จิงดิ ?
ขอบคุณน๊ะคร้า "อย่าเล่นมั่ว..จนตัวเองฉิบหาย article : SIAM Freedom Fight
ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯในปี 2548 - 49 มีการจัดตั้งมาอย่างดี และมี
เงินทุนไหลเข้าอย่างท่วมท้น ทำให้เกิดแนวร่วมใหม่ๆขึ้นมามากมาย
อย่างเช่นกลุ่มธุรกิจสื่อมวลชนไทย นักวิชาการ ไปจนถึงมวลชนจัดตั้ง
ในทางตรงข้าม พรรคไทยรักไทยยามนั้น..แม้มิได้ยืนอย่างโดดเดี่ยว
เพราะมีมวลชนที่พร้อมเข้าร่วมต่อสู้มากมายนับสิบล้านคน แต่เมื่อใน
พรรคไม่ยอมขยับ มวลชนก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร การนำทัพประชาชน
เข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองนั้นจะต้องมีแม่ทัพ มีแกนนำที่ฉลาด-เข้มแข็ง
และพร้อมยืนอยู่ข้างประชาชนไปจนจบรายการ
นั่นคือฝ่ายการเมืองต้องลงมาเล่นเต็มตัว..มันถึงจะประสบผลสำเร็จ
เราไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ในปี 2548 - 49 นอกจากม๊อบจตุจักรที่มาด้วยใจ
มาสู้ทั้งใจแบบเกินร้อย แต่มีกำลังเพียงน้อยนิด ที่สุดก็ไม่ก่อให้เกิดผล
สำเร็จทางการเมืองอะไรเท่าใดนัก
แล้วศัตรูก็สามารถยึดบ้านยึดเมืองไปได้ง่ายดาย
แม้ยึดไปแล้วจะปกครองไม่ได้ แต่ก็วางไข่เอาไว้เป็นรัฐธรรมนูญ 50
ที่สร้างความหายนะวุ่นวายจวบจนทุกวันนี้
เปรียบเทียบกับทัพใหญ่ของ นปก. ในวันที่ต่อสู้ขับไล่คณะรัฐประหาร
ในช่วงปี 2550 ยึดสนามหลวงไว้นานหลายเดือน ระดมคนมาร่วมได้
นับแสนคน แนวร่วมกระจายไปทั้งภาคเหนือ อีสาน สร้างแรงกดดันแก่
คณะบริหารผลประโยชน์ที่แต่งตั้งโดยคมช.(หรือที่คมช.เรียกว่ารัฐบาล)
แรงกดดันที่มาจากในประเทศ นอกประเทศ จนนายพลเอกสุรยุทธ์ต้อง
รีบเร่งให้มีการเลือกตั้งเมื่อ 23 ธันวาคม 2550 นั่นเอง
แม้ในวันเวลาของทัพใหญ่ นปก.จะไม่มีพรรคไทยรักไทยอีกแล้ว
แต่นั่นคือตัวอย่างของภาคการเมืองที่ลงมาร่วมมือกับภาคประชาชน
คำว่าภาคการเมือง หรือนักการเมือง ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง ไม่ต้อง
เป็นสส. ไม่ต้องเป็นรัฐมนตรี ภาคการเมืองหรือนักการเมืองนั้นคือคน
ที่อุทิศตนเข้ามาดำเนินการทางการเมืองในฐานะตัวแทนของมวลชน..
เพราะนักการเมืองตัวจริง ย่อมมีทีมงาน มีที่ปรึกษา มีคนรู้จักในวงการ
ต่างๆ และที่สำคัญคือมีประสบการณ์ด้านมวลชน
การนำมวลชนต้องใช้คนที่มีประสบการณ์การเมืองที่ชํ่าชอง
แน่นอนว่ามวลชนนั้นต้อง"มีใจ"ให้แก่การต่อสู้
แต่ม๊อบที่มาด้วยใจอย่างเดียว..มักต้องไปด้วยปืน
ม๊อบที่มาด้วยใจและสมอง ต่อให้ศัตรูมีกองทัพบกทั้งกองทัพก็ยังต้องถอย
การต่อสู้ทางการเมืองในศตวรรษนี้ จะเป็นการต่อสู้ด้วยชั้นเชิงทางปัญญา
ไม่ต้องมีปริญญา..แต่ต้องมีความรู้การศึกษา ต้องใจถึงและอำมหิต
การต่อสู้ทางการเมืองเป็นการต่อสู้ในหลายมิติ
มีทั้งสิ่งที่เรามองเห็น ..ผ่านทางสื่อมวลชน บนท้องถนน และข่าวลือ
แล้วยังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็น ที่ฟัดกันในระดับสูงขึ้นไป และอยู่เบื้องหลัง ก็
เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี background task ที่ทำงานตลอดเวลา
และบางครั้งก็ลากให้การทำงานของเครื่องช้าลงไป ยิ่งเครื่องเก่าๆที่มีไวรัส
ด้วยแล้ว..ปัญหายิ่งเยอะ
นายกฯสมัคร สุนทรเวช กำลังต่อสู้ศึกเบื้องหลัง..อย่างหนักหน่วง
สิ่งเดียวที่ทำให้ฝ่ายรัฐบาลยังคงรักษา"สภาพได้เปรียบ"ในขณะนี้คือพลังของ
มวลชน..ที่สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย แต่อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้าว่าพลัง
ของมวลมหาประชาชนจะไม่มีศักยภาพสูงสุดหากไม่มีแกนนำทางการเมืองใน
ภาคส่วนของประชาชน
แกนนำนี้มิใช่ผู้นำ แต่เป็นสื่อกลาง เป็นตัวแทน เป็นเจ้าภาพตามแต่กรณีและ
ความเหมาะสมของสถานการณ์ และการรักษาฐานมวลชนนี้ไว้ แกนนำต้อง
รู้จักพัฒนาตนเองให้ทันกับเหตุการณ์ เท่าทันต่อพัฒนาการของฝ่ายศัตรู
การใช้มุกเดิม วาทะกรรมเดิม..มันไม่ได้เรื่อง
ให้ดูฝ่ายพันธมิตรฯเป็นตัวอย่าง นั่นคือการอาศัยมุกเก่า วาทะกรรมซํ้าซาก
ก็จะได้ม๊อบพันธมิตรฯหน้าเดิมๆ ซึ่งลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ
ข้อได้เปรียบของฝ่ายพันธมิตรฯ หรือฝ่ายอมาตยก็คือ background task
ที่มีไวรัสตัวร้ายในระบบ แต่ฝ่ายนายกฯสมัคร ก็มีโปรแกรมต่อต้านไวรัส ที่
ดุเดือดพอกัน และสามารถยับยั้ง มิให้ไวรัสตัวนี้ทำลายระบบทั้งหมดได้ง่ายๆ
ปัญหาใหญ่ คือแกนนำภาคประชาชนต้องตั้งสติให้มั่นคงกว่านี้ เพราะพวก
พันธมิตรฯมันเริ่มมองเห็นความไม่เข้าท่าหลายๆอย่างในฝ่ายเรา ซึ่งที่จริงมัน
รู้เห็นมานาน แต่สมัยก่อนมันเอาไว้เย้ยหยันเล่นๆเท่านั้น
ปัญหาตอนนี้คือ หลายคนในกลุ่มพันธมิตรฯระดับแนวร่วมมันสมอง
เริ่มคิดค้น"วิธีการหาประโยชน์" และ "บ่อนทำลาย" จากข้อด้อยของแกนนำ
ฝ่ายประชาชน คือตราบเท่าที่ทัพใหญ่ นปก. หรือพวก PTV ยังไม่สามารถ
โดดลงมาจัดทัพอย่างเป็นทางการ อีกฝ่ายก็ยิ่งสบายใจ และเล่นกับคนที่เหลือ
อยู่ในตอนนี้ได้ง่ายกว่า ..
ประเด็นจึงอยู่ที่..
แกนนำภาคประชาชนของฝ่ายประชาธิปไตยในเวลานี้ ที่มีคิวออกมาแสดง
บทบาท แม้มาด้วยความรัก มาด้วยใจสู้เต็มร้อย..หรือเกินร้อยก็ตาม แค่ใจ
นั้นไม่เพียงพอสำหรับศึกสงครามในปัจจุบัน
แล้วยังมีประเด็นแทรกซ้อน..
เรื่องของความอิจฉาริษยา นินทาว่าร้าย ทะเยอทะยาน หมั่นไส้กันเอง
อันนี้ต้องเลิก..หรือยับยั้งใจตนเองไว้บ้าง เพราะจะพาให้พวกเราตายห่ากัน
หมดทุกคน แต่กลุ่มแต่ละฝ่าย ล้วนมีเป้าประสงค์ในการดำเนินการ ก็ให้รับรู้
มุกของกันและกันไว้บ้าง อย่ามาขวางทางเดียวกัน..เพียงเพราะอัตตาตัวเอง
เรื่องของข้อมูลตามความเป็นจริง ตรงนี้ต้องระวัง ต้องศึกษาให้ละเอียด
มากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นเวทีโจมตีแนวร่วมของตนเอง..ที่อยู่ในสื่อ
หรือวิชาชีพต่างๆ ซึ่งแนวร่วมของพวกเราในสื่อมวลชนกระแสหลัก ปกติก็มี
น้อยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ควรทำลายแนวร่วมที่เหลืออยู่น้อยนิด และอยู่ร่วมกับ
พวกเราด้วยใจมาตั้งแต่ต้น การขึ้นมาด่าแนวร่วมของตนเอง..ด้วยความไม่รู้นั้น
มันน่าเกลียด พวกพันธมิตรฯมันนอนฟังอยู่กับบ้าน..หัวเราะกลิ้งไปมา
แล้วอย่าลืมว่า..ข้อมูลตามเว็บบอร์ด อย่าเฮตามกันไปโดยไม่ตรวจสอบให้ดี
เพราะไม่ได้มีแค่พวกเราที่โพสข้อความ กี่ครั้งแล้วที่พวกนั้นปล่อยชื่อใครมาสัก
คน แล้วเพื่อนก็ด่าตามกันเป็นทิวแถว ด่าพวกเดียวกัน.. อีกฝ่ายก็หัวเราะกลิ้ง
นั่นยังแค่ในอินเตอร์เนต อยู่ในวงจำกัดมากๆ ยังไม่ได้สร้างความเสียหายแก่
ขบวนการต่อสู้โดยรวม แต่การขึ้นเวทีสนามหลวง..นี่เป็นอีกเรื่องอีกมิติหนึ่ง
การออกมาทำลายแนวร่วมตัวเองในที่สาธารณะ
มันคือการส่อแววพ่ายแพ้ คนฟังแล้วหมดกำลังใจไปเยอะ
ปัญหาใหญ่ของฝ่ายพันธมิตรฯที่ไม่เคยแก้ได้สำเร็จคือการสมสู่กันเอง จนได้
ข้อมูลผิดเพี้ยนบิดเบือน แล้วประเมินวางแผนดำเนินการไปตามข้อมูลวิปริต
ที่มาจากการสมสู่กันเองนั้น นำสู่ความฉิบหายของ คมช.ที่ทำรัฐประหารแบบ
เสียของ ไม่ได้ประโยชน์เป็นชิ้นเป็นอันกับอมาตยาฯ นอกจากสงครามยืดเยื้อ
ฝ่ายประชาธิปไตยก็เช่นกัน..อย่าไปเดินซํ้ารอยศัตรู
นี่คือกระบวนการต่อสู้ของประชาชน
เพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เพื่อประเทศชาติผืนแผ่นดินไทย อนาคตสันติสุขของลูกหลาน
นี่คือสนามรบ..ไม่ใช่เวทีแจ้งเกิดของใครทั้งนั้น
และถ้าพ่ายแพ้คราวนี้..คือความตายของประชาชนจำนวนมากมาย
ความตายจริงๆ..แบบที่กลายเป็นศพ ไม่ใช่อุปมาอุปไมย เพราะฉะนั้นอย่ามั่ว
แล้วถ้าหากต้องไปถึงวันเลือดนองท้องช้าง อันเกิดจากความพ่ายแพ้ของฝ่าย
ประชาธิปไตย ให้รู้ไว้ว่าเราจำได้ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายพวกเราที่ทำให้เสียเรื่อง
เสียกระบวน ไม่ว่าจะในพรรคนอกพรรค ..เราจะไม่ให้อภัยใครทั้งนั้น "