ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
26-04-2024, 13:02
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  เขาพระวิหารเป็นของเขมร : ใจ อึ๊งภากรณ์ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1] 2
เขาพระวิหารเป็นของเขมร : ใจ อึ๊งภากรณ์  (อ่าน 4946 ครั้ง)
ผู้ ญ ธรรมดา ที่นางฟ้าอยากเป็น
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 217



« เมื่อ: 22-06-2008, 19:04 »

ใจ อึ๊งภากรณ์ เสนอบทความ: เขาพระวิหารเป็นของเขมร

การยกเรื่องเขาพระวิหารมาเป็นประเด็นเพื่อพยายามปลุกระดมคนให้สนับสนุนพันธมิตรฯ เป็นการกระทำที่น่าสมเพชอันหนึ่งของ พันธมิตรประชาชนเพื่อรัฐประหาร ชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์

     
เมื่อผมอยู่ ป.4 ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ในสมัยรัฐบาลเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ์ ก็มีการปลุกระดมเรื่องเขาพระวิหารแบบนี้โดยฝ่ายขวาตกขอบเช่นกัน ในครั้งนั้นศาลโลกตัดสินอย่างถูกต้องและมีเหตุผลว่า เขาพระวิหารเป็นของเขมร ดูเหมือนว่าห้าสิบปีผ่านไป พวกฝ่ายขวาตกขอบในพันธมิตรฯ ยังไม่รู้จักโต ยังไม่รู้จักพัฒนาสักที

 
เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะบนยอดเขานั้นมีปราสาทหินจากยุคอาณาจักรเขมร สมัยอาณาจักรเขมร “ชนเผ่าไท” ยังด้อยพัฒนาอยู่มาก เป็นคนป่า ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรไม่ดีหรอก แต่ต้องยอมรับความจริง เขมรเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดที่มีในไทยภายหลัง แถมนักประวัติศาสตร์ยังมองว่ากษัตริย์สุโขทัยเป็นคนเขมรอีกด้วย วัฒนธรรมและศีลปะจำนวนมากที่อ้างกันว่าเป็นแบบ “ไทยๆ” ก็ลอกมาจากเขมรทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อเราไปดูนครวัด

 
ถ้าเขาพระวิหารเป็นของเขมร พิมาย ควรเป็นของเขมรหรือไม่? ในแง่หนึ่งมันเป็นของเขมรอยู่แล้ว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมรในอดีต แต่ตอนนี้มันอยู่ใจกลางผืนแผ่นดินที่กษัตริย์กรุงเทพฯก่อตั้งขึ้นมาเป็นรัฐชาติไทยไปแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้นการที่จะไปยกให้เขมรก็คงไม่สมควร และรัฐบาลเขมรก็ไม่ได้เรียกร้องด้วย แต่ในกรณีเขาพระวิหาร มันอยู่บนยอดเขาตรงเส้นพรมแดน ที่กรุงเทพฯ กับปารีส เคยขีดเอาไว้ ไม่มีหมู่บ้านประชาชนอยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเถียงอะไรบ้าๆ บอๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

     
แล้วพวกปัญญาอ่อนที่ทำเป็นโกรธเคืองเรื่องเขาพระวิหาร เขาทำไปเพื่ออะไร? ก็เพื่อปั้นน้ำเป็นตัวปลุกกระแสชาตินิยมไร้เหตุผล เพื่อมาเป็นเครื่องมือของเขา ส่งผลต่อไปให้คนที่เป็นลูกน้องทางความคิดของพวกนี้ เกลียดชังคนพม่า คนมาเลย์มุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ และในอนาคตอาจทำให้เกลียดคนเชื้อสายจีนอีกด้วย นี่คือการเมืองของชนชั้นปกครองซีกขวา ที่เราเคยเห็นสมัยรัชกาลที่ 6, จอมพล ป. และ 6 ตุลา ไม่มีประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยเลยแม้แต่นิดเดียว
     
ถามว่าการที่เขาพระวิหารจะเป็น “ของ” ใครนั้น ช่วยแก้ปัญหาอาหารน้ำมันแพงหรือไม่? ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยหรือไม่? ช่วยสร้างรัฐสวัสดิการหรือไม่? ช่วยขยายสิทธิเสรีภาพของสตรี หรือคนรักเพศเดียวกัน หรือกลุ่มชาติพันธ์หรือไม่? แก้ปัญหาโลกร้อนหรือไม่? ทำให้รายได้ลูกจ้างลดลงหรือไม่? ทำให้ชาวนารายย่อยล้มละลายมากขึ้นหรือไม่? ไม่เลย ไม่เกี่ยวอะไรกับปัญหาปากท้อง และปัญหาการขยายสิทธิเสรีภาพของประชาชนแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องไร้สาระ ท่าทีที่ดีที่สุดของภาคประชาชนต่อเรื่องนี้คือ พูดออกมาเลย ฟันธงเลย “เขาพระวิหารเป็นของเขมร”

 
ใจ อึ๊งภากรณ์
(ผมไม่ใช่ “คนไทย” ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ)


http://www.prachatai.com/05web/th/home/12608
บันทึกการเข้า

ถ้าเหล่าเทพเจ้าอยู่รวมกันเป็นเมือง พลเมืองเทพเทวดาเหล่านั้นจะมีการปกครองหรือไม่?  คำตอบคือ มี

และถ้าจะถามว่าระบอบอะไร? คำตอบก็คือ


"ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบที่ดีเยี่ยมสำหรับเทพเจ้า แต่ไม่เหมาะสมเลยกับมวลมนุษย์!"  (Jean Jacques Rousseau)
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #1 เมื่อ: 22-06-2008, 19:13 »

ใจ อึ๊งภากรณ์
(ผมไม่ใช่ “คนไทย” ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ)



เออ มรึงคนละชาติกับกรู  ไปอยู่เมืองจีน ไม่ก็เมืองอังกฤษ ที่ไอ้แม้วพ่อมรึงบินไปบินมา หรือจะไปอยู่ประเทศที่พ่อมรึงซมซานไปตายก็ได้ อย่ามาเสือกเรื่องของประเทศกรู

 
บันทึกการเข้า
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #2 เมื่อ: 22-06-2008, 19:13 »

ตอนนี้ท่านหัวหน้าพรรค นายใจ กำลังอ่วมอรทัยกับการที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมของพันธมิตร

มากกว่าที่เขาจะมาเหลียวแล พรรคที่ไม่มีทางเป็นไปได้ของตัวเอง

ใจครับ ผมขอเตือนให้ไปดูแลกิ๊กให้ดีก่อน ว่างๆพาเขาไปดูหนังบ้าง ทางที่ดีอย่าให้เมียจับได้นะครับ อิอิ

ปล.ใจก็จีน ผมก็จีน แต่ผมเกิดเมืองไทย ผมไม่ได้มีเชื้อฝรั่งจอมล่าอาณานิคม และที่สำคัญผมภูมิใจในความเป็นไทยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 19:17 โดย Post-modern ++++ » บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
ผู้ ญ ธรรมดา ที่นางฟ้าอยากเป็น
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 217



« ตอบ #3 เมื่อ: 22-06-2008, 19:16 »


ใจ อึ๊งภากรณ์
(ผมไม่ใช่ “คนไทย” ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ)

จากตรงนี้ พอจะอนุมานได้ว่า

วิถีชีวิตตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาของ "ใจ" (ขออนุญาตไม่เรียกอาจารย์) ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นคนไทยเลยไช่หรือไม่
บันทึกการเข้า

ถ้าเหล่าเทพเจ้าอยู่รวมกันเป็นเมือง พลเมืองเทพเทวดาเหล่านั้นจะมีการปกครองหรือไม่?  คำตอบคือ มี

และถ้าจะถามว่าระบอบอะไร? คำตอบก็คือ


"ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบที่ดีเยี่ยมสำหรับเทพเจ้า แต่ไม่เหมาะสมเลยกับมวลมนุษย์!"  (Jean Jacques Rousseau)
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #4 เมื่อ: 22-06-2008, 19:19 »

โอ๊ยยย พูดอย่างนี้เสียหมาไปทั้งคอก

ขอม มันเป็นเขมรที่ไหน คนละเผ่าพันธุ์เลย

และตอนนี้มันเอาดินแดนล้ำเข้ามาอีกหลายสิบเมตร ทางทะเลอีกเป็นกิโล

นั่น ที่ทางหากินจนถึงชั่วลูกชั่วหลานเลยนะ

ไม่ใช่แค่เรื่องดินแดนกระจอกๆของแผ่นดินห่วยๆ ที่คนเขียนบทความไม่สำนึกในการเป็นเจ้าของ
บันทึกการเข้า
กระดานดำออนไลน์
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 186



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 22-06-2008, 19:23 »

ตามประวัติศาสตร์และคำบอกเล่า บรรพบุรุษผมอพยพมาจากดินแดนในประเทศลาวปัจจุบัน
คนสุรินทร์กว่าครึ่งจังหวัดพูดภาษาเขมร ผมพูดภาษากูย (ส่วย)

ผมเกิดห่างจากปราสาทศีขรภูมิที่ชาวขอมโบราณมาสร้างไว้ก่อนมีกรุงสุโขทัยไม่ถึง ๑ กม.
และเติบโตท่ามกลางวัฒนธรรมเขมร, ลาว, กูย ในจังหวัดสุรินทร์

แต่ผมภูมิใจที่ได้เกิดใต้พระบรมโพธิสมภาร
ภูมิใจในความเป็น "คนไทย"
และไม่อกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 19:33 โดย กระดานดำออนไลน์ » บันทึกการเข้า

กระดานดำออนไลน์กระดานดำออนไลน์กระดานดำออนไลน์กระดานดำออนไลน์กระดานดำออนไลน์กระดานดำออนไลน์
http://www.kradandum.com
http://www.oknation.net/blog/kradandum
-----------------------------------------------------------
เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแ่ผ่นดิน

อยู่ไม่ถึง ๑๐๐ ปีก็ตาย รีบๆ ทำความดีเพื่อแผ่นดินกันเถอะครับ
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 22-06-2008, 19:24 »

เลวมากจริงๆ เพียงเพราะความบ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เลยไปเชียร์เขมร โดยไม่สนว่าประเทศจะเสียดินแดนไปหรือเปล่า

แล้ว "ใจ อึ้ง" ก็ไม่ควรมาอ้างว่า มีเชื้อจีน เพราะว่าจีนแผ่นดินใหญ่มันไม่ได้โง่ปล่อยไต้หวันเข้า WHO หรือผู้นำโผล่หน้าไปเจรจาดาไลลามะ เพื่อเปิดทางให้มันแยกเอกราช



"ใครจะเป็นจะตายช่างมัน ประเทศจะเสียดินแดนช่างมัน กูจะเลือกตั้ง"
บันทึกการเข้า

aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #7 เมื่อ: 22-06-2008, 19:24 »

แล้วเขมรสามารถยก หรือถอดประสาทพระวิหารกลับไปตั้งในเขตแดนของตนเองได้หรือป่าวล่ะคะ อาจารย์  Mr. Green Laughing Mr. Green

ตรงนั้น มีที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ของไทยตั้งเด่นเป็นสง่าเชียวค่ะท่าน


บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #8 เมื่อ: 22-06-2008, 19:33 »

กล้าพูดขนาดนี้ แล้วยังเสือกบอกอีกว่าในอนาคต คนจะเกลียดคนจีน

เขียนออกมาแบบนี้แหละดีละ
ชาวบ้านเขาจะเลือกตัดสินใจเองหรอก

ผมอยากให้ทางด่วนผ่านบ้านมันจัง
เวนคืนที่มันแล้วจ่ายถูกๆ

เมื่อยามที่รัฐบาลไทยต้องการที่ดินบ้านมัน มันจะดิ้นพล่านมะ
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
ตี๋ สักมังกือ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174


« ตอบ #9 เมื่อ: 22-06-2008, 19:41 »

โชคดีของประเทศไทย ที่


ไม่มีคนอย่างไอ้ใจ เป็นคนไทย


ส่วนคดีที่มันพาคนบุกรัฐสภาไทย ปิด บังคับ ขู่เข็ญ มิให้สมาชิก ทำหน้าที่

ขอให้ศาลไทย พิจารณาลงโทษสูงสุดตามอัตรากฎหมายไทย



ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช
บันทึกการเข้า
meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 22-06-2008, 19:44 »

ความคิดช่างตื้นเขินเสียจริงๆ

พูดมาได้ไงว่าไม่เกี่ยวกับปัญหาปากท้อง

หรือบ้านจานแกไม่ได้อยู่แถวนั้น ก็เลยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนอะไรกันหรือเปล่า

ทำเป็นพวกคนลืมตัว วัวลืมตีน คิดว่าไปร่ำเรียนเมืองนอกเมืองนาเชื่อฝรั่งมังค่า แล้วจะทำให้ตัวเองดูดี

นี่ถ้ามันบอกว่าถ้ายกประเทศไทยให้พวกมันแล้วปัญหาปากท้องจะหมดไป มันก็คงยอมกันละ

พวกสิ้นคิด
บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #11 เมื่อ: 22-06-2008, 19:46 »

โชคดีของประเทศไทย ที่


ไม่มีคนอย่างไอ้ใจ เป็นคนไทย


ส่วนคดีที่มันพาคนบุกรัฐสภาไทย ปิด บังคับ ขู่เข็ญ มิให้สมาชิก ทำหน้าที่

ขอให้ศาลไทย พิจารณาลงโทษสูงสุดตามอัตรากฎหมายไทย



ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช


คนละคน นั่นพี่เขา จอน คนนี่ใจ หัวหน้าพรรค
บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #12 เมื่อ: 22-06-2008, 20:08 »

พอดีกลับบ้านนอก เลยแวะพื้นที่ศรีสะเกษ

ชาวบ้านฉลาดกว่าที่คิดครับ
เขาสาปแช่งไอ้ตาเขกระหึ่ม เขารู้กันหมด ว่าไอ้เหล่มันเซ็นยินยอมมอบเขาพระวิหารไปแล้ว

หากยกให้เขมรไปแล้ว เราจะเสียบันไดทางขึ้นตั้งแต่ขั้นที่ 1 ไปถึงขั้นที่ 160 กว่า และกินบริเวณขอบสองข้างไปอีก 4 เมตร

ชาวศรีสะเกษฐานเสียงไทยรักไทยไม่มีใครรับได้กับการขายชาติในครั้งนี้

ไม่มีอะไรทำลายพวกมันได้เท่าพวกมันทำลายกันเอง

ส่วนศาลปกครองที่สมัครบอกว่าเขาคงไม่โง่ตามพันธมิตร
เรื่องนี้ไม่มีใครโง่หรือไม่โง่ หากตอบตรงนี้ก็สามารถตอบได้ทันทีครับว่าคำสั่งไอ้เหล่ โดนศาลปกครองสังหารแน่
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #13 เมื่อ: 22-06-2008, 20:17 »

โบราณบอกไว้ว่า
ในทุกท้องของคนเป็นแม่ที่มีลูกมากกว่า 1
จะต้องติดลูก "ล้างตระกูล"
หรืออย่างแย่น้อยที่สุด ก็คือ "ทำตัวแปลกแยก"
มาด้วย 1 คนเสมอ
บันทึกการเข้า

西施无情
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 456


ไซซีไ้ร้ใจ


« ตอบ #14 เมื่อ: 22-06-2008, 20:21 »

ไม่ใ่ช่คนไทย ก็ดีแล้วค่ะ แล้วเมื่อไหร่ คุณใจ อึ้งภากรณ์จะกลับประเทศของตัวเองซะทีคะ อยู่ประเทศคนอื่นนานๆ ไม่รู้สึกถึงข้าวแดงแกงร้อนบ้างหรือ?
บันทึกการเข้า

我愛你, 陈一冰,
Register_AC
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 119



« ตอบ #15 เมื่อ: 22-06-2008, 20:24 »

เผอิญไม่ค่อยมีความรู้ ...


แต่คนเขียนนี่เค้าเป็นใครหรอครับ มีฐานะสังคมอย่างไร
อ่านแล้วเหมือนเป็นคนถ่***ๆ ใช้อารมณ์ในการเขียนหนังสือมากกว่าใช้สมองอะครับ

ไม่ทราบจริงๆ อะ ลองอ่านดูจิ
บันทึกการเข้า
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #16 เมื่อ: 22-06-2008, 20:36 »

เผอิญไม่ค่อยมีความรู้ ...


แต่คนเขียนนี่เค้าเป็นใครหรอครับ มีฐานะสังคมอย่างไร
อ่านแล้วเหมือนเป็นคนถ่***ๆ ใช้อารมณ์ในการเขียนหนังสือมากกว่าใช้สมองอะครับ

ไม่ทราบจริงๆ อะ ลองอ่านดูจิ

อาจารย์ประจำคณะ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

และหัวหน้าพรรคแนวร่วมภาคประชาชน
บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
Sweet Chin Music
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,613



« ตอบ #17 เมื่อ: 22-06-2008, 20:44 »

ไม่ใช่คนไทย แล้วมาเสือกอะไรกับประเทศตรูว่ะ

เสร่อ สราด
บันทึกการเข้า


You'll Never Walk Alone
เข้าไปกันได้ค๊าป- - - >http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sweetchinmusic&group=1
morning star
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119


don't let them make up your mind


« ตอบ #18 เมื่อ: 22-06-2008, 20:48 »




อ่านดูแล้วต่อไปอาจต้องเอาพระแก้วมรกตคืนลาวไปด้วย
บันทึกการเข้า

อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
prinz_bismarck
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 156


« ตอบ #19 เมื่อ: 22-06-2008, 21:05 »

ถ้าหากมันได้อำนาจการปกครองประเทศ มันขายชาติแน่ครับ มันก็ประกาศตัวชัดแล้วว่า มันไม่ใช่คนไทย
น่าเสียดาย นายป๋วยมีลูกขายชาติแบบไอ้ใจ
บันทึกการเข้า
西施无情
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 456


ไซซีไ้ร้ใจ


« ตอบ #20 เมื่อ: 22-06-2008, 21:06 »

ไม่ใช่คนไทย แล้วมาเสือกอะไรกับประเทศตรูว่ะ

เสร่อ สราด



สะใจแบบบอกไม่ถูกแฮะ
   
บันทึกการเข้า

我愛你, 陈一冰,
คนกวาดขยะ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 147



« ตอบ #21 เมื่อ: 22-06-2008, 21:14 »

"เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะบนยอดเขานั้นมีปราสาทหินจากยุคอาณาจักรเขมร สมัยอาณาจักรเขมร “ชนเผ่าไท” ยังด้อยพัฒนาอยู่มาก เป็นคนป่า ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรไม่ดีหรอก แต่ต้องยอมรับความจริง เขมรเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดที่มีในไทยภายหลัง แถมนักประวัติศาสตร์ยังมองว่ากษัตริย์สุโขทัยเป็นคนเขมรอีกด้วย วัฒนธรรมและศีลปะจำนวนมากที่อ้างกันว่าเป็นแบบ “ไทยๆ” ก็ลอกมาจากเขมรทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อเราไปดูนครวัด

 
ถ้าเขาพระวิหารเป็นของเขมร พิมาย ควรเป็นของเขมรหรือไม่? ในแง่หนึ่งมันเป็นของเขมรอยู่แล้ว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมรในอดีต แต่ตอนนี้มันอยู่ใจกลางผืนแผ่นดินที่กษัตริย์กรุงเทพฯก่อตั้งขึ้นมาเป็นรัฐชาติไทยไปแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้นการที่จะไปยกให้เขมรก็คงไม่สมควร และรัฐบาลเขมรก็ไม่ได้เรียกร้องด้วย แต่ในกรณีเขาพระวิหาร มันอยู่บนยอดเขาตรงเส้นพรมแดน ที่กรุงเทพฯ กับปารีส เคยขีดเอาไว้ ไม่มีหมู่บ้านประชาชนอยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเถียงอะไรบ้าๆ บอๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

ท่าทีที่ดีที่สุดของภาคประชาชนต่อเรื่องนี้คือ พูดออกมาเลย ฟันธงเลย “เขาพระวิหารเป็นของเขมร”

 
ใจ อึ๊งภากรณ์
(ผมไม่ใช่ “คนไทย” ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ)


จากข้อความข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่า ไอ้ใจ ไม่มีความรุ้ความเข้าใจเรื่อง ภูมิศาสตร์และชาติพันธุ์ ในดินแดนแถบนี้เลย หรือไม่ก็ไม่สนใจที่จะรู้ แค่เพียงได้ออกมาแสดงความเห็นเพื่อต้านพันธมิตรเท่านั้น

มันบอกชัดว่ามันไม่ใช่คนไทย มันเลยไม่มีสำนักในความเป็นไทย แล้วมึงมาอยู่แผ่นดินนี้ทำไม

ผมล่ะปวดใจที่มีคนชนิดนี้ถือสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่คอยทำลายประเทศมาโดยตลอด

มันบอกว่ามันไม่ใช่คนไทย ผมขอเรียกร้องให้ช่วยกันไล่มันออกไปจากประเทศไทยครับ

คนจีน คนอินเดีย ที่มาอยุ่ในดินแดนนี้ ต่างก็รักในถิ่นที่อยุ่ ถือเป็นบ้านที่ต้องช่วยกันหวงแหน

แต่ไอ้บ้านี่ไม่เพียงไม่คิดหวง ยังคิดแต่ทำลายบ้านที่มันมาอาศัยอยู่อีกด้วย  ไอ้จั*** ไร[/color]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 21:31 โดย คนกวาดขยะ » บันทึกการเข้า

สังคมไทยวิบัติ มาช่วยกันปฏิวัติสังคมใหม่กันเถอะ
An.mkII
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,984


Out of kontrol....!!!!!


เว็บไซต์
« ตอบ #22 เมื่อ: 22-06-2008, 21:15 »

ว่ากันด้วยเหตุผลน่ะครับ...

ว่าถ้าในกรณีนี้มันมีเบื้องหลังจริงๆ  ที่เป็นผลประโยชน์ระหว่าง ฮุนเซนกะทักษิณ.. ในประเด็นธุรกิจการค้า..

แล้วผมก็จะถามว่าแล้ว แบบนี้มันจะเกี่ยวกะเรื่องคุณใจที่ว่าไม่เกี่ยวรึไม่ สมองแบบคุณใจจะพอคิดได้รึไม่ครับ


อ้างถึง

ช่วยแก้ปัญหาอาหารน้ำมันแพงหรือไม่?

ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยหรือไม่?

ช่วยสร้างรัฐสวัสดิการหรือไม่?

ช่วยขยายสิทธิเสรีภาพของสตรี หรือคนรักเพศเดียวกัน หรือกลุ่มชาติพันธ์หรือไม่?

แก้ปัญหาโลกร้อนหรือไม่? ทำให้รายได้ลูกจ้างลดลงหรือไม่? ทำให้ชาวนารายย่อยล้มละลายมากขึ้นหรือไม่?


ปล. ผมว่าคุณใจไ่ม่ใช่คนจีน ครับ เพราะคุณจีนที่ดี เขาย่อมมีความรู้สึกสำนึกรักมีความกตัญญู ต่อที่ ที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ ซึ่งในที่นี้ก็คือเเผ่นดินไทย

แต่ในเมื่อคุณใจไม่มี ผมกว่าคุณใจไม่ใช่คนจีน และคณใจทำให้คนจีนดีๆเขาต้องเเปดเปื้อนซะด้วย



อ้อ..และผมก็พูดในฐานคนที่มีเชื้อสายจีนคนหนึ่ง..ครับ  ที่มีความสำรึกรักบ้านเกิดเมืองนอน


ตามความคิดความอ่านความรู้จักผิดชอบชั่วดีในฐานะพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า คน

เพราะถ้าใครไม่ใช่ คน ที่กตัญญู รู้บุณคุณคน รู้บุณคุณเเผ่นดินที่อยู่ มันก็เป็นได้แค่สัตว์ชั้นต่ำ ที่ยังด้อยการพัฒณาการทางด้านสมอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 21:20 โดย An.mkII » บันทึกการเข้า
morning star
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119


don't let them make up your mind


« ตอบ #23 เมื่อ: 22-06-2008, 21:38 »


เค้าอาจจะคิดว่าตัวเองมีสำนึกในความเป็นมนุษย์สูง จนไม่ต้องคำนึงถึงสำนึกในความเป็นชาติ

อาจจะคิดว่าถ้าปราศจากสำนึกในความเป็นชาติ โลกจะน่าอยู่ขึ้น

แต่ผมมีคำถามว่า ถ้าปราศจากแผ่นดินและครอบครัวอันเป็นที่รัก โลกนี้จะน่าอยู่จริงหรือเปล่า?
บันทึกการเข้า

อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
Cylonn
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 137


« ตอบ #24 เมื่อ: 22-06-2008, 21:38 »

เพิ่งกระจ่างใจวันนี้เองว่าทำไมมันออกมาเห่าเฉพาะตอน คมช.

ชัดเจนอย่างนี้จะได้เรียกไอ้ใจถนัดปากหน่อย ไม่รู้แม่งเป็นลูกภาษาอะไร จำไม่ได้ว่าไอ้พวกที่อยู่กะไอ้แม้วมันทำอะไรกับอ.ป๋วยไว้บ้าง

ถ้าเชื่ออย่างที่มึงบอก ไอ้พวกหัวแดงเลือดเดียวกะมึงต้องออกจากอเมริกา ต้องออกจากออสเตรีย และที่อื่นๆในหลายภูมิภาคของโลก

ตรรกะกระบือจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 21:45 โดย Cylonn » บันทึกการเข้า
jrr.
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 670


« ตอบ #25 เมื่อ: 22-06-2008, 21:39 »

อ่านดูแล้วต่อไปอาจต้องเอาพระแก้วมรกตคืนลาวไปด้วย

...........................................................

อาจจะลามไปถึง....อเมริกา ต้องคืนดินแดนให้อินเดียนแดงไปด้วย !!!

ไอ้เวรเอ๊ย.....เอ็งไปจ้าง mega mover...ไปรื้อถอนพระวิหารไปตั้งในดินแดนเอ็งเลยดีกว่า !!!
บันทึกการเข้า
西施无情
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 456


ไซซีไ้ร้ใจ


« ตอบ #26 เมื่อ: 22-06-2008, 21:42 »

ใจ อึ้งภากรณ์ เป็นลูกของ ป๋วย อึ้งภากรณ์

แล้ว จอห์น อึ้งภากรณ์ ละคะ เขาเป็นอะไรกับป๋วย
บันทึกการเข้า

我愛你, 陈一冰,
GuoJia
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 114


« ตอบ #27 เมื่อ: 22-06-2008, 21:44 »

ไอ้ใจรัน!!! 
บันทึกการเข้า

พ่อ :    ในทุก ๆ การแข่งขันนี่นะ
   ผู้ชนะจะมีอยู่ 20%
   ส่วนผู้แพ้จะมีอยู่ 80%
   ลูกอยากจะอยู่ใน 20% หรือ อยากอยู่ใน 80%
ลูก :   แปดสิบ
พ่อ :   ทำไมล่ะลูก
ลูก :   ก็มันเยอะกว่า
พ่อ :   .........

จากหนังเรื่อง Dreamteam
นิรนาม
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 554



« ตอบ #28 เมื่อ: 22-06-2008, 21:45 »

ตามประวัติศาสตร์และคำบอกเล่า บรรพบุรุษผมอพยพมาจากดินแดนในประเทศลาวปัจจุบัน
คนสุรินทร์กว่าครึ่งจังหวัดพูดภาษาเขมร ผมพูดภาษากูย (ส่วย)

ผมเกิดห่างจากปราสาทศีขรภูมิที่ชาวขอมโบราณมาสร้างไว้ก่อนมีกรุงสุโขทัยไม่ถึง ๑ กม.
และเติบโตท่ามกลางวัฒนธรรมเขมร, ลาว, กูย ในจังหวัดสุรินทร์

แต่ผมภูมิใจที่ได้เกิดใต้พระบรมโพธิสมภาร
ภูมิใจในความเป็น "คนไทย"
และไม่อกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด 
บรรพบุรุษทางพ่อผมอพยพมาจากทางตอนใต้ของประเทศลาว ส่วนบรรพบุรุษทางฝ่ายแม่มาจากทางตอนเหนือของประเทศลาว
บรรพบุรุษทั้งทางฝ่ายพ่อ ฝ่ายแม่ผมพูดภาษา "ลาว" หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า "ไทยอีสาน"
คุณปู่ผมเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านสระกำแพงใหญ่ บ้านอยู่ห่างจากปราสาทหินสระกำแพงไม่ถึง 200 เมตร
แต่บังเอิญผมไปโตอยู่ศีขรภูมิ บ้านอยู่ข้าง ๆ สถานีรถไฟ ห่างจากปราสาทศีขรไม่ถึงกิโลเมตร เลยติดนิสัยพูด "ลาว" ไม่ได้ไปซะงั้น
สมัยเรียนมัธยมปลายอยู่ ศภส.เดินผ่านปราสาทศีขรทุกวัน

แม้บรรพบุรุษฝ่ายพ่อ,ฝ่ายแม่ของผมจะมาจากประเทศลาว แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้เกิดอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งองค์บูรพมหากษัตริย์ไทย

และภูมิใจในความเป็น "คนไทย"
แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะขายชาติหรือยกแผ่นดินให้ต่างชาติเหมือนกับนักการเมืองเลว ๆ บางคนในยุคนี้

ขอยืนยัน....ว่าเมื่อปี 2532 ผมเป็นคณะแรก ๆ ที่ขึ้นไปสำรวจปราสาทพระวิหารร่วมกับคณะ "คุณชายจักรรส - มล.เติมแสง" เมื่อครั้งที่ยังอยู่สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ
บนทางขึ้นปราสาทพระวิหารก่อนถึงลานนาคราช มีรั้วลวดหนามและประตูปิดเปิดอยู่ตรงนั้น พอขึ้นไปถึงประตูต้องตะโกนเรียกทหารเขมรที่อยู่บริเวณปราสาทหลังที่ 1 ให้มาเปิดประตูให้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 21:54 โดย นิรนาม » บันทึกการเข้า

"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ  จันดำ
ถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
      นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน
“บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา”
An.mkII
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,984


Out of kontrol....!!!!!


เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 22-06-2008, 21:54 »

ใจ อึ้งภากรณ์ เป็นลูกของ ป๋วย อึ้งภากรณ์

แล้ว จอห์น อึ้งภากรณ์ ละคะ เขาเป็นอะไรกับป๋วย


จอห์น อึ้งภากรณ์
ปัจจุบันอายุ 60 ปี  รู้จักกันดีทำงานสายเอ็นจีโอมาตลอด และถูกเลือกเป็นส.ว.กทม.ครั้งแรก 

  เขาเป็นบุตรชายคนโต ของ"ดร.ป๋วย  อึ้งภากรณ์ " จากพี่น้อง 3 คน ที่มี อ.ใจ  อึ้งภากรณ์ และ ไมตรี อึ้งภากรณ์

  และล่าสุดได้รับเลือกเป็นหนึ่่งในคณะผู้บริหารทีวีไทย ทีวีสาธารณะชุดใหม่ครับ
บันทึกการเข้า
西施无情
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 456


ไซซีไ้ร้ใจ


« ตอบ #30 เมื่อ: 22-06-2008, 22:06 »

ขอบคุณค่ะ

นามสกุลดัง แต่ืชื่อคนไ่ม่คุ้นค่ะ 

อุดมการณ์ของลูกกับพ่อ ....

สับสน NGO กับ NGV   
บันทึกการเข้า

我愛你, 陈一冰,
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #31 เมื่อ: 22-06-2008, 22:08 »

ผมว่าตัวจอน เป็นคนที่ใช้ได้กว่าน้องนะ

อาจจะเพราะว่าแก่กว่า และมองอะไรมุมกว้างกว่า

ดูจากข้อเขียนของเขาหลายๆครั้ง
บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
นิรนาม
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 554



« ตอบ #32 เมื่อ: 22-06-2008, 22:10 »

ผมไม่รู้จะเขียนอะไร ขออนุญาตยกข้อเขียนจากบางส่วนของหนังสือ “ไทยแพ้คดี เสียดินแดนให้เขมร” เขียนโดย บุญร่วม เทียมจันทร์ ประภาส เฉลยมรรค และ ศรัญญา วิชชาธรรม มาให้อ่านกันเอาเองดีกว่า      
รัฐบาลไทยประท้วง คำตัดสินของศาลโลก
       ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๐๕ หลังจากศาลโลกตัดสินแล้ว ๒๐ กว่าวัน รัฐบาลไทยโดย ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยัง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลกโดยอ้างว่าคำพิพากษานั้นขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม
       นอกจากนี้ ยังสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมาในอนาคตด้วย

       ต่อไปนี้เป็นคำประท้วง
       “ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่จะอ้างถึงคดีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ซึ่งได้นำขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยคำร้องเริ่มคดีฝ่ายเดียวของกัมพูชา เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ค.ศ.๑๙๕๙ (พ.ศ.๒๕๐๒) และซึ่งศาลได้พิพากษา เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๖๒ (พ.ศ.๒๕๐๕) ยอมรับนับถืออธิปไตยของกัมพูชาเหนือซากของปราสาทพระวิหาร  
   “ในแถลงการณ์เป็นทางการลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ค.ศ.๑๙๖๒ (พ.ศ.๒๕๐๕) รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ประกาศต่อประชาชนแสดงความไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลที่กล่าวข้างต้น โดยมีเหตุผลว่า ตามความเห็นของรัฐบาล คำพิพากษาขัดต่อข้อกำหนดอันชัดแจ้งของบทที่เกี่ยวเนื่องของสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ. ๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) และขัดต่อหลักกฎหมาย และความยุติธรรมแต่อย่างไรก็ดีรัฐบาลก็ยังแถลงว่าในฐานะที่เป็นสมาชิสหประชาชาติ รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะปฏิบัติตามพันธกรณีที่ตนมีอยู่ตามคำพิพากษาดังกล่าว เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ตามข้อ ๙๔ ของกฎบัตร
   “ข้าพเจ้าใคร่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า ในการตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในคดีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารนั้น รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรารถนาที่จะตั้งข้อสงวนอันชัดแจ้งเกี่ยวกับสิทธิใดๆ ที่ประเทศไทยมีหรืออาจมีในอนาคต เพื่อเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมา โดยอาศัยกระบวนการกฎหมายที่มีอยู่หรือที่จะพึงนำมาใช้ได้ในภายหลัง และตั้งข้อประท้วงต่อคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา”
   “ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงรู้สึกเป็นเกียรติที่จะแจ้งข้อความข้างต้นให้ท่านทราบ พร้อมกับขอให้ท่านแจ้งข้อความในหนังสือฉบับนี้ ให้สมาชิกทั้งปวงขององค์การนี้ทราบทั่วกันด้วย”

      
บันทึกกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีเขาพระวิหาร
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕ กระทรวงการต่างประเทศ (ดร.ถนัด คอมันตร์ รมต.กระทรวงการต่างประเทศ) ได้ทำบันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีเขาพระวิหาร ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดของคำพิพากษาของศาลโลก รวม ๑๒ ประเด็น เสนอการประชุมคณะรัฐมนตรี รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี นับว่าเป็นประโยชน์แก่นักกฎหมายและประชาชนโดยทั่วไป

บันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร
   ๑.เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิพากษาว่า ซากปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา โดยอาศัยเหตุผลแต่เพียงว่า ประเทศไทยได้นิ่งเฉยมิได้ประท้วงแผนที่ฝรั่งเศสฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งมาให้รัฐบาลไทยใน ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) แล้ว แผนที่ฉบับนี้ เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสเป็นผู้ทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว แต่บังเอิญมีเครื่องหมายแสดงซากปราสาทพระวิหารไว้ในเขตกัมพูชา
   ๒.คดีปราสาทพระวิหารนี้ เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยเหนือซากปราสาทพระวิหาร ประเด็นสำคัญซึ่งที่พึงพิจารณา คือ การปักปันเขตแดน ถ้าได้มีการปักปันเขตแดนที่ถูกต้องแล้ว กรรมสิทธิ์ในปราสาทพระวิหารก็จะตกเป็นของไทยอย่างไม่มีปัญหา แต่เหตุผลที่ศาลนำมาเป็นหลักในการวินิจฉัยคดี มิใช่หลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยกรรมสิทธิ์ หรือการได้มาซึ่งอธิปไตยแห่งดินแดน หรือจารีตประเพณีในการปักปันเขตแดน ซึ่งย่อมคำนึงถึงบทนิยมเขตแดนในสนธิสัญญากำหนดเขตแดนและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการปักปันเป็นสำคัญแต่กลับไปใช้หลักกฎหมายทั่วไปมาหักล้าง เจตนาของคู่สัญญาว่าในบริเวณที่พิพาทให้ถือสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน ศาลจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องชี้ขาดว่า เส้นสันปันน้ำที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ถ้าศาลได้ยกข้อนี้ขึ้นพิจารณาแล้วก็จะต้องตัดสินว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตไทยอย่างไม่มีข้อสงสัย แม้แต่ความเห็นเอกเทศของผู้พิพากษา เซอร์ เจรัลด์ ฟิตซ์ มอริส ก็ยังได้ยอมรับในทัศนะนี้
   ๓.ความเคารพพันธกรณีตามสนธิสัญญา เป็นรากฐานสำหรับความแน่นอนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ว่าคำพิพากษาของศาลในคดีนี้ ในขณะเดียวกับที่แสวงหาความแน่นอนและความสิ้นสุดยุติของข้อพิพาท คำพิพากษานี้เองกลับก่อให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้น และหาได้พัฒนาไปในแนวนั้นไม่
   ๔.กัมพูชาได้บรรยายฟ้องว่า แผนที่ภาคผนวก ๑ ซึ่งมีเส้นเขตแดนแสดงปราสาทพระวิหารไว้ในกัมพูชานั้น มีผลผูกพันไทย เพราะเป็นแผนที่ซึ่งคณะกรรมการผสมปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) ได้ทำขึ้นทั้งๆ ที่ศาลยอมรับฟังข้อโต้เถียงของไทยว่า แผนที่ภาคผนวก ๑ นั้น ไม่มีผลผูกพันประเทศไทย เพราะเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสและกัมพูชาเป็นผู้ทำขึ้น เมื่อพ้นจากหน้าที่ในคณะกรรมการปักปันแล้ว (คำพิพากษาหน้า ๒๑) โดยฝ่ายไทยมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องและมิได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผสม แต่ศาลกลับวินิจฉัยต่อไปว่า สำหรับปราสาทพระวิหารที่พิพาทนั้น มีเครื่องหมายแสดงไว้ชัดเจนในแผนที่นั้นว่าอยู่ในเขตกัมพูชา และฝ่ายไทยก็มิได้ประท้วงหรือคดค้านแต่ประการใด แต่ได้นิ่งเฉยเป็นเวลานาน ซ้ำยังได้พิมพ์แผนที่ขึ้นอีก แสดงเส้นเขตแดนเช่นเดียวกะภาคผนวก
   ๕.ศาลได้พิพากษาว่าประเทศไทยเสียสิทธิในการที่จะต่อสู้ว่าปราสาทพระวิหารมิใช่ของกัมพูชา โดยที่ศาลเองก็ยังลังเลใจไม่กล้าระบุชัดลงไปว่าเป็นหลักใดแน่ จะเรียกว่า estoppel หรือ preclusion prescription หรือ acquiescence ก็ไม่ใคร่ถนัดนัก เพราะแต่ละหลักนั้น ไม่อาจนำมาใช้กับข้อเท็จจริงในคดีได้
   ก.ถ้าศาลจะแสดงออกมาว่าเป็นหลัก estoppel หรือ preciusion ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นหลักกฎหมายปิดปาก ก็เป็นการยอมรับว่าทั้งๆที่ข้อเท็จจริงทางภูมิประเทศปรากฏอยู่ตำตาแล้วว่า แผนที่ภาคผนวก ๑ มิได้เป็นไปตามเส้นปันน้ำประเทศไทยก็ยังถูกปิดปากมิให้โต้แย้งหลักนี้นอกจากจะเป็นการไม่เป็นธรรม ในกรณีที่เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยแห่งดินแดนของรัฐอันเป็นเรื่องสำคัญเช่นนี้แล้ว ยังจะต้องอาศัยข้อพิสูจน์ว่า ประเทศไทยได้กล่าวหรือกระทำการใดมาก่อน ซึ่งเป็นการแสดงอย่างชัดแจ้งว่าไทยเชื่อและยินยอมว่าพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่กัมพูชาก็มิอาจพิสูจน์ได้ นอกจากนี้ ตามหลักกฎหมายปิดปาก กัมพูชาจะต้องแสดงว่าการกระทำต่างๆ ของไทยทำให้กัมพูชาหรือฝรั่งเศสหลงเชื่อ จึงไดทำกิจสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นโดยเข้าใจผิด และไทยโต้แย้งไม่ได้ ซึ่งหาตรงกับข้อเท็จจริงในคดีความนี้ไม่ เพราะแผนที่ซึ่งไทยโต้แย้งว่าผิดจากสันปันน้ำ ได้ทำขึ้นก่อนการกระทำใดๆ ของไทย
   ข.ถ้าศาลจะแสดงออกมาว่าเป็นหลัก Prescription หรืออายุความได้สิทธิสำหรับกัมพูชาและเสียสิทธิสำหรับไทยศาลก็จะต้องอาศัยข้อพิสูจน์ว่ากัมพูชาได้ใช้อธิปไตยในการครอบครองที่เป็นผลโดยสงบเปิดเผยและโดยปรปักษ์ เป็นเวลาต่อเนื่องกันพอสมควร (คำพิพากษาหน้า ๓๒)พูดถึงระยะเวลา ๕๐ ปี แต่ศาลก็มิได้ลงเอยว่ากัมพูชาได้สิทธิตามหลักอายุความ เพราะนอกจากจะไม่มีหลักฐานสนับสนุนแต่ประการใดแล้ว ยังเป็นการฝืนต่อเหตุผลแห่งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายด้วย เพราะไทยก็ได้พิสูจน์ให้ศาลเห็นเป็นอย่างชัดแจ้ง ซึ่งศาลเองก็ได้ยอมรับ(คำพิพากษา หน้า ๓o) แล้วว่า ฝ่ายไทยก็ไดใช้อำนาจการปกครองในบริเวณปราสาทพระวิหารเสมอมา
   ค.ถ้าศาลจะแสดงออกมาว่า เป็นหลัก Acquiescence หรือการสันนิษฐานว่ายอมรับโดยนิ่งเฉย ก็มีความหมายว่าไทยกับฝรั่งเศสได้ทำความตกลงขึ้นใหม่ เพื่อใช้แทนบทบัญญัติในสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๕๕๐) ซึ่งก็จะเป็นการขัดต่อเหตุผลและข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน เพราะในสนธิสัญญาต่อๆ มา คือ ใน ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๕) และ ค.ศ.๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐) ทั้งไทยและฝรั่งเศสกลับยืนยันข้อบทแห่งสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ. ๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ในเรื่องเขตแดนว่าเป็นไปตามสันปันน้ำ
   ผู้พิพากษาอาลฟาโร ได้ให้ความเห็นเอกเทศไว้ว่าคำพิพากษาไม่อธิบายถึงหลักเหล่านี้เพียงพอจึงได้อ้างอิงหลักอื่นๆ ทำนองนี้อีก คือ หลักปิดปากและหลักสันนิษฐานว่ามีการยินยอม เพราะมิได้มีการประท้วง หรือคัดค้าน หรือตั้งข้อสงวน หรือมีการสละสิทธิ์ นิ่งเฉย นอนหลับทับสิทธิ์ หรือสมยอมแต่ผู้พิพากษาอาลฟาโรเอง ก็มิได้ปักใจลงไปแน่นอนว่าจะยึดถือหลักใดเป็นเกณฑ์
   สรุปได้ว่า ศาลยังไม่แน่ใจทีเดียวว่าจะนำหลักใดในบรรดาหลักที่กล่าวถึงข้างต้นมาปรบกับคดีปราสาทพระวิหารนี้ และหลัก acquiescence ที่นำมาใช้นั้นก็เป็นหลักใหม่สำหรับเรื่องแผนที่ เหตุไฉนจึงนำหลักใหม่นี้ไปใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกาลเวลาที่ล่วงเลยมาแล้วกว่า ๕๐ ปี เป็นที่เสียหายแก่ฝ่ายไทยเล่า เพราะหลักนี้เอง ถ้าจะนำมาใช้กับแผนที่ในกาลปัจจุบันก็ยังเป็นหลักที่นักนิติศาสตร์กำลังถกเถียงกันอยู่

ข้อความค่อนข้างยาว ผมขออนุญาตตัดแบ่งเป็นสองตอนนะครับ
บันทึกการเข้า

"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ  จันดำ
ถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
      นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน
“บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา”
Iona
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 271


« ตอบ #33 เมื่อ: 22-06-2008, 22:11 »

ลบให้ จะได้อ่านต่อเนื่อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 22:15 โดย Iona » บันทึกการเข้า

เงินงบประมาณของประเทศที่นำไปใช้จ่ายต่างๆ มาจาก การจัดเก็บภาษีที่เราประชาชนคนไทยทุกคนต้องจ่ายกันอยู่แล้วทั้งจากภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม(vet 7) (ขอย้ำว่าทุกคนเพราะเมื่อเราได้ซื้อสินค้าใดๆ สินค้านั้นยอมมีต้นทุนมาจากการเสียภาษีแล้ว) หรือจากการจัดเก็บจากทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทยทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราปกป้องรักษา ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดิน แผ่นน้ำ ใต้แผ่นดิน ใต้แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อวกาศ

เงินงบประมาณของประเทศ ไม่ได้มาจากเงินของคนใดคนหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่มีใครสมควรอย่างยิ่งที่จะแอบอ้างว่าเงินนี้เป็นของตนนำมาแจกจ่าย การแอบอ้างนั้น เป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และไม่ยุติธรรมต่อความรู้ของทุกๆคนในประเทศที่ต้องเสียภาษี

อย่าโทษหรือด่าว่า คนที่เค้าไม่มีโอกาศเข้าถึงข่าวสารข้อมูล ปัญหาจะแก้ได้คือ ทำอย่างไรให้เค้าเหล่านั้น ได้เข้าถึงข่าวสารข้อมูล

หลอกคนไทยตลอดไป คิดว่าหลอกได้หรือ? รัฐบาลของทักษิณ

เป็นเรื่องแปลก...สิ่งที่คนโกงกลัวที่สุดคือ ....ไม่ได้มีชีวิตเพื่อใช้เงินที่โกงมา? ประวัติศาสตร์โลกมีให้เห็น
นิรนาม
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 554



« ตอบ #34 เมื่อ: 22-06-2008, 22:12 »

ตอนที่สองนะครับ
๖. ศาลได้ยึดถือเอาภาษิตลาตินที่ว่า “ผู้ที่นิ่งเฉยเสียเมื่อควรจะพูดและสามารถพูดได้นั้น ให้ถือเสมือนยินยอม” (Qui tacet consentire videtur si loqui debuiset sc potuisset) ในหน้า ๒๓ ของคำพิพากษา ซึ่งเป็นหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้กับคดีปราสาทพระวิหาร ย่อมขัดต่อเหตุผลทั้งในแง่กฎหมายและในแง่ความยุติธรรม
   ก.ในแง่กฎหมาย ศาลหาได้คำนึงไม่ว่า หลักที่ศาลยืมมาใช้จากหลักกฎหมายทั่วไปนี้ เป็นที่ยอมรับนับถือกันในภูมิภาคเอเชียนี้หรือไม่ เพราะหลักนี้มิใช่หลักกฎหมายระหว่างประเทศสากล ศาลควรจะคำนึงถึงจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นด้วยอนึ่ง หลักกฎหมายทั่วไปไม่พึงนำมาใช้กับกรณีที่มีสนธิสัญญากำหนดเส้นเขตแดนที่แน่นอนแล้ว เพราะเป็นเพียงหลักย่อยหลักหนึ่ง ต่อเมื่อไม่ใช่เรื่องที่สนธิสัญญาระบุไว้อย่างชัดแจ้ง จึงอาจพิจารณาปฏิบัติกรรมของไทยได้
   ข.ในแง่ความยุติธรรม ศาลได้เพ่งพิจารณาแต่เพียงปฏิบัติกรรมของไทย และสันนิษฐานเอาเองว่า การที่ไทยนิ่งเฉยไม่ประท้วง แปลว่า ไทยยินยอม แต่ศาลหาได้พิจารณาถึงปฏิบัติกรรมของฝรั่งเศสและกัมพูชาไม่ ซึ่งถ้าได้พิจารณาแล้วก็จะพบว่า ฝรั่งเศสเองก็มิได้ถือว่าแผนที่ภาคผนวก ๑ นั้นผูกพันแต่ประการใด จึงมิได้ประท้วงการครอบครองพระวิหารของไทยจนกระทั่ง ค.ศ.๑๙๔๙ (พ.ศ.๒๔๙๒) และเมื่อทำการประท้วงก็มิได้อ้างแผนที่ภาคผนวก ๑ ว่ามีผลผูกพัน แต่คงอ้างหลักสันปันน้ำซึ่งกำหนดไว้ในสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงในสายตาหาได้เข้าใจถึงความเป็นอยู่ และปฏิบัติการของรัฐสมัยนั้นในภูมิภาคเอเชียไม่ โดยเฉพาะศาลไม่พยายามเข้าใจถึงสถานะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย ในเอเชียในขณะนั้น ซึ่งมีประเทศเอกราชอยู่ไม่กี่ประเทศ และต้องเผชิญกับนโยบายจักรวรรดินิยมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก ตรงกันข้าม ผู้พิพากษาส่วนมากกลับพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนการแผ่ขยายอาณานิคมของประเทศตะวันตก (หน้า ๓๔-๓๕) ซึ่งโดยแท้จริงแล้วผู้พิพากษาเหล่านั้นไม่มีหน้าที่ที่จะต้องกระทำเช่นนั้นเลย
       จึงสรุปได้ว่า คำพิพากษาของศาล นอกจากมิได้ใช้หลักกฎหมายที่ถูกต้องดังจะแจ้งรายละเอียดในข้อต่อไปแล้ว ยังไม่ตรงต่อหลักความยุติธรรมอันเป็นหลักหนึ่ง ซึ่งบัญญัติไว้ในหลักกฎบัตรสหประชาชาติควบคู่กับกฎหมายระหว่างประเทศและมีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่ากัน นักนิติศาสตร์ย่อมทราบดีว่าการให้ความยุติธรรมอย่างเดียวนั้น ยังไม่พอจะต้องทำให้ปรากฏชัดด้วยว่าเป็นความยุติธรรม
   ๗.ศาลมิได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่คู่คดีเสนอโดยละเอียดเท่าที่จะพึงกระทำได้ แต่ได้ใช้การอนุมานสันนิษฐานเองแล้วก็ลงข้อยุติทางกฎหมายจากข้อสันนิษฐานนั้น ซึ่งบางครั้งก็เป็นอนุมานซ้อน หรือเป็นการสันนิษฐานที่ขัดกันเอง และขัดต่อข้อเท็จจริง ดังจะยกตัวอย่างพอสังเขปดังต่อไปนี้
   (๑) ทั้งๆ ที่ศาลยอมรับ (ในคำพิพากษาหน้า ๑๘ วรรคแรก) ว่าไม่ปรากฏหลักฐานแสดงว่าคณะกรรมการปักปันได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร แต่ก็ยังสันนิษฐานเอาได้(ในคำพิพากษาหน้า ๑๙ วรรคสุดท้าย) ว่าคณะกรรมการปักปันชุดแรกจะได้ปักปันเขตแดนเรียบร้อยแล้ว ตามสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) คือถือเอาตามเส้นที่ลากไว้ในแผนที่ภาคผนวก ๑ แสดงว่าพระวิหารอยู่ในกัมพูชา มิฉะนั้นคณะกรรมการปักปันชุดที่สอง ตามสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ก็คงจะต้องทำการปักปันเขตแดนตอนนี้ เพราะพิธีสาร ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) คลุมถึงปราสาทพระวิหาร ซึงตั้งอยู่บนเขาคงรักด้านตะวันออกด้วย ศาลได้ตั้งข้อสันนิษฐานนี้ขึ้นโดยมิได้พิจารณาโครงวาดต่อท้ายพิธีสาร ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ซึงแสดงอาณาเขตที่คณะกรรมการปักปันชุดที่สองจะต้องทำการปักปัน คือ เพียงแค่ช่องเกนทางด้านตะวันตกของทิวเขาดงรักเท่านั้น ข้อสันนิษฐานนี้จึงขัดกับโครงวาด แต่ศาลก็กลับลงข้อยุติโดยอาศัยข้อสันนิษฐานที่ผิดพลาดนี้ได้ว่า ในบริเวณปราสาทพระวิหารนั้น คณะกรรมการปักปันชุดแรกได้ปักปันแล้ว และสันนิษฐานต่อไปว่าปักปันตามที่ปรากฏในแผนที่
   (๒) ศาลใช้ข้อสันนิษฐานอธิบายสาเหตุแห่งการที่ประธานคณะกรรมการปักปันของฝรั่งเศสชุดแรกคาดว่า จะมีการประชุมกันอีก แต่ในที่สุดก็ไม่มีการประชุมไปในทางที่เสียประโยชน์แก่ฝ่ายไทย โดยเดาเอาว่าถ้าได้มีการประชุมก็คงจะได้รับรองเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏในแผนที่ (คำพิพากษา ๒๐ วรรคแรก)
   (๓) ศาลกล่าวขึ้นมาลอยๆ (ในคำพิพากษา หน้า ๒๐ วรรค ๒) ว่าพิมพ์แผนที่เป็นงานสุดท้ายของคณะกรรมการปักปัน ทั้งๆ ที่ศาลก็ทราบดีอยู่แล้วว่าคณะกรรมการปักปันได้มีมติไว้แล้วว่า การปักปันนั้นแบ่งออกเป็นสามชั้น คือ ๑.การตระเวนสำรวจ ๒.การสำรวจภูมิประเทศ และ ๓.การอภิปรายและกำหนดเขตแดน โดยมิได้กล่าวถึงการพิมพ์แผนที่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานปักปัน ตามข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า การพิมพ์แผนที่เป็นเรื่องนอกเหนือจากการปักปันเขตแดนงานชิ้นสุดท้ายในการปักปันดังจะมีต่อไปอีกก็เห็นจะเป็นการปักหลักเขตแดน มิใช่การพิมพ์แผนที่
   (๔) ศาลสันนิษฐานเอง (ในคำพิพากษา หน้า ๔๒) ว่าในการที่ฝรั่งเศสส่งแผนที่นั้นไม่ถูกต้องตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการปักปัน และสันนิษฐานต่อไปว่าฝ่ายไทยมิได้คัดค้านนั้น อาจจะเป็นเพราะว่ามีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้ถือว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ทั้งที่ในตอนต้น(คำพิพากษาหน้า ๑๘ วรรคแรก) ศาลก็ได้ยอมรับแล้วว่า ไม่มีหลักฐาน แสดงว่าคณะกรรมการปักปันได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร กระนั้นก็ยังสันนิษฐานเอาจนได้ เป็นการสันนิษฐานที่ไทยเสียประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง
   (๕) ศาลได้ใช้ข้อสันนิษฐานต่อไปอีก (ในคำพิพากษา หน้า ๒๖ ) โดยถือเอาว่ากรรมการปักปันของไทยคงจะทราบดีแล้วว่าแผนที่ภาคผนวก ๑ ไม่ได้รับความเห็นชอบระหว่างการประชุมคณะกรรมการปักปัน แต่ถ้าได้รับไว้โดยมิได้ตรวจดูให้แน่นอนเสียก่อนว่า ถูกต้องตามหลักสันปันน้ำตามสนธิสัญญาหรือไม่แล้ว จะมาอ้างภายหลังว่าแผนที่ผิดไม่ได้ ข้อสันนิษฐานข้อนั้นตรงกันข้ามกับข้อสันนิษฐานในวรรคก่อน แต่ก็ยังลงข้อยุติได้เหมือนกันโดยอาศัยหลักซึ่งผู้พิพากษาฟิตช์มอริสในความเห็นเอกเทศ เรียกว่า Caveat emptor กล่าวคือ ผู้ซื้อย่อมต้องใช้ความระมัดระวัง
   (๖) ศาลได้ใช้ข้อสันนิษฐานต่อไปอีก (ในคำพิพากษาหน้า ๒๘ วรรคแรก) ว่าไทยได้ยอมรับแผนที่ภาคผนวก ๑ แล้วโดยการไม่ประท้วง ทั้งๆ ที่ทราบว่า แผนที่นั้นไม่ตรงกับตัวบทสนธิสัญญา อย่างไรถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ศาลก็สันนิษฐานซ้อน (ในคำพิพากษา หน้า ๒๙ วรรคแรก) ว่าไทยได้ยอมรับแผนที่นั้นโดยการนิ่งเฉย มิได้คำนึงว่าแผนที่จะผิดหรือถูกประการใด
   (๘) ศาลอ้างเป็นข้อสันนิษฐานที่ชี้ขาดการยอมรับแผนที่ภาคผนวก ๑ ของไทย โดยยกเหตุผล (ในคำพิพากษา หน้า ๒๗ และ ๒๘) ว่าประเทศไทยมีโอกาสหลายครั้งที่จะขอแก้ไขแผนที่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการเจรจาทำสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๘) และ ๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐) ศาลให้เหตุผลตรงกันข้ามกับข้อยุติของศาลเองว่า แผนที่ภาคผนวก ๑ มิได้เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ. ๒๔๔๗) หรือ ๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ซ้ำยังตีความข้อบัญญัติในสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๘) และ ๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐) ที่คลาดเคลื่อนจากถ้อยคำของข้อบทสนธิสัญญาอีกด้วย (คำพิพากษาหน้า ๑๗) เมื่อพิจารณาดูถ้อยคำของ ข้อ ๒๗ แห่งสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๘) และข้อ ๒๒ แห่งสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐) แล้ว จะพบสนธิสัญญาทั้งสองฉบับนี้มิได้ยืนยันเขตแดนตามแผนที่แต่ประการใดไม่ กลับไปยืนยันบทนิยามเขตแดนตามสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๑๔ (พ.ศ.๒๔๕๗) และ ๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) กล่าวคือให้ถือตามหลักสันปันน้ำ
   จึงสรุปได้ว่า ศาลได้มีความสนธิสัญญา โดยขัดกับถ้อยคำของสนธิสัญญานั้นเอง และสันนิษฐานเป็นที่เสียประโยชน์แก่ฝ่ายไทยว่าไทยได้ยินยอมยกพระวิหารให้ฝรั่งเศส เพราะมิได้ฉวยโอกาสขอแก้ไขสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ. ๒๔๔๗) หรือ ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) แต่เมื่อพิจารณาดูให้ถ่องแท้แล้วจะเห็นได้ชัดว่าฝรั่งเศสต่างหากที่เป็นฝ่ายยินยอม และมิได้ฉวยโอกาสผนวกแผนที่เข้าไว้กับสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๘) หรือ ค.ศ.๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐) และ ความจริงสนธิสัญญาทั้งสองฉบับนี้ยืนยันสันปันน้ำต่างหาก ซึ่งก็เป็นการประกาศอย่างชัดแจ้งว่าหลักสันปันน้ำจะต้องสำคัญกว่าแผนที่ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ถ้ามีการแคลงใจเรื่องแผนที่ว่าจะไม่ถูกต้องตามหลักสันปันน้ำตาที่ไทยได้ค้นพบในการสำรวจ ค.ศ.๑๙๓๔-๑๙๓๕ (พ.ศ.๒๔๗๗-๒๔๗๘) ยืนยันหลักสันปันน้ำแล้ว อันเป็นการปฏิเสธแผนที่ที่ขัดกับสันปันน้ำโดยตรง
   ๙. ฝ่ายไทยได้ยืนยันต่อศาลโลกตลอดมาว่า เส้นเขตแดนในบริเวณที่พิพาทนั้น เป็นไปตามสันปันน้ำ และว่ารัฐบาลไทยก็ถือตามนี้ เพราะสนธิสัญญาทุกฉบับได้ยืนยันสันปันน้ำเป็นเขตแดน
   ข้อสำคัญที่ศาลอาจจะมองข้ามไปคือ หนังสือประท้วง ปี ค.ศ.๑๙๔๙ (พ.ศ.๒๔๙๒) ที่ฝ่ายฝรั่งเศสส่งมายังรัฐบาลไทย โดยอ้างพิธีสาร ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) เป็นหลัก พิธีสารฉบับนี้กล่าวไว้อย่างชัดแจ้งว่า เขตแดนระหว่างประเทศทั้งสองในบริเวณนั้น ถือตามเส้นสันปันน้ำ ซึ่งข้อนี้แสดงชัดแจ้งว่าฝ่ายฝรั่งเศสและกัมพูชาเองก็เชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า เขตแดนนั้นเป็นไปตามสันปันน้ำ ฝ่ายฝรั่งเศสจึงได้อ้างพิธีสารมาในหนังสือประท้วง ค.ศ.๑๙๔๙ (พ.ศ.๒๔๙๒) ในลักษณะเช่นนี้
   ในการพิจารณาคดีนี้ ในเมื่อศาลเองถือเอาเจตนาของคู่กรณีเป็นหลักสำคัญในการวินิจฉัยคดีแล้ว เหตุไฉนเล่าศาลจึงไม่ให้ความสำคัญแก่เจตนาอันชัดแจ้งของทั้งสองฝ่าย ในเรื่องให้ยึดถือสันปันน้ำเป็นเขตแดนในบริเวณที่พิพาท แสดงว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นขัดกับข้อยุติธรรมของศาลที่ว่าภาคีทั้งสองได้มีเจตนาทำความตกลงขึ้นใหม่ในการกำหนดเขตแดนในบริเวณนั้น (พึงสังเกตด้วยว่าพิธีสาร ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ได้เอ่ยถึง “เส้นซึ่งคณะกรรมการปักปันเขตแดนขุดก่อนได้ตกลงไว้เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐)” นั้น เกี่ยวกับปลายเขตแดนด้านตะวันออก ซึ่งกำหนดให้บรรจบแม่น้ำโขงที่ห้วยดอนมิได้เกี่ยวกับบริเวณพระวิหาร)
   ๑๐.ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่ผิดพลาด แห่งความเชื่อถือตามข้อเท็จจริงที่ผิดพลาดนั้น อันเป็นผลเสียหายแก่รูปคดีของไทย
   (๑) ศาลถือ (ในคำพิพากษา หน้า ๑๕ วรรคแรก) ว่า ปราสาทพระวิหารเป็นสถานที่สักการบูชา ซึ่งตามข้อเท็จจริงเป็นเทวสถานตามลัทธิพราหมณ์ที่ปรักหักพัง และแทบจะไม่มีผู้ใดไปสักการบูชา เพราะประชาชนทั้งในไทยและกัมพูชาก็นับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ การที่ศาลเชื่อเช่นนี้พ้องกับข้อเสนอของกัมพูชาว่าคนกัมพูชาใช้ปราสาทเป็นที่สักการบูชา
   (๒) ศาลกล่าวไว้หลายแห่ง (ในคำพิพากษา หน้า ๑๖ และ ๑๗) ว่าคณะกรรมการปักปันตามสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) มีสองแผนก (Sections) คือแผนกฝรั่งเศส และแผนกไทย แต่เป็นกรรมการเดียวทั้งๆ ที่ตามตัวบทสนธิสัญญาข้อ ๓ หมายถึงกรรมการ ๒ คณะ (Commissions) เป็นพหูพจน์และไม่มีการกล่าวถึงคำว่าแผนกในสนธิสัญญา หรือในรายงานการประชุมของคณะกรรมการปักปัน และ ฝ่ายไทยก็แย้งไว้แล้วว่า แผนที่ภาคผนวกซึ่งทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส ถึงแม้จะอาศัยชื่อของคณะกรรมการปักปันฝรั่งเศส (Commissionde Delimitation) ก็ไม่มีผลผูกพันฝ่ายไทยได้ เพราะไม่ใช่แผนที่ของคณะกรรมการผสม (Mixed Commissions) การที่ศาลถือเอาว่าเป็นคณะกรรมการเดียวแต่มีสองแผนก จึงทำให้เข้าใจผิดได้ว่า แผนที่ที่ฝรั่งเศสทำเป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันทั้งคณะ คือคณะกรรมการร่วมกันของฝ่ายไทยและฝ่ายฝรั่งเศส
   ๑๑.ศาลได้นำเหตุผลที่ขัดกันมาใช้ในการพิจารณาข้อโต้เถียงของไทยแล้ววินิจฉัยว่าข้อโต้เถียงของไทยฟังไม่ขึ้น คือ
   ก.ศาลให้ความสำคัญแก่การที่กรมแผนที่ไทยยังพิมพ์แผนที่แสดงว่าพระวิหารเป็นของฝรั่งเศสเรื่อยไป และกว่าจะพิมพ์แผนที่แสดงพระวิหารไว้ในเขตไทยก็ต่อเมื่อถึง ค.ศ.๑๙๔๕ (พ.ศ.๒๔๙๗) แล้ว ศาลน่าจะเข้าใจว่า เพราะเหตุนี้การพิมพ์แผนที่จึงไม่มีความสำคัญ เพราะก่อนหน้า ค.ศ.๑๙๕๔ (พ.ศ.๒๔๙๗) นี้เอง ทั้งๆ ที่ยังพิมพ์แผนที่ผิดอยู่ กัมพูชาและฝรั่งเศสก็ได้ประท้วงมาว่า พระวิหารเป็นของกัมพูชา เมื่อ ค.ศ.๑๙๔๙ (พ.ศ.๒๔๙๒) และ ค.ศ.๑๙๕๐ (พ.ศ.๒๔๙๓) แต่ในทางตรงข้าม ศาลกลับไม่ถือว่ากิจกรรมเกี่ยวกับการปกครอง ตลอดจนการที่บุคคลสำคัญของรัฐบาลกลางไปเยือนพระวิหารในปีต่างๆ ระหว่าง ค.ศ.๑๙๐๗-๑๙๓๙ (พ.ศ.๒๔๕๐-๒๔๘๒) เป็นของสำคัญ กลับถือว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องที่ ซึ่งขัดกับท่าทีอันแน่นอนของรัฐบาลกลาง จึงต้องมองข้ามไป แสดงว่าศาลใช้มาตรฐานและเครื่องทดสอบที่ไม่สม่ำเสมอกัน
   ข. ทั้งๆ ที่ศาลถืออยู่ตลอดเวลา (โดยเฉพาะในคำพิพากษา หน้า ๓๐) ว่าการปกครองบริเวณปราสาทพระวิหารของไทยนั้นไม่มีความสำคัญ เพราะเป็นเพียงขั้นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเท่านั้น แต่พอถึงที่ที่จะตีความให้ไทยเสียประโยชน์ เพราะการปกครองพระวิหาร (ในคำพิพากษา หน้า ๓๓ วรรค๒) ศาลกลับเห็นเป็นของสำคัญ โดยกลับถือว่า เพราะไทยได้ปกครองพระวิหารเรื่อยมา จะมาอ้างว่าไม่รู้ว่าแผนที่ผิดไม่ได้ เพราะถ้าคิดว่าถูกแล้วยังใช้อำนาจปกครองก็จะเป็นการรุกรานไป แสดงว่าข้อเท็จจริงอันเดียวกัน ศาลถือว่าไม่มีความสำคัญ ถ้าเป็นประโยชน์แก่ไทย แต่ถือว่าสำคัญมากในตอนที่ไทยจะต้องเสียประโยชน์ คล้ายๆ กับว่าศาลจงใจจะตีความให้ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ พอจะมาพิจารณา (ในคำพิพากษา หน้า ๒๘ วรรค ๓) ถึงเรื่องการกลับสู่สภาพเดิมก่อนอนุสัญญากรุงโตเกียว ค.ศ.๑๙๕๑ (พ.ศ.๒๔๙๔) ศาลกลับปัดไม่ยอมพิจารณาเรื่องการครอบครองพระวิหารเสียเฉยๆ
   ค.(ในคำพิพากษาหน้า ๓๑ วรรคแรก) ศาลตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งไทยและฝรั่งเศสก็มิได้มั่นใจว่าพระวิหารเป็นของตนในขั้นแรก ทั้งๆที่ศาลยอมรับ (ในคำพิพากษา หน้า ๓๐) ว่าไทยได้ใช้อำนาจปกครอง แต่ก็ยังกล่าวได้เต็มปากว่า ความเชื่อของไทยว่าพระวิหารเป็นของฝรั่งเศสนั้น สอดคล้องกับท่าทีของไทยโดยตลอดมา
   ๑๒.ศาลถือว่าไทยมีหน้าที่คัดค้าน เมื่อรับแผนที่จากฝรั่งเศสใน ค.ศ.๑๙๐๘ – ๑๙๐๙ (พ.ศ.๒๔๕๑ – ๒๔๕๒) แต่เมื่อมาพิจารณาดูข้อเท็จจริงและพฤติการณ์โดยตลอดแล้ว จะเห็นได้ว่าไทยไม่มีหน้าที่คัดค้านแต่ประการใดเลย ฝรั่งเศสและกัมพูชาต่างหากที่มีหน้าที่คัดค้านการครอบครองปราสาทพระวิหารของไทยในสมัยนั้น แต่ก็มิได้คัดค้าน เช่น เมื่อส่งแผนที่มาให้ ก็มิใช่เป็นการแสดงว่าขัดกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการปักปัน และจะไปคัดค้านได้อย่างไร ถ้าสันปันน้ำที่แท้จริงตรงกับแผนที่ และปันพระวิหารไปอยู่ในเขตไทยหรือกัมพูชา ฝ่ายตรงข้ามก็มิอาจคัดค้านได้ และถ้าคัดค้านก็ไม่มีประโยชน์อะไร

กระทรวงการต่างประเทศ
๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕

ขอบคุณผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับครับ
แล้ว..ใจ อึ้งภากรณ์ เป็นใครถึงไปยกแผ่นดินให้เขมร
บันทึกการเข้า

"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ  จันดำ
ถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
      นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน
“บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา”
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #35 เมื่อ: 22-06-2008, 22:14 »

แล้วอย่างนี้ อิสราเอลก็ต้องคืนให้ปาเลสไตน์สิ


ตัวใจ เคยเขียนเรื่องนี้แล้วครับ

แล้วผมค่อนข้างเห็นด้วยกับเขา
บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
Iona
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 271


« ตอบ #36 เมื่อ: 22-06-2008, 22:17 »

ตัวใจ เคยเขียนเรื่องนี้แล้วครับ

แล้วผมค่อนข้างเห็นด้วยกับเขา
หน้าสนใจ ช่วยทำลิงค์ให้ทีหรือถ้าไม่มีช่วยบอกชื่อหนังสือให้ที่ เรื่อง ต้องคืนดินแดนปาเลสไตน์
ขอบคุณมาก อยากรู้เหมือนกันว่าเค้ามีแนวคิด มองในมุมภาพรวมแบบไหน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2008, 22:19 โดย Iona » บันทึกการเข้า

เงินงบประมาณของประเทศที่นำไปใช้จ่ายต่างๆ มาจาก การจัดเก็บภาษีที่เราประชาชนคนไทยทุกคนต้องจ่ายกันอยู่แล้วทั้งจากภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม(vet 7) (ขอย้ำว่าทุกคนเพราะเมื่อเราได้ซื้อสินค้าใดๆ สินค้านั้นยอมมีต้นทุนมาจากการเสียภาษีแล้ว) หรือจากการจัดเก็บจากทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทยทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราปกป้องรักษา ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดิน แผ่นน้ำ ใต้แผ่นดิน ใต้แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อวกาศ

เงินงบประมาณของประเทศ ไม่ได้มาจากเงินของคนใดคนหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่มีใครสมควรอย่างยิ่งที่จะแอบอ้างว่าเงินนี้เป็นของตนนำมาแจกจ่าย การแอบอ้างนั้น เป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และไม่ยุติธรรมต่อความรู้ของทุกๆคนในประเทศที่ต้องเสียภาษี

อย่าโทษหรือด่าว่า คนที่เค้าไม่มีโอกาศเข้าถึงข่าวสารข้อมูล ปัญหาจะแก้ได้คือ ทำอย่างไรให้เค้าเหล่านั้น ได้เข้าถึงข่าวสารข้อมูล

หลอกคนไทยตลอดไป คิดว่าหลอกได้หรือ? รัฐบาลของทักษิณ

เป็นเรื่องแปลก...สิ่งที่คนโกงกลัวที่สุดคือ ....ไม่ได้มีชีวิตเพื่อใช้เงินที่โกงมา? ประวัติศาสตร์โลกมีให้เห็น
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #37 เมื่อ: 22-06-2008, 22:30 »

กว่าจะหาเจอตั้งนาน555 แปะเองแท้ๆ

http://forum.serithai.net/index.php?topic=26078.msg289863#msg289863

บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
moon
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 780


« ตอบ #38 เมื่อ: 22-06-2008, 22:32 »

เรียน คุณ นิรนาม

   นี่คือสิ่งที่ผมอยากได้มาตลอดหลายวันที่ผ่านมา หนังสือคัดค้านฉบับนี้ ทำขึ้นใน พ.ศ. 2505

แล้วหลังจากนั้นต่อมาอีกหลายปี เราได้ทำหนังสือคัดค้านต่อเนื่องไปอีกหรือปล่าว

ถ้ามีเอามาให้ชมกันอีกครับ จะได้ทราบว่าเราคัดค้านตลอดเวลาหรือไม่ หรือเราพลาดไปตรงไหน

หรือหยุดการคัดค้านเมื่อใด หรือคำพิพากษาของศาลโลกสิ้นสุดเมื่อใด ตอนนี้มีแต่พี่เหล่เขาบอกฝ่ายเดียว

ว่าเป็นของเขมรไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2505
บันทึกการเข้า
เบื่อไอ้เหลี่ยม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 389


« ตอบ #39 เมื่อ: 22-06-2008, 23:19 »

ผมไม่ได้เรียนจุฬา เลยโชคดีที่ไม่รู้จักไอ้ใจ อึ้งภากร  อยากถามมหาลัยจุฬา ภูมิใจมากไหม ที่จ้างไอ้คนทุเรสและเฮงซวยไม่รู้สำนึกบุญคุณแผ่นดินที่มันเกิด และได้ให้การศึกษามันมา  มันบอกว่ายกแผ่นดินให้ต่างชาติไปได้แบบนี้  และยังยะโสว่า ผมไม่ใช่คนไทย
ผมว่า อธิการบดี จุฬา ต้องทบทวนที่จ้างไอ้สันดานคนนี้มาสอนนักศึกษาของไทย  เพราะว่าจะทำให้คนไทยไร้จิตสำนึกต่อชาติบ้านเมือง แบบเดียวกับไอ้สันดานคนนี้
บันทึกการเข้า
justy
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,250



« ตอบ #40 เมื่อ: 22-06-2008, 23:52 »

ถ้ามันคิดว่ามันเป็นคนอังกฤษ -จีน

มันมาอาศัยอยู่เมืองไทยทำไม  หนักแผ่นดินจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008, 00:13 โดย justy » บันทึกการเข้า

พรรคไทยรักไทยมิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่า กฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า พรรคไทยรักไทย มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อ
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 23-06-2008, 00:42 »

ไม่น่าเชื่อว่าคนเป็นอาจารย์สอนเด็กมามากมาย ความคิดแคบแค่นี้เอง

เป็นห่วงอนาคตชาติจริงๆ



บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


Familie
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 369



« ตอบ #42 เมื่อ: 23-06-2008, 01:01 »

บรรพบุรุษทางพ่อผมอพยพมาจากทางตอนใต้ของประเทศลาว ส่วนบรรพบุรุษทางฝ่ายแม่มาจากทางตอนเหนือของประเทศลาว
บรรพบุรุษทั้งทางฝ่ายพ่อ ฝ่ายแม่ผมพูดภาษา "ลาว" หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า "ไทยอีสาน"
คุณปู่ผมเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านสระกำแพงใหญ่ บ้านอยู่ห่างจากปราสาทหินสระกำแพงไม่ถึง 200 เมตร
แต่บังเอิญผมไปโตอยู่ศีขรภูมิ บ้านอยู่ข้าง ๆ สถานีรถไฟ ห่างจากปราสาทศีขรไม่ถึงกิโลเมตร เลยติดนิสัยพูด "ลาว" ไม่ได้ไปซะงั้น
สมัยเรียนมัธยมปลายอยู่ ศภส.เดินผ่านปราสาทศีขรทุกวัน

แม้บรรพบุรุษฝ่ายพ่อ,ฝ่ายแม่ของผมจะมาจากประเทศลาว แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้เกิดอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งองค์บูรพมหากษัตริย์ไทย

และภูมิใจในความเป็น "คนไทย"
แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะขายชาติหรือยกแผ่นดินให้ต่างชาติเหมือนกับนักการเมืองเลว ๆ บางคนในยุคนี้

ขอยืนยัน....ว่าเมื่อปี 2532 ผมเป็นคณะแรก ๆ ที่ขึ้นไปสำรวจปราสาทพระวิหารร่วมกับคณะ "คุณชายจักรรส - มล.เติมแสง" เมื่อครั้งที่ยังอยู่สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ
บนทางขึ้นปราสาทพระวิหารก่อนถึงลานนาคราช มีรั้วลวดหนามและประตูปิดเปิดอยู่ตรงนั้น พอขึ้นไปถึงประตูต้องตะโกนเรียกทหารเขมรที่อยู่บริเวณปราสาทหลังที่ 1 ให้มาเปิดประตูให้


สุดซึ้งมากครับ
และภูมิใจมากที่มีคนแบบคุณอยู่มากในเมืองไทยเรา 
บันทึกการเข้า


บรรพบุรุษ ของไทย แต่โบราณ      ปกบ้าน ป้องเมือง คุ้มเหย้า
เสียเลือด เสียเนื้อ มิใช่เบา           หน้าที่เรา รักษา สืบไป
ลูกหลาน เหลนโหลน ภายหน้า      จะได้มี พสุธา อาศัย
อนาคต จะต้องมี ประเทศไทย       มิยอมให้ ผู้ใด มาทำลาย
May The Force Be With You
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331


ขอพลังสถิตย์กับท่าน


« ตอบ #43 เมื่อ: 23-06-2008, 01:05 »

เหลือเชื่อครับ ไม่ได้ให้ความเห็นเรื่องข้อเท็จจริงอะไรเลย ใช้ความรู้สึกล้วนล้วน  เหลือเชื่อครับว่าเป็นอาจารย์ที่จุฬา 
                                                   
                                          แต่เชื่อว่าไม่ใช่คนไทย
บันทึกการเข้า

"เจไดที่ฉลาดมากๆ คนหนึ่งเคยบอกข้าไว้ว่าเราไม่จำเป็นต้องชนะ แต่เราต้องสู้"
Kittinunn
Aloha007
Global Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,127


ไปได้สวย...ด้วยเกียร์ต่ำ!!!


เว็บไซต์
« ตอบ #44 เมื่อ: 23-06-2008, 02:14 »

เอ่อ... อาจารย์ใจ อึ้งภากรณ์ครับ

ไม่พูดดีกว่า

ป.ล.คงกำลังเฟลที่พรรคของแกมีหัว แต่ไม่มีหาง
บันทึกการเข้า

“ผมเขียนไปในบล็อกนั้น แบบข้างบนนี้เหมือนกัน นึกว่า จะโพสต์ ปรากฏว่า เขาบอกว่า ต้อง สมัครสมาชิกก่อน ผมขี้เกียจ เลยมาโพสต์ที่นี่แทน อ้อ ตอนเขียน ผมใส่คำว่า ทุเรศ และ น่าสมเพช ไปด้วย” (อ.สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล-เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน - ข้อความในเสรีไทย โดย Snowflake)

สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #45 เมื่อ: 23-06-2008, 05:09 »

เคยอ่านมา มีคนเขียนไว้ว่า "สิ่งก่อสร้างโดยพวกขอม ไม่ใช่เขมร"

สิ่งก่อสร้างเป็นศิลปและิอารยธรรมที่มาจากอินเดีย .. ถ้าใช้ตรรกของนายใจ ประเทศกัมพูชา

และประเทศไทยก็ควรจะเป็นของประเทศอินเดีย .. ประเทศจีนก็ควรจะเป็นของมองโกล

และประเทศสหรัฐ ก็ควรจะเป็นของชนเผ่าอินเดียนแดง ...

 
บันทึกการเข้า
watson
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 393


« ตอบ #46 เมื่อ: 23-06-2008, 09:49 »



เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะบนยอดเขานั้นมีปราสาทหินจากยุคอาณาจักรเขมร สมัยอาณาจักรเขมร “ชนเผ่าไท” ยังด้อยพัฒนาอยู่มาก เป็นคนป่า ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรไม่ดีหรอก แต่ต้องยอมรับความจริง เขมรเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดที่มีในไทยภายหลัง แถมนักประวัติศาสตร์ยังมองว่ากษัตริย์สุโขทัยเป็นคนเขมรอีกด้วย วัฒนธรรมและศีลปะจำนวนมากที่อ้างกันว่าเป็นแบบ “ไทยๆ” ก็ลอกมาจากเขมรทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อเราไปดูนครวัด

 
ถ้าเขาพระวิหารเป็นของเขมร พิมาย ควรเป็นของเขมรหรือไม่? ในแง่หนึ่งมันเป็นของเขมรอยู่แล้ว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมรในอดีต แต่ตอนนี้มันอยู่ใจกลางผืนแผ่นดินที่กษัตริย์กรุงเทพฯก่อตั้งขึ้นมาเป็นรัฐชาติไทยไปแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้นการที่จะไปยกให้เขมรก็คงไม่สมควร และรัฐบาลเขมรก็ไม่ได้เรียกร้องด้วย แต่ในกรณีเขาพระวิหาร มันอยู่บนยอดเขาตรงเส้นพรมแดน ที่กรุงเทพฯ กับปารีส เคยขีดเอาไว้ ไม่มีหมู่บ้านประชาชนอยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเถียงอะไรบ้าๆ บอๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย


มันจะอยู่ตรงเส้นพรมแดนหรืออยู่ห่างจากชายแดนมา 200 กม. ก็ถึงว่าอยู่ในเขตประเทศไทย มีกฏหมายหรือข้อตกลงไหนเหรอที่บอกว่าอยู่ใกล้เขตชายแดนแล้วต้องเป็นของเขา หรือถ้าอยู่ห่างจากชายแดนเป็นระยะทางกี่กิโลจึงจะเป็นของเรา
ถ้าใช้ตรรกะของไอ้อาจารย์ควายนี่ เขมรมันคงอ้างสิทธิในดินแดนของประเทศไทยทั้งหมด
บันทึกการเข้า
มารุจัง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,761


@^____^@


« ตอบ #47 เมื่อ: 23-06-2008, 11:22 »

ใจ อึ๊งภากรณ์ เสนอบทความ: เขาพระวิหารเป็นของเขมร



 
ใจ อึ๊งภากรณ์
(ผมไม่ใช่ “คนไทย” ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ)


http://www.prachatai.com/05web/th/home/12608


ดูมันพูดมาได้ คนจีนเค้าก็รักแผ่นดินบ้านเกิดเฟ้ยยยย
เค้าก็ไม่ยอมเสียดินแดนบ้านเกิด

ไอ้พวกที่ไม่รักแผ่นดินบ้านเกิดน่ะ.. มีแต่พวกเดรัจฉาน

คนจีนเค้าก็ไม่ได้ต้อนรับ ไม่รู้ตัวหรือไง
อ้างมาได้ว่าเป็นจีน...ทุเรศ

อ้อ..แล้วแน่จริงนะ อย่ามาทำ บัตรประชาชนไทย อย่าถือพาสปอร์ตไทย อย่าใช้สัญชาติไทย สิ.....
 
บันทึกการเข้า


ประชาธิปไตย มิได้จบอยู่แค่การเลือกตั้ง
ปล.รูปจากเวบ ผจก.
oho
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 712


« ตอบ #48 เมื่อ: 23-06-2008, 12:36 »

เว็บประชาไทเป็นเว็บพวกสมองขี้เปียกแก๊งอั้ยเหลี่ยมชื่นชอบชื่นชม
Credit เหมือนพวกเว็บพันธ์ทิพย์..เว็บฟ้าเดียวกัน...เว็บมหาลัยเที่ยงคืนของอั้ยห้อย120
โถ๋ โถ๋  ยังเสพสังวาชเว็บจั.นรัยแก๊งอั้ยเหลี่ยมหมิ่นสถาบันฯ อยู่อีกหนอ..ขี้เปียกแก๊งอั้ยเหลี่ยมเอ๊ย
อิอิ+

 
**************************************************

ปธ.มรดกโลกไล่ตะเพิดอัด “นพเหล่” ขึ้นทะเบียนบันได-สระตราวแค่งานพีอาร์ ชี้ต้องไล่รัฐบาลเร็วที่สุด
 
แหล่งข่าว 23 มิถุนายน 2551 13:58 น.
 

   
       ประธานกรรมการมรดกโลกเผย   “นพดล”ออกมาพูดจะขอมติครม.ขึ้นทะเบียนสระตราว-บันไดเขาพระวิหาร เป็นเพียงการประชาสัมพันธ์และ “ประแป้ง” เท่านั้น ทำไปเพื่อลดกระแสความขัดแย้ง ไม่ได้มีผลดีต่อประเทศแต่อย่างใด  ย้ำประชาชนควรเร่งขับไล่รัฐบาลออกไปก่อนวาระพระวิหารจะเข้าที่ประชุมต้นเดือนหน้า เพราะหวังพึ่งรัฐบาลชุดนี้ให้ยกเลิกคงไม่ได้

       
       วันนี้ (23 มิ.ย.) ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ประธานคณะกรรมการมรดกโลก ให้สัมภาษณ์ผ่าถึงกรณีที่นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ได้เตรียมการให้ครม.ลงมติเห็นชอบขึ้นทะเบียนสระตราวและบันไดเขาพระวิหารว่า เป็นเพียงงานประชาสัมพันธ์ล่าสุดของนายนพดลเท่านั้น เพราะขั้นตอนการเสนอขอขึ้นทะเบียนได้ ไม่ใช่เสนอลอยๆ มันต้องมีการเตรียมเอกสารเพื่อเสนอ ต้องมีบทพรรณนา มีแผนที่ มีสไลด์ มีภาพถ่าย ไม่ใช่จู่ๆ ไม่เตรียมอะไรแล้วจะเสนอขึ้นมา เพราะถึงเสนอไป ทางคณะกรรมการมรดกโลกก็จะดำเนินการชะลอเรื่อง และให้กลับไปตระเตรียมข้อมูลมาก่อน
       

       “อย่างเร็วที่สุดก็คือกลับมาพิจารณาในปีหน้า ซึ่งก็ไม่ได้มีผลดีอะไรต่อกรณีเขาวิหารใดๆ ให้ฝ่ายไทยเลย เป็นเพียงแผนประชาสัมพันธ์อันใหม่ของนพดล ที่ทำเพื่อลดกระแสการต่อต้านของประชาชนเท่านั้น เป็นเพียงการประแป้งของรัฐมนตรีต่างประเทศ”
       

       อย่างไรก็ตาม ประธานคณะกรรมการมรดกโลกเปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลเซ็นยินยอมยกเขาพระวิหารให้เขมรไปทั้งที่ร่างกายยังป่วยและอยู่ในระยะพักฟื้นอยู่นั้น เมื่อ 3 วันก่อนมีโทรศัพท์ที่ถือว่าค่อนข้างแปลกมาสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเขาพระวิหาร
       
       “เป็นผู้ชายโทรมา เขาก็พูดดีนะ ถามว่าคณะกรรมการมรดกโลกเคยเอาวาระเขาพระวิหารเข้าประชุมไหม ก็ตอบเขาว่าไม่เคย แต่ก็ยืนยันมาตลอดมาตั้งแต่ปี48 จนบัดนี้ ก็ถือว่าเป็นการถามที่ค่อนข้างแปลก เพราะเป็นคำถามที่คนธรรมดาไม่ถามกัน”
       
       นอกจากนี้ ศ.ดร.อดุลยังกล่าวต่อไปอีกว่า ใกล้จะถึงเวลาที่จะเปิดประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่จะจัดขึ้นในต้นเดือนหน้า (ก.ค.) แล้ว ประชาชนต้องผนึกกำลังปกป้องสมบัติชาติเอาไว้
       
       “อย่างที่ชี้แจงไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า ทางเดียวที่ทำได้ก็คือ ต้องให้รัฐบาลแถลงระงับการลงนามสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของเขมร แต่เชื่อว่ารัฐบาลนี้คงไม่ทำ ดังนั้นที่จะทำได้ก็คือ เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่วาระเขาพระวิหารจะเข้าที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก” ศ.ดร.อดุลกล่าว


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2008, 15:10 โดย oho » บันทึกการเข้า
Thai Lady
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 86



« ตอบ #49 เมื่อ: 23-06-2008, 13:14 »

ไม่ใช่คนไทย แล้วมาเสือกอะไรกับประเทศตรูว่ะ

เสร่อ สราด



ไม่ใช่คนไทย  ก็อยู่เฉย ๆ  รักษามารยาทหน่อย
อาศัยบ้านคนอื่นอยู่  อย่าดูถูกเจ้าของบ้าน
 

บันทึกการเข้า

... กลัวไวรัสสายพันธุ์หน้าเหลี่ยมระบาดกัดกินสังคมไทย ... กลั๊ว .. กลัว ...
หน้า: [1] 2
    กระโดดไป: