หากมองการเคลื่อนขบวนของพันธมิตร โดยมีการต่อต้านจากตำรวจเพียงไม่มากนัก ดูเสมือนเป็นแผนการของรัฐบาลนั้น ก็คงมองได้ค่ะ แต่แผนการนั้นเป็นแผนการตามสภาพ เพราะหากกำลังของพันธมิตรมีไม่มากหลังจากเป่านกหวีดแล้ว และตำรวจยันไว้ได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง รัฐบาลก็ชนะได้ มีข้ออ้างว่าชนะ และทำให้หลายคนอาจจะมีทัศนคติต่อการชุมนุมที่อ่อนแอ ไม่มีกำลัง ส่งผลให้การชุมนุมนั้นด้อยค่าลง
แต่เหตุการณ์จริงทีเกิดขึ้น พันธมิตรมีกำลังมาก ตำรวจเองหากจะยันให้อยู่ ต้องใช้อาวุธปราบจลาจล ซึ่งจะทำให้สถานการณ์บานปลายทันที แผนที่เตรียมไว้ คือปล่อยให้ผ่านไป และแม้แต่จะยึดหรือเผาทำเนียบ ก็จะปล่อยให้ทำไป และทันทีที่เกิดเหตุเช่นนั้น จะเป็นความชอบธรรม ที่จะสลายและจับกุมผู้ชุมนุม
แต่เมื่อพันธมิตรเคลื่อนกำลังได้ตามแผน และรัฐบาลมีทีท่าเหมือนพ่ายแพ้ ก็เห็นได้ชัดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันที นายใหญ่ถึงกับต้องบินไปดูสถานการณ์ที่ต่างประเทศ พลังพันธมิตรเพิ่มขึ้นในทันทีอย่างมหาศาล ทั้งแนวร่วมและเสบียง อีกทั้งความเคลื่อนไหวในสภา เกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ถูกนำมาเพื่อถอดชนวนระเบิดทางการเมือง เพื่อยื้อเวลาต่อสู้กับพันธมิตร
ความเชื่อที่ว่า หากปล่อยให้ชุมนุมกันไป พันธมิตรก็จะหมดแรงกันไปเอง กำลังใช้ไม่ได้ผล แน่นอนความเหนื่อยล้า ความสิ้นเปลือง มีเกิดขึ้นแน่ๆ แต่แนวร่วมที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยิ่งเป็นอันตรายต่อรัฐบาลมากขึ้นเช่นกัน
อันตรายต่อรัฐบาล พรรคพลังประชาชนยังยอมรับได้ เพราะรัฐบาลสมัคร ล้มไป ก็ตั้งใหม่ได้ แต่อันตรายที่มาถึงพรรคพลังประชาชน เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ หากพันธมิตรปลุกเร้ากำลังได้มหาศาล และประกาศหยุดกิจกรรมของประเทศได้ตามใจชอบ ประชาชนเข้าร่วมมือกดดันรัฐบาล จนไปสู่การยุบสภา หรือเปลี่ยนขั้วทางการเมือง พลังประชาชนจะถูกโดดเดี่ยว
จึงเชื่อได้ว่า การยึดพื้นที่หน้าทำเนียบคราวนี้ พันธมิตรชนะ ด้วยการต่อสู้ไม่เต็มกำลังจากรัฐบาลสมัคร และไม่ใช่หลุมพราง เพราะฝ่ายที่รบไปถอยไปเช่นสมัครนั้น สร้างหลุมพรางไม่ทัน