จาก
http://thaiinsider.info/portal/content/view/9094/12/กางตำราเสธ.ไขรหัส แผนMobile Defense ‘การตั้งรับด้วยวิธีรุก’ รับอย่างเดียว-ไม่ชนะ!
Friday, 20 June 2008
ไขรหัส Mobile Defense ของฟากพันธมิตรฯ “พัลลภ” ชี้บุกทำเนียบฯ เหมือนการตั้งรับแบบรุก ยอมรับตั้งรับอย่างเดียว ไม่มีทางชนะ จำเป็นต้องรุก ประจวบเหมาะกับเรื่องเขาพระวิหารจุดพลุขึ้นมา เป็นจังหวะโชคดีที่ทำให้เคลื่อนไหวได้ เชื่อตำรวจสกัดแผน “สงคราม 9 ทัพ” ไม่ได้แน่
วันที่ 20 มิ.ย. 2551 พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.กอ.รมน. และอดีตนายทหารจปร. 7 อธิบายถึงการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า เป็นไปตามตำราคือ mobile defense เค้าเรียกว่าการตั้งรับด้วยวิธีรุก ตำราเสนาธิการที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯเรียนก็เล่มเดียวกับตน เพราะในหลักทางทหาร ถ้าตั้งรับอย่างเดียว ไม่มีทางชนะ เมื่อถึงเวลารุก ก็ต้องรุก การตั้งรับไม่ใช่อยู่กับที่เฉยๆ แต่เป็นการรุกเพื่อให้อีกฝ่ายตอบโต้ เมื่อตอบโต้ก็ปิดปากถุงได้เลย คนวางแผนการเคลื่อนนั้น พล.ต.จำลองเก่งอยู่แล้ว จะเก่งด้วยการตั้งรับด้วยวิธีรุก ได้สมญานามว่า “ขุนพลแห่งภูผาที” เพราะในอดีตเราทำสงครามลับ ที่ไม่เปิดเผย ซึ่งภูผาทีเป็นที่ตั้งสำคัญของฝ่ายเรา พล.ต.จำลองได้รับหน้าที่เป็นทหารไทยไปป้องกันสถานที่แห่งนี้ คือการตั้งรับ ซึ่งก่อนพล.ต.จำลองไป มีรุ่นพี่ๆ ไปถูกกดดัน แล้วอยู่ได้ไม่เกิน 2 เดือนต้องส่งตัวกลับ แต่พล.ต.จำลองอยู่ได้ถึง 8 เดือน ในสภาพถูกกดันแสนสาหัส พอถึงวันสุดท้าย เวียดนามเหนือใช้กำลังมหาศาลเข้าตี แต่พล.ต.จำลองก็สามารถฝ่าด่านออกมาได้
“ยุทธการบุกทำเนียบฯของพันธมิตรฯคือ mobile defense เพื่อให้รัฐบาลตอบโต้ หากอยู่เฉยๆ ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไปลักษณะเดิมเหมือนไปกระทรวงต่างประเทศหรือกกต. (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง) ไปเพื่อไปบอกให้รัฐบาลลาออกเถอะ โดยเชื่อว่าเมื่อฝ่าไปถึงหน้าทำเนียบฯ คงจะยึดที่หน้าทำเนียบฯ แต่จะไม่บุกเข้าไปในทำเนียบฯ ส่วนมือจัดการหรือควบคุมฝูงชนจะอยู่หลังเวที ก็เป็นเพื่อนๆ จำลอง เป็นพวก the old solider เพราะกรณีเขาพระวิหารเป็นเรื่องใหญ่ จุดกระแสได้เลย อย่างที่เรารู้ สมัยที่ทุกคนเป็นนักเรียนนายร้อย ก่อนนอน เราสาบานว่าจะรักษามรดกของชาติ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จังหวะการเคลื่อนของพันธมิตรฯถือว่าโชคดีที่มีเรื่องเขาพระวิหารเข้ามาช่วงนี้ และเป็นจังหวะที่ the old solider เข้ามาร่วมมาก รวมถึงพวก young solider ด้วย”พล.อ.พัลลภกล่าว
พล.อ.พัลลภ กล่าวอีกว่า “การเดินเกมของจำลอง เป็นพวกอหิงสา แต่ของผมจะใช้วิธีรุกตลอด ความอดทนของจำลองมีสูงกว่า เค้าจึงไม่ชวนผม โดยมือจัดการฝูงชนไม่ให้รุกเข้าไปในทำเนียบฯนั้นมี ทั้งนี้เชื่อว่า ตำรวจคงบล็อกเป็นชั้นๆ แน่นอน แต่พันธมิตรฯจะใช้วิธีหลบหลีก-หลีกหนี อันเป็นที่มาของ “สงคราม 9 ทัพ” เพราะอ่านทางตำรวจว่า เค้าคงตั้งรับกั้นแผง ไม่ให้ฝูงชนบุกเข้าไป แต่การแทรกซึมเข้าไปย่อยๆ คงกันลำบาก เชื่อว่าอย่างไรก็คงได้ผล ถามว่ามีอำนาจอะไรจะไปห้ามเค้า เชื่อว่าฝ่าด่านตำรวจได้แน่ๆ”
ถามว่า เตรียมรับแผน 2 อย่างไร กรณีตำรวจบล็อกได้ อดีตนายทหารจปร. 7 ผู้นี้ กล่าวว่า ถึงตรงไหนก็หยุดตั้งรับตรงนั้น จะไม่กลับไปมัฆวานฯอีก ภาพที่จะเกิดขึ้นคือ ดาวกระจาย 9 จุด หากถูกบล็อกจะอยู่กันเป็นจุดๆ ซึ่งก็จะมีม็อบที่ใหญ่และมีคนควบคุมแน่นอน แยกกันเดิน-รวมกันตี ทำให้ตำรวจเครียดหนักกว่าเก่าอีก ตำรวจก็ทำไปโดยหน้าที่ ตำรวจทุกคนวันนี้เข้าใจสถานการณ์ โดยเฉพาะกรณีเขาพระวิหาร คิดว่าคนไทยทุกคนไม่มีใครยอมเสียแผ่นดินไปแน่
ถามว่า เมื่อหันมามองด้านรัฐบาล ควรทำอย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า นายสมัคร สุนทรเวช นากยรัฐมนตรี ทำอะไรไม่ได้มาก ในทางการเมืองถือว่ารัฐบาลจบแล้ว ไม่มีความชอบธรรมแล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว ซึ่งก็ไม่มีทางเลือกไหน นอกจากทางเลือกเดียวคือ “ออก” เพราะปกติเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ตนไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่เรื่องเสียดินแดนนั้นยอมไม่ได้
“ทหารอึดอัดพอสมควรกับสถานการณ์ปัจจุบัน ผมไปเจอน้องๆ ระดับผู้บังคับการหน่วย ก็เจอกันเมื่อเร็วๆ นี้ หลายคนระดับผู้พัน-ผู้การ เค้าก็บอกว่า ครูอย่าไปยอมนะครับ เรื่องเขาพระวิหาร ผมยอมไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเราสาบานตลอด จะรักษามรดกพระองค์ท่าน ทหารยอมไม่ได้หรอกครับ เป็นเรื่องใหญ่มาก”พล.อ.พัลลภกล่าว
ถ้าเป็นไปตามที่อ้างมาจากที่ พล.อ.พัลลภ พูด ก็ไม่มีอะไรหลังจาก The Day After Tomorrow หรอก เป็นแค่การเปลี่ยนบรรยากาศ ไม่ให้กระแสตกเท่านั้น ถ้ารัฐบาลไม่ตะบะแตก นปก.ไม่ยกพวกตี ไม่เกิดสงครามกลางเมือง มันก็ไม่ต่างกับที่ไป กกต และ กระทรวงต่างประเทศหรอก เพราะเท่าที่ดูฝ่ายพันธมิตรก็ค่อนข้างยั่วยุด้วยคำพูดให้เกิดการสลายการชุมนุมอยู่บ่อยครั้งอ่ะครับ
แล้วถ้าไม่เกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวก็เหมือนสมัยเหลี่ยมที่บริหารแผ่นดินผ่าน tele-conference ได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วกระแสก็ตก

ผมยังเข้าร่วมกับพันธมิตรอยู่ แต่อยากจะยืนห่างออกมาหน่อย เพราะระยะช่วงก่อนหน้านี้ พี่แก ด่าหมดไม่เว้นพระสงฆ์องค์เจ้า ผมว่าจากกริยาหยาบคายของพันธมิตร ทำให้เสียแนวร่วมไปเยอะครับ ผมเสียดายเหมือนกัน ผมไม่แน่ใจว่า ในสมัย ท่านคานธี ท่านต้องปราศัยดุเดือดโจมตี อังกฤษ แบบที่พันธมิตร ทำรึเปล่า
อีกอย่างคึือ เมื่อวานดูไทยพีบีเอส โดนใจมากที่มี อจ. คนนึงบอกประมาณว่า การต่อสู้ด้วยวิธีอหิงสา ด้วยหนทางสันติภาพ ต้องยอมให้คนอื่นตีเราโดยไม่ตอบโต้.. การสะสมอุปกรณ์ป้องกันตัวของฝ่ายพันธมิตร ที่เอาไปใช้ตอบโต้ ก็ดูเหมือนเป็นการจัดกำลังย่อมๆอ่ะครับ แต่ที่เขาอ้างก็ถูก ต้องมีการรักษาความปลอดภัย แต่ผมว่า ถ้าพันธมิตร ไม่มีวาจาดุร้าย หยาบคาย ยอมให้พวกฝ่ายม๊อบกุ๊ยมันรังแกข้างเดียวและถ่ายทอดออกอากาศให้ทุกคนเห็น จะได้แนวร่วมเพิ่มเติมอีกเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นการเอาโล่ห์ไม้ ใส่หมวกกันน็อค แล้วเดินเข้าหาฝ่ายตำรวจ ไม่ได้ทำให้ดูดีเลยครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมกับเพื่อนที่ไม่ชอบเหลี่้ยมกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เหมือนกัน
แค่คิดดู
