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะบนยอดเขานั้นมีปราสาทหินจากยุคอาณาจักรเขมร สมัยอาณาจักรเขมร ชนเผ่าไท ยังด้อยพัฒนาอยู่มาก เป็นคนป่า ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรไม่ดีหรอก แต่ต้องยอมรับความจริง เขมรเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดที่มีในไทยภายหลัง แถมนักประวัติศาสตร์ยังมองว่ากษัตริย์สุโขทัยเป็นคนเขมรอีกด้วย วัฒนธรรมและศีลปะจำนวนมากที่อ้างกันว่าเป็นแบบ ไทยๆ ก็ลอกมาจากเขมรทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อเราไปดูนครวัด
ถ้าเขาพระวิหารเป็นของเขมร พิมาย ควรเป็นของเขมรหรือไม่? ในแง่หนึ่งมันเป็นของเขมรอยู่แล้ว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมรในอดีต แต่ตอนนี้มันอยู่ใจกลางผืนแผ่นดินที่กษัตริย์กรุงเทพฯก่อตั้งขึ้นมาเป็นรัฐชาติไทยไปแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้นการที่จะไปยกให้เขมรก็คงไม่สมควร และรัฐบาลเขมรก็ไม่ได้เรียกร้องด้วย แต่ในกรณีเขาพระวิหาร มันอยู่บนยอดเขาตรงเส้นพรมแดน ที่กรุงเทพฯ กับปารีส เคยขีดเอาไว้ ไม่มีหมู่บ้านประชาชนอยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเถียงอะไรบ้าๆ บอๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ท่าทีที่ดีที่สุดของภาคประชาชนต่อเรื่องนี้คือ พูดออกมาเลย ฟันธงเลย เขาพระวิหารเป็นของเขมร
ใจ อึ๊งภากรณ์ (ผมไม่ใช่ คนไทย ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ)
จากข้อความข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่า ไอ้ใจ ไม่มีความรุ้ความเข้าใจเรื่อง ภูมิศาสตร์และชาติพันธุ์ ในดินแดนแถบนี้เลย หรือไม่ก็ไม่สนใจที่จะรู้ แค่เพียงได้ออกมาแสดงความเห็นเพื่อต้านพันธมิตรเท่านั้น
มันบอกชัดว่ามันไม่ใช่คนไทย มันเลยไม่มีสำนักในความเป็นไทย แล้วมึงมาอยู่แผ่นดินนี้ทำไม
ผมล่ะปวดใจที่มีคนชนิดนี้ถือสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่คอยทำลายประเทศมาโดยตลอด
มันบอกว่ามันไม่ใช่คนไทย ผมขอเรียกร้องให้ช่วยกันไล่มันออกไปจากประเทศไทยครับ
คนจีน คนอินเดีย ที่มาอยุ่ในดินแดนนี้ ต่างก็รักในถิ่นที่อยุ่ ถือเป็นบ้านที่ต้องช่วยกันหวงแหน
แต่ไอ้บ้านี่ไม่เพียงไม่คิดหวง ยังคิดแต่ทำลายบ้านที่มันมาอาศัยอยู่อีกด้วย ไอ้จั*** ไร[/color]
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 21:31 โดย คนกวาดขยะ »
|
บันทึกการเข้า
|
สังคมไทยวิบัติ มาช่วยกันปฏิวัติสังคมใหม่กันเถอะ
|
|
|
An.mkII
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 22-06-2008, 21:15 » |
|
ว่ากันด้วยเหตุผลน่ะครับ... ว่าถ้าในกรณีนี้มันมีเบื้องหลังจริงๆ ที่เป็นผลประโยชน์ระหว่าง ฮุนเซนกะทักษิณ.. ในประเด็นธุรกิจการค้า.. แล้วผมก็จะถามว่าแล้ว แบบนี้มันจะเกี่ยวกะเรื่องคุณใจที่ว่าไม่เกี่ยวรึไม่ สมองแบบคุณใจจะพอคิดได้รึไม่ครับ ช่วยแก้ปัญหาอาหารน้ำมันแพงหรือไม่?
ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยหรือไม่?
ช่วยสร้างรัฐสวัสดิการหรือไม่?
ช่วยขยายสิทธิเสรีภาพของสตรี หรือคนรักเพศเดียวกัน หรือกลุ่มชาติพันธ์หรือไม่?
แก้ปัญหาโลกร้อนหรือไม่? ทำให้รายได้ลูกจ้างลดลงหรือไม่? ทำให้ชาวนารายย่อยล้มละลายมากขึ้นหรือไม่?
ปล. ผมว่าคุณใจไ่ม่ใช่คนจีน ครับ เพราะคุณจีนที่ดี เขาย่อมมีความรู้สึกสำนึกรักมีความกตัญญู ต่อที่ ที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ ซึ่งในที่นี้ก็คือเเผ่นดินไทย แต่ในเมื่อคุณใจไม่มี ผมกว่าคุณใจไม่ใช่คนจีน และคณใจทำให้คนจีนดีๆเขาต้องเเปดเปื้อนซะด้วย อ้อ..และผมก็พูดในฐานคนที่มีเชื้อสายจีนคนหนึ่ง..ครับ ที่มีความสำรึกรักบ้านเกิดเมืองนอน ตามความคิดความอ่านความรู้จักผิดชอบชั่วดีในฐานะพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า คน
เพราะถ้าใครไม่ใช่ คน ที่กตัญญู รู้บุณคุณคน รู้บุณคุณเเผ่นดินที่อยู่ มันก็เป็นได้แค่สัตว์ชั้นต่ำ ที่ยังด้อยการพัฒณาการทางด้านสมอง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 21:20 โดย An.mkII »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
morning star
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 22-06-2008, 21:38 » |
|
เค้าอาจจะคิดว่าตัวเองมีสำนึกในความเป็นมนุษย์สูง จนไม่ต้องคำนึงถึงสำนึกในความเป็นชาติ
อาจจะคิดว่าถ้าปราศจากสำนึกในความเป็นชาติ โลกจะน่าอยู่ขึ้น
แต่ผมมีคำถามว่า ถ้าปราศจากแผ่นดินและครอบครัวอันเป็นที่รัก โลกนี้จะน่าอยู่จริงหรือเปล่า?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
|
|
|
Cylonn
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 22-06-2008, 21:38 » |
|
เพิ่งกระจ่างใจวันนี้เองว่าทำไมมันออกมาเห่าเฉพาะตอน คมช.
ชัดเจนอย่างนี้จะได้เรียกไอ้ใจถนัดปากหน่อย ไม่รู้แม่งเป็นลูกภาษาอะไร จำไม่ได้ว่าไอ้พวกที่อยู่กะไอ้แม้วมันทำอะไรกับอ.ป๋วยไว้บ้าง
ถ้าเชื่ออย่างที่มึงบอก ไอ้พวกหัวแดงเลือดเดียวกะมึงต้องออกจากอเมริกา ต้องออกจากออสเตรีย และที่อื่นๆในหลายภูมิภาคของโลก
ตรรกะกระบือจริงๆ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 21:45 โดย Cylonn »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jrr.
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 22-06-2008, 21:39 » |
|
อ่านดูแล้วต่อไปอาจต้องเอาพระแก้วมรกตคืนลาวไปด้วย
...........................................................
อาจจะลามไปถึง....อเมริกา ต้องคืนดินแดนให้อินเดียนแดงไปด้วย !!!
ไอ้เวรเอ๊ย.....เอ็งไปจ้าง mega mover...ไปรื้อถอนพระวิหารไปตั้งในดินแดนเอ็งเลยดีกว่า !!!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
西施无情
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 22-06-2008, 21:42 » |
|
ใจ อึ้งภากรณ์ เป็นลูกของ ป๋วย อึ้งภากรณ์
แล้ว จอห์น อึ้งภากรณ์ ละคะ เขาเป็นอะไรกับป๋วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
GuoJia
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 22-06-2008, 21:44 » |
|
ไอ้ใจรัน!!!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
พ่อ : ในทุก ๆ การแข่งขันนี่นะ ผู้ชนะจะมีอยู่ 20% ส่วนผู้แพ้จะมีอยู่ 80% ลูกอยากจะอยู่ใน 20% หรือ อยากอยู่ใน 80% ลูก : แปดสิบ พ่อ : ทำไมล่ะลูก ลูก : ก็มันเยอะกว่า พ่อ : .........
จากหนังเรื่อง Dreamteam
|
|
|
นิรนาม
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 22-06-2008, 21:45 » |
|
ตามประวัติศาสตร์และคำบอกเล่า บรรพบุรุษผมอพยพมาจากดินแดนในประเทศลาวปัจจุบัน คนสุรินทร์กว่าครึ่งจังหวัดพูดภาษาเขมร ผมพูดภาษากูย (ส่วย) ผมเกิดห่างจากปราสาทศีขรภูมิที่ชาวขอมโบราณมาสร้างไว้ก่อนมีกรุงสุโขทัยไม่ถึง ๑ กม. และเติบโตท่ามกลางวัฒนธรรมเขมร, ลาว, กูย ในจังหวัดสุรินทร์ แต่ผมภูมิใจที่ได้เกิดใต้พระบรมโพธิสมภาร ภูมิใจในความเป็น "คนไทย"และไม่อกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด บรรพบุรุษทางพ่อผมอพยพมาจากทางตอนใต้ของประเทศลาว ส่วนบรรพบุรุษทางฝ่ายแม่มาจากทางตอนเหนือของประเทศลาว บรรพบุรุษทั้งทางฝ่ายพ่อ ฝ่ายแม่ผมพูดภาษา "ลาว" หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า "ไทยอีสาน" คุณปู่ผมเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านสระกำแพงใหญ่ บ้านอยู่ห่างจากปราสาทหินสระกำแพงไม่ถึง 200 เมตร แต่บังเอิญผมไปโตอยู่ศีขรภูมิ บ้านอยู่ข้าง ๆ สถานีรถไฟ ห่างจากปราสาทศีขรไม่ถึงกิโลเมตร เลยติดนิสัยพูด "ลาว" ไม่ได้ไปซะงั้น สมัยเรียนมัธยมปลายอยู่ ศภส.เดินผ่านปราสาทศีขรทุกวัน
แม้บรรพบุรุษฝ่ายพ่อ,ฝ่ายแม่ของผมจะมาจากประเทศลาว แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้เกิดอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งองค์บูรพมหากษัตริย์ไทยและภูมิใจในความเป็น "คนไทย"แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะขายชาติหรือยกแผ่นดินให้ต่างชาติเหมือนกับนักการเมืองเลว ๆ บางคนในยุคนี้
ขอยืนยัน....ว่าเมื่อปี 2532 ผมเป็นคณะแรก ๆ ที่ขึ้นไปสำรวจปราสาทพระวิหารร่วมกับคณะ "คุณชายจักรรส - มล.เติมแสง" เมื่อครั้งที่ยังอยู่สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ บนทางขึ้นปราสาทพระวิหารก่อนถึงลานนาคราช มีรั้วลวดหนามและประตูปิดเปิดอยู่ตรงนั้น พอขึ้นไปถึงประตูต้องตะโกนเรียกทหารเขมรที่อยู่บริเวณปราสาทหลังที่ 1 ให้มาเปิดประตูให้
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 21:54 โดย นิรนาม »
|
บันทึกการเข้า
|
"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ จันดำถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา
|
|
|
An.mkII
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 22-06-2008, 21:54 » |
|
ใจ อึ้งภากรณ์ เป็นลูกของ ป๋วย อึ้งภากรณ์
แล้ว จอห์น อึ้งภากรณ์ ละคะ เขาเป็นอะไรกับป๋วย จอห์น อึ้งภากรณ์ ปัจจุบันอายุ 60 ปี รู้จักกันดีทำงานสายเอ็นจีโอมาตลอด และถูกเลือกเป็นส.ว.กทม.ครั้งแรก เขาเป็นบุตรชายคนโต ของ"ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ " จากพี่น้อง 3 คน ที่มี อ.ใจ อึ้งภากรณ์ และ ไมตรี อึ้งภากรณ์ และล่าสุดได้รับเลือกเป็นหนึ่่งในคณะผู้บริหารทีวีไทย ทีวีสาธารณะชุดใหม่ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ชัย คุรุ เทวา โอม
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 22-06-2008, 22:08 » |
|
ผมว่าตัวจอน เป็นคนที่ใช้ได้กว่าน้องนะ
อาจจะเพราะว่าแก่กว่า และมองอะไรมุมกว้างกว่า
ดูจากข้อเขียนของเขาหลายๆครั้ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..." คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน (How the Steel Was Tempered) นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933 ******************************* เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ http://www.oknation.net/blog/amalit1990
|
|
|
นิรนาม
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 22-06-2008, 22:10 » |
|
ผมไม่รู้จะเขียนอะไร ขออนุญาตยกข้อเขียนจากบางส่วนของหนังสือ ไทยแพ้คดี เสียดินแดนให้เขมร เขียนโดย บุญร่วม เทียมจันทร์ ประภาส เฉลยมรรค และ ศรัญญา วิชชาธรรม มาให้อ่านกันเอาเองดีกว่า รัฐบาลไทยประท้วง คำตัดสินของศาลโลก ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๐๕ หลังจากศาลโลกตัดสินแล้ว ๒๐ กว่าวัน รัฐบาลไทยโดย ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยัง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลกโดยอ้างว่าคำพิพากษานั้นขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม นอกจากนี้ ยังสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมาในอนาคตด้วย
ต่อไปนี้เป็นคำประท้วง ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่จะอ้างถึงคดีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ซึ่งได้นำขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยคำร้องเริ่มคดีฝ่ายเดียวของกัมพูชา เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ค.ศ.๑๙๕๙ (พ.ศ.๒๕๐๒) และซึ่งศาลได้พิพากษา เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๖๒ (พ.ศ.๒๕๐๕) ยอมรับนับถืออธิปไตยของกัมพูชาเหนือซากของปราสาทพระวิหาร ในแถลงการณ์เป็นทางการลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ค.ศ.๑๙๖๒ (พ.ศ.๒๕๐๕) รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ประกาศต่อประชาชนแสดงความไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลที่กล่าวข้างต้น โดยมีเหตุผลว่า ตามความเห็นของรัฐบาล คำพิพากษาขัดต่อข้อกำหนดอันชัดแจ้งของบทที่เกี่ยวเนื่องของสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ. ๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) และขัดต่อหลักกฎหมาย และความยุติธรรมแต่อย่างไรก็ดีรัฐบาลก็ยังแถลงว่าในฐานะที่เป็นสมาชิสหประชาชาติ รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะปฏิบัติตามพันธกรณีที่ตนมีอยู่ตามคำพิพากษาดังกล่าว เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ตามข้อ ๙๔ ของกฎบัตร ข้าพเจ้าใคร่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า ในการตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในคดีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารนั้น รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรารถนาที่จะตั้งข้อสงวนอันชัดแจ้งเกี่ยวกับสิทธิใดๆ ที่ประเทศไทยมีหรืออาจมีในอนาคต เพื่อเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมา โดยอาศัยกระบวนการกฎหมายที่มีอยู่หรือที่จะพึงนำมาใช้ได้ในภายหลัง และตั้งข้อประท้วงต่อคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงรู้สึกเป็นเกียรติที่จะแจ้งข้อความข้างต้นให้ท่านทราบ พร้อมกับขอให้ท่านแจ้งข้อความในหนังสือฉบับนี้ ให้สมาชิกทั้งปวงขององค์การนี้ทราบทั่วกันด้วย
บันทึกกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีเขาพระวิหาร วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕ กระทรวงการต่างประเทศ (ดร.ถนัด คอมันตร์ รมต.กระทรวงการต่างประเทศ) ได้ทำบันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีเขาพระวิหาร ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดของคำพิพากษาของศาลโลก รวม ๑๒ ประเด็น เสนอการประชุมคณะรัฐมนตรี รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี นับว่าเป็นประโยชน์แก่นักกฎหมายและประชาชนโดยทั่วไป
บันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ๑.เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิพากษาว่า ซากปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา โดยอาศัยเหตุผลแต่เพียงว่า ประเทศไทยได้นิ่งเฉยมิได้ประท้วงแผนที่ฝรั่งเศสฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งมาให้รัฐบาลไทยใน ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) แล้ว แผนที่ฉบับนี้ เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสเป็นผู้ทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว แต่บังเอิญมีเครื่องหมายแสดงซากปราสาทพระวิหารไว้ในเขตกัมพูชา ๒.คดีปราสาทพระวิหารนี้ เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยเหนือซากปราสาทพระวิหาร ประเด็นสำคัญซึ่งที่พึงพิจารณา คือ การปักปันเขตแดน ถ้าได้มีการปักปันเขตแดนที่ถูกต้องแล้ว กรรมสิทธิ์ในปราสาทพระวิหารก็จะตกเป็นของไทยอย่างไม่มีปัญหา แต่เหตุผลที่ศาลนำมาเป็นหลักในการวินิจฉัยคดี มิใช่หลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยกรรมสิทธิ์ หรือการได้มาซึ่งอธิปไตยแห่งดินแดน หรือจารีตประเพณีในการปักปันเขตแดน ซึ่งย่อมคำนึงถึงบทนิยมเขตแดนในสนธิสัญญากำหนดเขตแดนและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการปักปันเป็นสำคัญแต่กลับไปใช้หลักกฎหมายทั่วไปมาหักล้าง เจตนาของคู่สัญญาว่าในบริเวณที่พิพาทให้ถือสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน ศาลจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องชี้ขาดว่า เส้นสันปันน้ำที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ถ้าศาลได้ยกข้อนี้ขึ้นพิจารณาแล้วก็จะต้องตัดสินว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตไทยอย่างไม่มีข้อสงสัย แม้แต่ความเห็นเอกเทศของผู้พิพากษา เซอร์ เจรัลด์ ฟิตซ์ มอริส ก็ยังได้ยอมรับในทัศนะนี้ ๓.ความเคารพพันธกรณีตามสนธิสัญญา เป็นรากฐานสำหรับความแน่นอนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ว่าคำพิพากษาของศาลในคดีนี้ ในขณะเดียวกับที่แสวงหาความแน่นอนและความสิ้นสุดยุติของข้อพิพาท คำพิพากษานี้เองกลับก่อให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้น และหาได้พัฒนาไปในแนวนั้นไม่ ๔.กัมพูชาได้บรรยายฟ้องว่า แผนที่ภาคผนวก ๑ ซึ่งมีเส้นเขตแดนแสดงปราสาทพระวิหารไว้ในกัมพูชานั้น มีผลผูกพันไทย เพราะเป็นแผนที่ซึ่งคณะกรรมการผสมปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) ได้ทำขึ้นทั้งๆ ที่ศาลยอมรับฟังข้อโต้เถียงของไทยว่า แผนที่ภาคผนวก ๑ นั้น ไม่มีผลผูกพันประเทศไทย เพราะเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสและกัมพูชาเป็นผู้ทำขึ้น เมื่อพ้นจากหน้าที่ในคณะกรรมการปักปันแล้ว (คำพิพากษาหน้า ๒๑) โดยฝ่ายไทยมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องและมิได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผสม แต่ศาลกลับวินิจฉัยต่อไปว่า สำหรับปราสาทพระวิหารที่พิพาทนั้น มีเครื่องหมายแสดงไว้ชัดเจนในแผนที่นั้นว่าอยู่ในเขตกัมพูชา และฝ่ายไทยก็มิได้ประท้วงหรือคดค้านแต่ประการใด แต่ได้นิ่งเฉยเป็นเวลานาน ซ้ำยังได้พิมพ์แผนที่ขึ้นอีก แสดงเส้นเขตแดนเช่นเดียวกะภาคผนวก ๕.ศาลได้พิพากษาว่าประเทศไทยเสียสิทธิในการที่จะต่อสู้ว่าปราสาทพระวิหารมิใช่ของกัมพูชา โดยที่ศาลเองก็ยังลังเลใจไม่กล้าระบุชัดลงไปว่าเป็นหลักใดแน่ จะเรียกว่า estoppel หรือ preclusion prescription หรือ acquiescence ก็ไม่ใคร่ถนัดนัก เพราะแต่ละหลักนั้น ไม่อาจนำมาใช้กับข้อเท็จจริงในคดีได้ ก.ถ้าศาลจะแสดงออกมาว่าเป็นหลัก estoppel หรือ preciusion ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นหลักกฎหมายปิดปาก ก็เป็นการยอมรับว่าทั้งๆที่ข้อเท็จจริงทางภูมิประเทศปรากฏอยู่ตำตาแล้วว่า แผนที่ภาคผนวก ๑ มิได้เป็นไปตามเส้นปันน้ำประเทศไทยก็ยังถูกปิดปากมิให้โต้แย้งหลักนี้นอกจากจะเป็นการไม่เป็นธรรม ในกรณีที่เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยแห่งดินแดนของรัฐอันเป็นเรื่องสำคัญเช่นนี้แล้ว ยังจะต้องอาศัยข้อพิสูจน์ว่า ประเทศไทยได้กล่าวหรือกระทำการใดมาก่อน ซึ่งเป็นการแสดงอย่างชัดแจ้งว่าไทยเชื่อและยินยอมว่าพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่กัมพูชาก็มิอาจพิสูจน์ได้ นอกจากนี้ ตามหลักกฎหมายปิดปาก กัมพูชาจะต้องแสดงว่าการกระทำต่างๆ ของไทยทำให้กัมพูชาหรือฝรั่งเศสหลงเชื่อ จึงไดทำกิจสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นโดยเข้าใจผิด และไทยโต้แย้งไม่ได้ ซึ่งหาตรงกับข้อเท็จจริงในคดีความนี้ไม่ เพราะแผนที่ซึ่งไทยโต้แย้งว่าผิดจากสันปันน้ำ ได้ทำขึ้นก่อนการกระทำใดๆ ของไทย ข.ถ้าศาลจะแสดงออกมาว่าเป็นหลัก Prescription หรืออายุความได้สิทธิสำหรับกัมพูชาและเสียสิทธิสำหรับไทยศาลก็จะต้องอาศัยข้อพิสูจน์ว่ากัมพูชาได้ใช้อธิปไตยในการครอบครองที่เป็นผลโดยสงบเปิดเผยและโดยปรปักษ์ เป็นเวลาต่อเนื่องกันพอสมควร (คำพิพากษาหน้า ๓๒)พูดถึงระยะเวลา ๕๐ ปี แต่ศาลก็มิได้ลงเอยว่ากัมพูชาได้สิทธิตามหลักอายุความ เพราะนอกจากจะไม่มีหลักฐานสนับสนุนแต่ประการใดแล้ว ยังเป็นการฝืนต่อเหตุผลแห่งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายด้วย เพราะไทยก็ได้พิสูจน์ให้ศาลเห็นเป็นอย่างชัดแจ้ง ซึ่งศาลเองก็ได้ยอมรับ(คำพิพากษา หน้า ๓o) แล้วว่า ฝ่ายไทยก็ไดใช้อำนาจการปกครองในบริเวณปราสาทพระวิหารเสมอมา ค.ถ้าศาลจะแสดงออกมาว่า เป็นหลัก Acquiescence หรือการสันนิษฐานว่ายอมรับโดยนิ่งเฉย ก็มีความหมายว่าไทยกับฝรั่งเศสได้ทำความตกลงขึ้นใหม่ เพื่อใช้แทนบทบัญญัติในสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๕๕๐) ซึ่งก็จะเป็นการขัดต่อเหตุผลและข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน เพราะในสนธิสัญญาต่อๆ มา คือ ใน ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๕) และ ค.ศ.๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐) ทั้งไทยและฝรั่งเศสกลับยืนยันข้อบทแห่งสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ. ๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ในเรื่องเขตแดนว่าเป็นไปตามสันปันน้ำ ผู้พิพากษาอาลฟาโร ได้ให้ความเห็นเอกเทศไว้ว่าคำพิพากษาไม่อธิบายถึงหลักเหล่านี้เพียงพอจึงได้อ้างอิงหลักอื่นๆ ทำนองนี้อีก คือ หลักปิดปากและหลักสันนิษฐานว่ามีการยินยอม เพราะมิได้มีการประท้วง หรือคัดค้าน หรือตั้งข้อสงวน หรือมีการสละสิทธิ์ นิ่งเฉย นอนหลับทับสิทธิ์ หรือสมยอมแต่ผู้พิพากษาอาลฟาโรเอง ก็มิได้ปักใจลงไปแน่นอนว่าจะยึดถือหลักใดเป็นเกณฑ์ สรุปได้ว่า ศาลยังไม่แน่ใจทีเดียวว่าจะนำหลักใดในบรรดาหลักที่กล่าวถึงข้างต้นมาปรบกับคดีปราสาทพระวิหารนี้ และหลัก acquiescence ที่นำมาใช้นั้นก็เป็นหลักใหม่สำหรับเรื่องแผนที่ เหตุไฉนจึงนำหลักใหม่นี้ไปใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกาลเวลาที่ล่วงเลยมาแล้วกว่า ๕๐ ปี เป็นที่เสียหายแก่ฝ่ายไทยเล่า เพราะหลักนี้เอง ถ้าจะนำมาใช้กับแผนที่ในกาลปัจจุบันก็ยังเป็นหลักที่นักนิติศาสตร์กำลังถกเถียงกันอยู่
ข้อความค่อนข้างยาว ผมขออนุญาตตัดแบ่งเป็นสองตอนนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ จันดำถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา
|
|
|
Iona
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 22-06-2008, 22:11 » |
|
ลบให้ จะได้อ่านต่อเนื่อง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 22:15 โดย Iona »
|
บันทึกการเข้า
|
เงินงบประมาณของประเทศที่นำไปใช้จ่ายต่างๆ มาจาก การจัดเก็บภาษีที่เราประชาชนคนไทยทุกคนต้องจ่ายกันอยู่แล้วทั้งจากภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม(vet 7) (ขอย้ำว่าทุกคนเพราะเมื่อเราได้ซื้อสินค้าใดๆ สินค้านั้นยอมมีต้นทุนมาจากการเสียภาษีแล้ว) หรือจากการจัดเก็บจากทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทยทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราปกป้องรักษา ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดิน แผ่นน้ำ ใต้แผ่นดิน ใต้แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อวกาศ
เงินงบประมาณของประเทศ ไม่ได้มาจากเงินของคนใดคนหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่มีใครสมควรอย่างยิ่งที่จะแอบอ้างว่าเงินนี้เป็นของตนนำมาแจกจ่าย การแอบอ้างนั้น เป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และไม่ยุติธรรมต่อความรู้ของทุกๆคนในประเทศที่ต้องเสียภาษี
อย่าโทษหรือด่าว่า คนที่เค้าไม่มีโอกาศเข้าถึงข่าวสารข้อมูล ปัญหาจะแก้ได้คือ ทำอย่างไรให้เค้าเหล่านั้น ได้เข้าถึงข่าวสารข้อมูล
หลอกคนไทยตลอดไป คิดว่าหลอกได้หรือ? รัฐบาลของทักษิณ
เป็นเรื่องแปลก...สิ่งที่คนโกงกลัวที่สุดคือ ....ไม่ได้มีชีวิตเพื่อใช้เงินที่โกงมา? ประวัติศาสตร์โลกมีให้เห็น
|
|
|
นิรนาม
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 22-06-2008, 22:12 » |
|
ตอนที่สองนะครับ ๖. ศาลได้ยึดถือเอาภาษิตลาตินที่ว่า ผู้ที่นิ่งเฉยเสียเมื่อควรจะพูดและสามารถพูดได้นั้น ให้ถือเสมือนยินยอม (Qui tacet consentire videtur si loqui debuiset sc potuisset) ในหน้า ๒๓ ของคำพิพากษา ซึ่งเป็นหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้กับคดีปราสาทพระวิหาร ย่อมขัดต่อเหตุผลทั้งในแง่กฎหมายและในแง่ความยุติธรรม ก.ในแง่กฎหมาย ศาลหาได้คำนึงไม่ว่า หลักที่ศาลยืมมาใช้จากหลักกฎหมายทั่วไปนี้ เป็นที่ยอมรับนับถือกันในภูมิภาคเอเชียนี้หรือไม่ เพราะหลักนี้มิใช่หลักกฎหมายระหว่างประเทศสากล ศาลควรจะคำนึงถึงจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นด้วยอนึ่ง หลักกฎหมายทั่วไปไม่พึงนำมาใช้กับกรณีที่มีสนธิสัญญากำหนดเส้นเขตแดนที่แน่นอนแล้ว เพราะเป็นเพียงหลักย่อยหลักหนึ่ง ต่อเมื่อไม่ใช่เรื่องที่สนธิสัญญาระบุไว้อย่างชัดแจ้ง จึงอาจพิจารณาปฏิบัติกรรมของไทยได้ ข.ในแง่ความยุติธรรม ศาลได้เพ่งพิจารณาแต่เพียงปฏิบัติกรรมของไทย และสันนิษฐานเอาเองว่า การที่ไทยนิ่งเฉยไม่ประท้วง แปลว่า ไทยยินยอม แต่ศาลหาได้พิจารณาถึงปฏิบัติกรรมของฝรั่งเศสและกัมพูชาไม่ ซึ่งถ้าได้พิจารณาแล้วก็จะพบว่า ฝรั่งเศสเองก็มิได้ถือว่าแผนที่ภาคผนวก ๑ นั้นผูกพันแต่ประการใด จึงมิได้ประท้วงการครอบครองพระวิหารของไทยจนกระทั่ง ค.ศ.๑๙๔๙ (พ.ศ.๒๔๙๒) และเมื่อทำการประท้วงก็มิได้อ้างแผนที่ภาคผนวก ๑ ว่ามีผลผูกพัน แต่คงอ้างหลักสันปันน้ำซึ่งกำหนดไว้ในสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงในสายตาหาได้เข้าใจถึงความเป็นอยู่ และปฏิบัติการของรัฐสมัยนั้นในภูมิภาคเอเชียไม่ โดยเฉพาะศาลไม่พยายามเข้าใจถึงสถานะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย ในเอเชียในขณะนั้น ซึ่งมีประเทศเอกราชอยู่ไม่กี่ประเทศ และต้องเผชิญกับนโยบายจักรวรรดินิยมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก ตรงกันข้าม ผู้พิพากษาส่วนมากกลับพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนการแผ่ขยายอาณานิคมของประเทศตะวันตก (หน้า ๓๔-๓๕) ซึ่งโดยแท้จริงแล้วผู้พิพากษาเหล่านั้นไม่มีหน้าที่ที่จะต้องกระทำเช่นนั้นเลย จึงสรุปได้ว่า คำพิพากษาของศาล นอกจากมิได้ใช้หลักกฎหมายที่ถูกต้องดังจะแจ้งรายละเอียดในข้อต่อไปแล้ว ยังไม่ตรงต่อหลักความยุติธรรมอันเป็นหลักหนึ่ง ซึ่งบัญญัติไว้ในหลักกฎบัตรสหประชาชาติควบคู่กับกฎหมายระหว่างประเทศและมีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่ากัน นักนิติศาสตร์ย่อมทราบดีว่าการให้ความยุติธรรมอย่างเดียวนั้น ยังไม่พอจะต้องทำให้ปรากฏชัดด้วยว่าเป็นความยุติธรรม ๗.ศาลมิได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่คู่คดีเสนอโดยละเอียดเท่าที่จะพึงกระทำได้ แต่ได้ใช้การอนุมานสันนิษฐานเองแล้วก็ลงข้อยุติทางกฎหมายจากข้อสันนิษฐานนั้น ซึ่งบางครั้งก็เป็นอนุมานซ้อน หรือเป็นการสันนิษฐานที่ขัดกันเอง และขัดต่อข้อเท็จจริง ดังจะยกตัวอย่างพอสังเขปดังต่อไปนี้ (๑) ทั้งๆ ที่ศาลยอมรับ (ในคำพิพากษาหน้า ๑๘ วรรคแรก) ว่าไม่ปรากฏหลักฐานแสดงว่าคณะกรรมการปักปันได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร แต่ก็ยังสันนิษฐานเอาได้(ในคำพิพากษาหน้า ๑๙ วรรคสุดท้าย) ว่าคณะกรรมการปักปันชุดแรกจะได้ปักปันเขตแดนเรียบร้อยแล้ว ตามสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) คือถือเอาตามเส้นที่ลากไว้ในแผนที่ภาคผนวก ๑ แสดงว่าพระวิหารอยู่ในกัมพูชา มิฉะนั้นคณะกรรมการปักปันชุดที่สอง ตามสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ก็คงจะต้องทำการปักปันเขตแดนตอนนี้ เพราะพิธีสาร ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) คลุมถึงปราสาทพระวิหาร ซึงตั้งอยู่บนเขาคงรักด้านตะวันออกด้วย ศาลได้ตั้งข้อสันนิษฐานนี้ขึ้นโดยมิได้พิจารณาโครงวาดต่อท้ายพิธีสาร ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ซึงแสดงอาณาเขตที่คณะกรรมการปักปันชุดที่สองจะต้องทำการปักปัน คือ เพียงแค่ช่องเกนทางด้านตะวันตกของทิวเขาดงรักเท่านั้น ข้อสันนิษฐานนี้จึงขัดกับโครงวาด แต่ศาลก็กลับลงข้อยุติโดยอาศัยข้อสันนิษฐานที่ผิดพลาดนี้ได้ว่า ในบริเวณปราสาทพระวิหารนั้น คณะกรรมการปักปันชุดแรกได้ปักปันแล้ว และสันนิษฐานต่อไปว่าปักปันตามที่ปรากฏในแผนที่ (๒) ศาลใช้ข้อสันนิษฐานอธิบายสาเหตุแห่งการที่ประธานคณะกรรมการปักปันของฝรั่งเศสชุดแรกคาดว่า จะมีการประชุมกันอีก แต่ในที่สุดก็ไม่มีการประชุมไปในทางที่เสียประโยชน์แก่ฝ่ายไทย โดยเดาเอาว่าถ้าได้มีการประชุมก็คงจะได้รับรองเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏในแผนที่ (คำพิพากษา ๒๐ วรรคแรก) (๓) ศาลกล่าวขึ้นมาลอยๆ (ในคำพิพากษา หน้า ๒๐ วรรค ๒) ว่าพิมพ์แผนที่เป็นงานสุดท้ายของคณะกรรมการปักปัน ทั้งๆ ที่ศาลก็ทราบดีอยู่แล้วว่าคณะกรรมการปักปันได้มีมติไว้แล้วว่า การปักปันนั้นแบ่งออกเป็นสามชั้น คือ ๑.การตระเวนสำรวจ ๒.การสำรวจภูมิประเทศ และ ๓.การอภิปรายและกำหนดเขตแดน โดยมิได้กล่าวถึงการพิมพ์แผนที่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานปักปัน ตามข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า การพิมพ์แผนที่เป็นเรื่องนอกเหนือจากการปักปันเขตแดนงานชิ้นสุดท้ายในการปักปันดังจะมีต่อไปอีกก็เห็นจะเป็นการปักหลักเขตแดน มิใช่การพิมพ์แผนที่ (๔) ศาลสันนิษฐานเอง (ในคำพิพากษา หน้า ๔๒) ว่าในการที่ฝรั่งเศสส่งแผนที่นั้นไม่ถูกต้องตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการปักปัน และสันนิษฐานต่อไปว่าฝ่ายไทยมิได้คัดค้านนั้น อาจจะเป็นเพราะว่ามีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้ถือว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ทั้งที่ในตอนต้น(คำพิพากษาหน้า ๑๘ วรรคแรก) ศาลก็ได้ยอมรับแล้วว่า ไม่มีหลักฐาน แสดงว่าคณะกรรมการปักปันได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร กระนั้นก็ยังสันนิษฐานเอาจนได้ เป็นการสันนิษฐานที่ไทยเสียประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง (๕) ศาลได้ใช้ข้อสันนิษฐานต่อไปอีก (ในคำพิพากษา หน้า ๒๖ ) โดยถือเอาว่ากรรมการปักปันของไทยคงจะทราบดีแล้วว่าแผนที่ภาคผนวก ๑ ไม่ได้รับความเห็นชอบระหว่างการประชุมคณะกรรมการปักปัน แต่ถ้าได้รับไว้โดยมิได้ตรวจดูให้แน่นอนเสียก่อนว่า ถูกต้องตามหลักสันปันน้ำตามสนธิสัญญาหรือไม่แล้ว จะมาอ้างภายหลังว่าแผนที่ผิดไม่ได้ ข้อสันนิษฐานข้อนั้นตรงกันข้ามกับข้อสันนิษฐานในวรรคก่อน แต่ก็ยังลงข้อยุติได้เหมือนกันโดยอาศัยหลักซึ่งผู้พิพากษาฟิตช์มอริสในความเห็นเอกเทศ เรียกว่า Caveat emptor กล่าวคือ ผู้ซื้อย่อมต้องใช้ความระมัดระวัง (๖) ศาลได้ใช้ข้อสันนิษฐานต่อไปอีก (ในคำพิพากษาหน้า ๒๘ วรรคแรก) ว่าไทยได้ยอมรับแผนที่ภาคผนวก ๑ แล้วโดยการไม่ประท้วง ทั้งๆ ที่ทราบว่า แผนที่นั้นไม่ตรงกับตัวบทสนธิสัญญา อย่างไรถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ศาลก็สันนิษฐานซ้อน (ในคำพิพากษา หน้า ๒๙ วรรคแรก) ว่าไทยได้ยอมรับแผนที่นั้นโดยการนิ่งเฉย มิได้คำนึงว่าแผนที่จะผิดหรือถูกประการใด (๘) ศาลอ้างเป็นข้อสันนิษฐานที่ชี้ขาดการยอมรับแผนที่ภาคผนวก ๑ ของไทย โดยยกเหตุผล (ในคำพิพากษา หน้า ๒๗ และ ๒๘) ว่าประเทศไทยมีโอกาสหลายครั้งที่จะขอแก้ไขแผนที่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการเจรจาทำสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๘) และ ๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐) ศาลให้เหตุผลตรงกันข้ามกับข้อยุติของศาลเองว่า แผนที่ภาคผนวก ๑ มิได้เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ. ๒๔๔๗) หรือ ๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ซ้ำยังตีความข้อบัญญัติในสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๘) และ ๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐) ที่คลาดเคลื่อนจากถ้อยคำของข้อบทสนธิสัญญาอีกด้วย (คำพิพากษาหน้า ๑๗) เมื่อพิจารณาดูถ้อยคำของ ข้อ ๒๗ แห่งสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๘) และข้อ ๒๒ แห่งสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐) แล้ว จะพบสนธิสัญญาทั้งสองฉบับนี้มิได้ยืนยันเขตแดนตามแผนที่แต่ประการใดไม่ กลับไปยืนยันบทนิยามเขตแดนตามสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๑๔ (พ.ศ.๒๔๕๗) และ ๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) กล่าวคือให้ถือตามหลักสันปันน้ำ จึงสรุปได้ว่า ศาลได้มีความสนธิสัญญา โดยขัดกับถ้อยคำของสนธิสัญญานั้นเอง และสันนิษฐานเป็นที่เสียประโยชน์แก่ฝ่ายไทยว่าไทยได้ยินยอมยกพระวิหารให้ฝรั่งเศส เพราะมิได้ฉวยโอกาสขอแก้ไขสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ. ๒๔๔๗) หรือ ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) แต่เมื่อพิจารณาดูให้ถ่องแท้แล้วจะเห็นได้ชัดว่าฝรั่งเศสต่างหากที่เป็นฝ่ายยินยอม และมิได้ฉวยโอกาสผนวกแผนที่เข้าไว้กับสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๘) หรือ ค.ศ.๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐) และ ความจริงสนธิสัญญาทั้งสองฉบับนี้ยืนยันสันปันน้ำต่างหาก ซึ่งก็เป็นการประกาศอย่างชัดแจ้งว่าหลักสันปันน้ำจะต้องสำคัญกว่าแผนที่ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ถ้ามีการแคลงใจเรื่องแผนที่ว่าจะไม่ถูกต้องตามหลักสันปันน้ำตาที่ไทยได้ค้นพบในการสำรวจ ค.ศ.๑๙๓๔-๑๙๓๕ (พ.ศ.๒๔๗๗-๒๔๗๘) ยืนยันหลักสันปันน้ำแล้ว อันเป็นการปฏิเสธแผนที่ที่ขัดกับสันปันน้ำโดยตรง ๙. ฝ่ายไทยได้ยืนยันต่อศาลโลกตลอดมาว่า เส้นเขตแดนในบริเวณที่พิพาทนั้น เป็นไปตามสันปันน้ำ และว่ารัฐบาลไทยก็ถือตามนี้ เพราะสนธิสัญญาทุกฉบับได้ยืนยันสันปันน้ำเป็นเขตแดน ข้อสำคัญที่ศาลอาจจะมองข้ามไปคือ หนังสือประท้วง ปี ค.ศ.๑๙๔๙ (พ.ศ.๒๔๙๒) ที่ฝ่ายฝรั่งเศสส่งมายังรัฐบาลไทย โดยอ้างพิธีสาร ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) เป็นหลัก พิธีสารฉบับนี้กล่าวไว้อย่างชัดแจ้งว่า เขตแดนระหว่างประเทศทั้งสองในบริเวณนั้น ถือตามเส้นสันปันน้ำ ซึ่งข้อนี้แสดงชัดแจ้งว่าฝ่ายฝรั่งเศสและกัมพูชาเองก็เชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า เขตแดนนั้นเป็นไปตามสันปันน้ำ ฝ่ายฝรั่งเศสจึงได้อ้างพิธีสารมาในหนังสือประท้วง ค.ศ.๑๙๔๙ (พ.ศ.๒๔๙๒) ในลักษณะเช่นนี้ ในการพิจารณาคดีนี้ ในเมื่อศาลเองถือเอาเจตนาของคู่กรณีเป็นหลักสำคัญในการวินิจฉัยคดีแล้ว เหตุไฉนเล่าศาลจึงไม่ให้ความสำคัญแก่เจตนาอันชัดแจ้งของทั้งสองฝ่าย ในเรื่องให้ยึดถือสันปันน้ำเป็นเขตแดนในบริเวณที่พิพาท แสดงว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นขัดกับข้อยุติธรรมของศาลที่ว่าภาคีทั้งสองได้มีเจตนาทำความตกลงขึ้นใหม่ในการกำหนดเขตแดนในบริเวณนั้น (พึงสังเกตด้วยว่าพิธีสาร ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ได้เอ่ยถึง เส้นซึ่งคณะกรรมการปักปันเขตแดนขุดก่อนได้ตกลงไว้เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) นั้น เกี่ยวกับปลายเขตแดนด้านตะวันออก ซึ่งกำหนดให้บรรจบแม่น้ำโขงที่ห้วยดอนมิได้เกี่ยวกับบริเวณพระวิหาร) ๑๐.ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่ผิดพลาด แห่งความเชื่อถือตามข้อเท็จจริงที่ผิดพลาดนั้น อันเป็นผลเสียหายแก่รูปคดีของไทย (๑) ศาลถือ (ในคำพิพากษา หน้า ๑๕ วรรคแรก) ว่า ปราสาทพระวิหารเป็นสถานที่สักการบูชา ซึ่งตามข้อเท็จจริงเป็นเทวสถานตามลัทธิพราหมณ์ที่ปรักหักพัง และแทบจะไม่มีผู้ใดไปสักการบูชา เพราะประชาชนทั้งในไทยและกัมพูชาก็นับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ การที่ศาลเชื่อเช่นนี้พ้องกับข้อเสนอของกัมพูชาว่าคนกัมพูชาใช้ปราสาทเป็นที่สักการบูชา (๒) ศาลกล่าวไว้หลายแห่ง (ในคำพิพากษา หน้า ๑๖ และ ๑๗) ว่าคณะกรรมการปักปันตามสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) มีสองแผนก (Sections) คือแผนกฝรั่งเศส และแผนกไทย แต่เป็นกรรมการเดียวทั้งๆ ที่ตามตัวบทสนธิสัญญาข้อ ๓ หมายถึงกรรมการ ๒ คณะ (Commissions) เป็นพหูพจน์และไม่มีการกล่าวถึงคำว่าแผนกในสนธิสัญญา หรือในรายงานการประชุมของคณะกรรมการปักปัน และ ฝ่ายไทยก็แย้งไว้แล้วว่า แผนที่ภาคผนวกซึ่งทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส ถึงแม้จะอาศัยชื่อของคณะกรรมการปักปันฝรั่งเศส (Commissionde Delimitation) ก็ไม่มีผลผูกพันฝ่ายไทยได้ เพราะไม่ใช่แผนที่ของคณะกรรมการผสม (Mixed Commissions) การที่ศาลถือเอาว่าเป็นคณะกรรมการเดียวแต่มีสองแผนก จึงทำให้เข้าใจผิดได้ว่า แผนที่ที่ฝรั่งเศสทำเป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันทั้งคณะ คือคณะกรรมการร่วมกันของฝ่ายไทยและฝ่ายฝรั่งเศส ๑๑.ศาลได้นำเหตุผลที่ขัดกันมาใช้ในการพิจารณาข้อโต้เถียงของไทยแล้ววินิจฉัยว่าข้อโต้เถียงของไทยฟังไม่ขึ้น คือ ก.ศาลให้ความสำคัญแก่การที่กรมแผนที่ไทยยังพิมพ์แผนที่แสดงว่าพระวิหารเป็นของฝรั่งเศสเรื่อยไป และกว่าจะพิมพ์แผนที่แสดงพระวิหารไว้ในเขตไทยก็ต่อเมื่อถึง ค.ศ.๑๙๔๕ (พ.ศ.๒๔๙๗) แล้ว ศาลน่าจะเข้าใจว่า เพราะเหตุนี้การพิมพ์แผนที่จึงไม่มีความสำคัญ เพราะก่อนหน้า ค.ศ.๑๙๕๔ (พ.ศ.๒๔๙๗) นี้เอง ทั้งๆ ที่ยังพิมพ์แผนที่ผิดอยู่ กัมพูชาและฝรั่งเศสก็ได้ประท้วงมาว่า พระวิหารเป็นของกัมพูชา เมื่อ ค.ศ.๑๙๔๙ (พ.ศ.๒๔๙๒) และ ค.ศ.๑๙๕๐ (พ.ศ.๒๔๙๓) แต่ในทางตรงข้าม ศาลกลับไม่ถือว่ากิจกรรมเกี่ยวกับการปกครอง ตลอดจนการที่บุคคลสำคัญของรัฐบาลกลางไปเยือนพระวิหารในปีต่างๆ ระหว่าง ค.ศ.๑๙๐๗-๑๙๓๙ (พ.ศ.๒๔๕๐-๒๔๘๒) เป็นของสำคัญ กลับถือว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องที่ ซึ่งขัดกับท่าทีอันแน่นอนของรัฐบาลกลาง จึงต้องมองข้ามไป แสดงว่าศาลใช้มาตรฐานและเครื่องทดสอบที่ไม่สม่ำเสมอกัน ข. ทั้งๆ ที่ศาลถืออยู่ตลอดเวลา (โดยเฉพาะในคำพิพากษา หน้า ๓๐) ว่าการปกครองบริเวณปราสาทพระวิหารของไทยนั้นไม่มีความสำคัญ เพราะเป็นเพียงขั้นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเท่านั้น แต่พอถึงที่ที่จะตีความให้ไทยเสียประโยชน์ เพราะการปกครองพระวิหาร (ในคำพิพากษา หน้า ๓๓ วรรค๒) ศาลกลับเห็นเป็นของสำคัญ โดยกลับถือว่า เพราะไทยได้ปกครองพระวิหารเรื่อยมา จะมาอ้างว่าไม่รู้ว่าแผนที่ผิดไม่ได้ เพราะถ้าคิดว่าถูกแล้วยังใช้อำนาจปกครองก็จะเป็นการรุกรานไป แสดงว่าข้อเท็จจริงอันเดียวกัน ศาลถือว่าไม่มีความสำคัญ ถ้าเป็นประโยชน์แก่ไทย แต่ถือว่าสำคัญมากในตอนที่ไทยจะต้องเสียประโยชน์ คล้ายๆ กับว่าศาลจงใจจะตีความให้ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ พอจะมาพิจารณา (ในคำพิพากษา หน้า ๒๘ วรรค ๓) ถึงเรื่องการกลับสู่สภาพเดิมก่อนอนุสัญญากรุงโตเกียว ค.ศ.๑๙๕๑ (พ.ศ.๒๔๙๔) ศาลกลับปัดไม่ยอมพิจารณาเรื่องการครอบครองพระวิหารเสียเฉยๆ ค.(ในคำพิพากษาหน้า ๓๑ วรรคแรก) ศาลตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งไทยและฝรั่งเศสก็มิได้มั่นใจว่าพระวิหารเป็นของตนในขั้นแรก ทั้งๆที่ศาลยอมรับ (ในคำพิพากษา หน้า ๓๐) ว่าไทยได้ใช้อำนาจปกครอง แต่ก็ยังกล่าวได้เต็มปากว่า ความเชื่อของไทยว่าพระวิหารเป็นของฝรั่งเศสนั้น สอดคล้องกับท่าทีของไทยโดยตลอดมา ๑๒.ศาลถือว่าไทยมีหน้าที่คัดค้าน เมื่อรับแผนที่จากฝรั่งเศสใน ค.ศ.๑๙๐๘ ๑๙๐๙ (พ.ศ.๒๔๕๑ ๒๔๕๒) แต่เมื่อมาพิจารณาดูข้อเท็จจริงและพฤติการณ์โดยตลอดแล้ว จะเห็นได้ว่าไทยไม่มีหน้าที่คัดค้านแต่ประการใดเลย ฝรั่งเศสและกัมพูชาต่างหากที่มีหน้าที่คัดค้านการครอบครองปราสาทพระวิหารของไทยในสมัยนั้น แต่ก็มิได้คัดค้าน เช่น เมื่อส่งแผนที่มาให้ ก็มิใช่เป็นการแสดงว่าขัดกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการปักปัน และจะไปคัดค้านได้อย่างไร ถ้าสันปันน้ำที่แท้จริงตรงกับแผนที่ และปันพระวิหารไปอยู่ในเขตไทยหรือกัมพูชา ฝ่ายตรงข้ามก็มิอาจคัดค้านได้ และถ้าคัดค้านก็ไม่มีประโยชน์อะไร
กระทรวงการต่างประเทศ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕
ขอบคุณผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับครับ แล้ว..ใจ อึ้งภากรณ์ เป็นใครถึงไปยกแผ่นดินให้เขมร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ จันดำถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา
|
|
|
ชัย คุรุ เทวา โอม
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 22-06-2008, 22:14 » |
|
แล้วอย่างนี้ อิสราเอลก็ต้องคืนให้ปาเลสไตน์สิ
ตัวใจ เคยเขียนเรื่องนี้แล้วครับ แล้วผมค่อนข้างเห็นด้วยกับเขา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..." คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน (How the Steel Was Tempered) นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933 ******************************* เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ http://www.oknation.net/blog/amalit1990
|
|
|
Iona
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: 22-06-2008, 22:17 » |
|
ตัวใจ เคยเขียนเรื่องนี้แล้วครับ
แล้วผมค่อนข้างเห็นด้วยกับเขา
หน้าสนใจ ช่วยทำลิงค์ให้ทีหรือถ้าไม่มีช่วยบอกชื่อหนังสือให้ที่ เรื่อง ต้องคืนดินแดนปาเลสไตน์ ขอบคุณมาก อยากรู้เหมือนกันว่าเค้ามีแนวคิด มองในมุมภาพรวมแบบไหน
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 22:19 โดย Iona »
|
บันทึกการเข้า
|
เงินงบประมาณของประเทศที่นำไปใช้จ่ายต่างๆ มาจาก การจัดเก็บภาษีที่เราประชาชนคนไทยทุกคนต้องจ่ายกันอยู่แล้วทั้งจากภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม(vet 7) (ขอย้ำว่าทุกคนเพราะเมื่อเราได้ซื้อสินค้าใดๆ สินค้านั้นยอมมีต้นทุนมาจากการเสียภาษีแล้ว) หรือจากการจัดเก็บจากทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทยทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราปกป้องรักษา ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดิน แผ่นน้ำ ใต้แผ่นดิน ใต้แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อวกาศ
เงินงบประมาณของประเทศ ไม่ได้มาจากเงินของคนใดคนหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่มีใครสมควรอย่างยิ่งที่จะแอบอ้างว่าเงินนี้เป็นของตนนำมาแจกจ่าย การแอบอ้างนั้น เป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และไม่ยุติธรรมต่อความรู้ของทุกๆคนในประเทศที่ต้องเสียภาษี
อย่าโทษหรือด่าว่า คนที่เค้าไม่มีโอกาศเข้าถึงข่าวสารข้อมูล ปัญหาจะแก้ได้คือ ทำอย่างไรให้เค้าเหล่านั้น ได้เข้าถึงข่าวสารข้อมูล
หลอกคนไทยตลอดไป คิดว่าหลอกได้หรือ? รัฐบาลของทักษิณ
เป็นเรื่องแปลก...สิ่งที่คนโกงกลัวที่สุดคือ ....ไม่ได้มีชีวิตเพื่อใช้เงินที่โกงมา? ประวัติศาสตร์โลกมีให้เห็น
|
|
|
ชัย คุรุ เทวา โอม
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: 22-06-2008, 22:30 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..." คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน (How the Steel Was Tempered) นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933 ******************************* เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ http://www.oknation.net/blog/amalit1990
|
|
|
moon
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: 22-06-2008, 22:32 » |
|
เรียน คุณ นิรนาม
นี่คือสิ่งที่ผมอยากได้มาตลอดหลายวันที่ผ่านมา หนังสือคัดค้านฉบับนี้ ทำขึ้นใน พ.ศ. 2505
แล้วหลังจากนั้นต่อมาอีกหลายปี เราได้ทำหนังสือคัดค้านต่อเนื่องไปอีกหรือปล่าว
ถ้ามีเอามาให้ชมกันอีกครับ จะได้ทราบว่าเราคัดค้านตลอดเวลาหรือไม่ หรือเราพลาดไปตรงไหน
หรือหยุดการคัดค้านเมื่อใด หรือคำพิพากษาของศาลโลกสิ้นสุดเมื่อใด ตอนนี้มีแต่พี่เหล่เขาบอกฝ่ายเดียว
ว่าเป็นของเขมรไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2505
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เบื่อไอ้เหลี่ยม
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: 22-06-2008, 23:19 » |
|
ผมไม่ได้เรียนจุฬา เลยโชคดีที่ไม่รู้จักไอ้ใจ อึ้งภากร อยากถามมหาลัยจุฬา ภูมิใจมากไหม ที่จ้างไอ้คนทุเรสและเฮงซวยไม่รู้สำนึกบุญคุณแผ่นดินที่มันเกิด และได้ให้การศึกษามันมา มันบอกว่ายกแผ่นดินให้ต่างชาติไปได้แบบนี้ และยังยะโสว่า ผมไม่ใช่คนไทย ผมว่า อธิการบดี จุฬา ต้องทบทวนที่จ้างไอ้สันดานคนนี้มาสอนนักศึกษาของไทย เพราะว่าจะทำให้คนไทยไร้จิตสำนึกต่อชาติบ้านเมือง แบบเดียวกับไอ้สันดานคนนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
justy
|
|
« ตอบ #40 เมื่อ: 22-06-2008, 23:52 » |
|
ถ้ามันคิดว่ามันเป็นคนอังกฤษ -จีน
มันมาอาศัยอยู่เมืองไทยทำไม หนักแผ่นดินจริงๆ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008, 00:13 โดย justy »
|
บันทึกการเข้า
|
พรรคไทยรักไทยมิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่า กฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า พรรคไทยรักไทย มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อ
|
|
|
ริวเซย์
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: 23-06-2008, 00:42 » |
|
ไม่น่าเชื่อว่าคนเป็นอาจารย์สอนเด็กมามากมาย ความคิดแคบแค่นี้เอง
เป็นห่วงอนาคตชาติจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^
|
|
|
Familie
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: 23-06-2008, 01:01 » |
|
บรรพบุรุษทางพ่อผมอพยพมาจากทางตอนใต้ของประเทศลาว ส่วนบรรพบุรุษทางฝ่ายแม่มาจากทางตอนเหนือของประเทศลาว บรรพบุรุษทั้งทางฝ่ายพ่อ ฝ่ายแม่ผมพูดภาษา "ลาว" หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า "ไทยอีสาน" คุณปู่ผมเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านสระกำแพงใหญ่ บ้านอยู่ห่างจากปราสาทหินสระกำแพงไม่ถึง 200 เมตร แต่บังเอิญผมไปโตอยู่ศีขรภูมิ บ้านอยู่ข้าง ๆ สถานีรถไฟ ห่างจากปราสาทศีขรไม่ถึงกิโลเมตร เลยติดนิสัยพูด "ลาว" ไม่ได้ไปซะงั้น สมัยเรียนมัธยมปลายอยู่ ศภส.เดินผ่านปราสาทศีขรทุกวัน
แม้บรรพบุรุษฝ่ายพ่อ,ฝ่ายแม่ของผมจะมาจากประเทศลาว แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้เกิดอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งองค์บูรพมหากษัตริย์ไทย และภูมิใจในความเป็น "คนไทย" แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะขายชาติหรือยกแผ่นดินให้ต่างชาติเหมือนกับนักการเมืองเลว ๆ บางคนในยุคนี้
ขอยืนยัน....ว่าเมื่อปี 2532 ผมเป็นคณะแรก ๆ ที่ขึ้นไปสำรวจปราสาทพระวิหารร่วมกับคณะ "คุณชายจักรรส - มล.เติมแสง" เมื่อครั้งที่ยังอยู่สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ บนทางขึ้นปราสาทพระวิหารก่อนถึงลานนาคราช มีรั้วลวดหนามและประตูปิดเปิดอยู่ตรงนั้น พอขึ้นไปถึงประตูต้องตะโกนเรียกทหารเขมรที่อยู่บริเวณปราสาทหลังที่ 1 ให้มาเปิดประตูให้
สุดซึ้งมากครับ และภูมิใจมากที่มีคนแบบคุณอยู่มากในเมืองไทยเรา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
บรรพบุรุษ ของไทย แต่โบราณ ปกบ้าน ป้องเมือง คุ้มเหย้า เสียเลือด เสียเนื้อ มิใช่เบา หน้าที่เรา รักษา สืบไป ลูกหลาน เหลนโหลน ภายหน้า จะได้มี พสุธา อาศัย อนาคต จะต้องมี ประเทศไทย มิยอมให้ ผู้ใด มาทำลาย
|
|
|
May The Force Be With You
|
|
« ตอบ #43 เมื่อ: 23-06-2008, 01:05 » |
|
เหลือเชื่อครับ ไม่ได้ให้ความเห็นเรื่องข้อเท็จจริงอะไรเลย ใช้ความรู้สึกล้วนล้วน เหลือเชื่อครับว่าเป็นอาจารย์ที่จุฬา แต่เชื่อว่าไม่ใช่คนไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"เจไดที่ฉลาดมากๆ คนหนึ่งเคยบอกข้าไว้ว่าเราไม่จำเป็นต้องชนะ แต่เราต้องสู้"
|
|
|
|
สมชายสายชม
|
|
« ตอบ #45 เมื่อ: 23-06-2008, 05:09 » |
|
เคยอ่านมา มีคนเขียนไว้ว่า "สิ่งก่อสร้างโดยพวกขอม ไม่ใช่เขมร" สิ่งก่อสร้างเป็นศิลปและิอารยธรรมที่มาจากอินเดีย .. ถ้าใช้ตรรกของนายใจ ประเทศกัมพูชา และประเทศไทยก็ควรจะเป็นของประเทศอินเดีย .. ประเทศจีนก็ควรจะเป็นของมองโกล และประเทศสหรัฐ ก็ควรจะเป็นของชนเผ่าอินเดียนแดง ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
watson
|
|
« ตอบ #46 เมื่อ: 23-06-2008, 09:49 » |
|
เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะบนยอดเขานั้นมีปราสาทหินจากยุคอาณาจักรเขมร สมัยอาณาจักรเขมร ชนเผ่าไท ยังด้อยพัฒนาอยู่มาก เป็นคนป่า ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรไม่ดีหรอก แต่ต้องยอมรับความจริง เขมรเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดที่มีในไทยภายหลัง แถมนักประวัติศาสตร์ยังมองว่ากษัตริย์สุโขทัยเป็นคนเขมรอีกด้วย วัฒนธรรมและศีลปะจำนวนมากที่อ้างกันว่าเป็นแบบ ไทยๆ ก็ลอกมาจากเขมรทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อเราไปดูนครวัด
ถ้าเขาพระวิหารเป็นของเขมร พิมาย ควรเป็นของเขมรหรือไม่? ในแง่หนึ่งมันเป็นของเขมรอยู่แล้ว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมรในอดีต แต่ตอนนี้มันอยู่ใจกลางผืนแผ่นดินที่กษัตริย์กรุงเทพฯก่อตั้งขึ้นมาเป็นรัฐชาติไทยไปแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้นการที่จะไปยกให้เขมรก็คงไม่สมควร และรัฐบาลเขมรก็ไม่ได้เรียกร้องด้วย แต่ในกรณีเขาพระวิหาร มันอยู่บนยอดเขาตรงเส้นพรมแดน ที่กรุงเทพฯ กับปารีส เคยขีดเอาไว้ ไม่มีหมู่บ้านประชาชนอยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเถียงอะไรบ้าๆ บอๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
มันจะอยู่ตรงเส้นพรมแดนหรืออยู่ห่างจากชายแดนมา 200 กม. ก็ถึงว่าอยู่ในเขตประเทศไทย มีกฏหมายหรือข้อตกลงไหนเหรอที่บอกว่าอยู่ใกล้เขตชายแดนแล้วต้องเป็นของเขา หรือถ้าอยู่ห่างจากชายแดนเป็นระยะทางกี่กิโลจึงจะเป็นของเรา ถ้าใช้ตรรกะของไอ้อาจารย์ควายนี่ เขมรมันคงอ้างสิทธิในดินแดนของประเทศไทยทั้งหมด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
มารุจัง
|
|
« ตอบ #47 เมื่อ: 23-06-2008, 11:22 » |
|
ดูมันพูดมาได้ คนจีนเค้าก็รักแผ่นดินบ้านเกิดเฟ้ยยยย เค้าก็ไม่ยอมเสียดินแดนบ้านเกิด ไอ้พวกที่ไม่รักแผ่นดินบ้านเกิดน่ะ.. มีแต่พวกเดรัจฉานคนจีนเค้าก็ไม่ได้ต้อนรับ ไม่รู้ตัวหรือไง อ้างมาได้ว่าเป็นจีน...ทุเรศ อ้อ..แล้วแน่จริงนะ อย่ามาทำ บัตรประชาชนไทย อย่าถือพาสปอร์ตไทย อย่าใช้สัญชาติไทย สิ.....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ประชาธิปไตย มิได้จบอยู่แค่การเลือกตั้งปล.รูปจากเวบ ผจก.
|
|
|
oho
|
|
« ตอบ #48 เมื่อ: 23-06-2008, 12:36 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008, 15:10 โดย oho »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Thai Lady
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: 23-06-2008, 13:14 » |
|
ไม่ใช่คนไทย แล้วมาเสือกอะไรกับประเทศตรูว่ะ
เสร่อ สราด
ไม่ใช่คนไทย ก็อยู่เฉย ๆ รักษามารยาทหน่อย อาศัยบ้านคนอื่นอยู่ อย่าดูถูกเจ้าของบ้าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
... กลัวไวรัสสายพันธุ์หน้าเหลี่ยมระบาดกัดกินสังคมไทย ... กลั๊ว .. กลัว ...
|
|
|
|