ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 21:26
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  เมียฟ้องสส.นักร้อง เอกพจน์ หาแพร่โรคร้ายแรงไม่มียารักษา-ทำร้ายร่างกาย 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
เมียฟ้องสส.นักร้อง เอกพจน์ หาแพร่โรคร้ายแรงไม่มียารักษา-ทำร้ายร่างกาย  (อ่าน 1061 ครั้ง)
oho
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 712


« เมื่อ: 19-06-2008, 17:25 »


เมียฟ้องสส.นักร้อง เอกพจน์ หาแพร่โรค-ทำร้าย [19 มิ.ย. 51 - 04:52]
 แหล่งข่าว




ที่ศาลจังหวัดธัญบุรี จ.ปทุมธานี เมื่อเวลา 14.30น. วันที่ 18 มิ.ย. นางชลธิชา ปานแย้ม อายุ 38 ปี ภรรยานายเอกพจน์ ปานแย้ม ส.ส.ปทุมธานี รองโฆษกพรรคชาติไทย ได้เดินทางไปเพื่อยื่นคำฟ้องดำเนินคดีอาญากับนายเอกพจน์ ข้อหาทำร้ายร่างกายสาหัส และข้อหาเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความอันเป็นเท็จโดยในคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2542 โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ณ สำนักทะเบียนอำเภอธัญบุรี โดยระหว่างประมาณต้นปี พ.ศ. 2542 จนถึงวันที่ 8 ก.พ. 2551 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือระหว่างประมาณต้นปี 2542 จนถึงประมาณปลายปี พ.ศ. 2542 จำเลยซึ่งทราบดีว่าตนได้ป่วยเจ็บเรื้อรัง ด้วยโรคร้ายแรงที่ยังไม่มียารักษาได้ ได้บังอาจทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยการจงใจแพร่เชื้อโรคร้ายแรงดังกล่าว ให้แก่โจทก์หลายครั้งหลายหน จนเป็นเหตุให้โจทก์รับอันตรายสาหัส ต้องป่วยเจ็บโรคร้ายแรงดังกล่าว จนต้องเข้ารักษาอย่างต่อเนื่องและอาจถึงแก่ชีวิต


 


คำฟ้องระบุอีกว่า เมื่อประมาณเดือน ก.ย. 2543 เวลากลางวัน จำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ร่างกายอ่อนแอป่วยเจ็บ ด้วยโรคเรื้อรังที่ยังไม่มียารักษาได้ดังกล่าวจากโจทก์ ข้างต้น จำเลยได้บังอาจทำร้ายโจทก์ ด้วยการชกต่อยศีรษะของโจทก์ ทำให้ใบหน้าโจทก์แตก ดวงตาซ้ายโจทก์แตก-ช้ำบวมอักเสบอย่างมากจนเป็นเหตุให้โจทก์รับอันตรายสาหัส ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน


 


เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2544 เวลากลางวัน ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของจำเลย จำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ร่างกายอ่อนแอ ได้บังอาจทำร้ายโจทก์ด้วยการตบศีรษะโจทก์ ทุบตีร่างกายอย่างแรง จนโจทก์กลิ้งไปกลิ้งมาและตกถนนลงข้างทาง การกระทำดังกล่าวของจำเลย เป็นเหตุให้ศีรษะโจทก์ด้านหลังซ้ายบวมแดงขนาดใหญ่ จนอักเสบอย่างมากปวดช้ำตามลำตัว จนโจทก์รับอันตรายสาหัส ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือจนประกอบกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน


 


คำฟ้องระบุด้วยว่า เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2551 เวลากลางวัน จำเลยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่กรอกข้อความในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์และหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง ได้กระทำการในการปฏิบัติตามหน้าที่ รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ แล้วนำไปยื่นต่อนายกล้านรงค์ จันทิก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เป็นเจ้าพนักงานว่า เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2551 โจทก์มีเงินฝาก 38,618.36 บาท โจทก์มีเงินลงทุน 1,490,000 บาท โจทก์มียานพาหนะราคา 1,000,000 บาท รวมทรัพย์สิน 2,528,618.36 บาท ทั้งๆที่โจทก์ไม่มีเงินและทรัพย์สินแต่อย่างใดทั้งสิ้น

 



อีกทั้งโจทก์ยังทราบว่าจำเลยมีทรัพย์สินมากกว่า 9,760,181.00 บาท ตามที่ได้แจ้งไว้อีกด้วย โดยจำเลยได้ มอบหมายให้อยู่ในความครอบครอง หรือดูแลของญาติพี่น้องของจำเลย รวมทั้งบุคคลอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมด้วย นอกจากนั้นจำเลยยังได้กรอกข้อความในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต่อ ป.ป.ช.ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่งโดยทุจริต โดยเหตุตามฟ้องเกิดที่ ต.บางตาล อ.ปากเกร็ดจ.นนทบุรี และ ต.ท่ามะขาม อ.เมืองกาญจนบุรี และแขวงดุสิต เขตดุสิต กทม.


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้ลงเป็นบันทึกคดีหมายเลขดำที่ 3643/2551 โดยจะมีการนัดไต่สวนโจทก์ ครั้งแรกในวันที่ 25 ส.ค.นี้ เวลา 13.30 น.



 

ทางด้านนายเอกพจน์ ปานแย้ม ส.ส.ปทุมธานี พรรคชาติไทย ยอมรับว่า มีปัญหาภายในครอบครัว เนื่องจากความไม่เข้าใจกัน ขณะนี้ได้แยกกันอยู่กับภรรยามานานร่วมสองเดือนแล้ว ปัญหาของครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เกิดจากความไม่เข้าใจกัน และเรื่องลักษณะนิสัยที่เข้ากันไม่ได้ ที่ผ่านมาได้ขอหย่ากับฝ่ายหญิง แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมพูดถึง จนทำให้ต้องออกจากบ้านและแยกกันอยู่ ส่วนที่มีการอ้างว่าทำร้ายร่างกายภรรยานั้น ขอปฏิเสธว่าไม่มี เพราะโดยส่วนตัวทุกคนที่อยู่รอบข้างมา จะรู้ดีว่ามีลักษณะนิสัยอย่างไร ปกติเป็นคนใจเย็น และไม่คิดว่าฝ่ายหญิงจะนำเรื่องดังกล่าวไปฟ้องร้องต่อศาล ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะที่ผ่านมาได้พยายามทุกอย่างแล้ว ทั้งให้แม่ของตนไปช่วยพูดจาไกล่เกลี่ย แต่ในเมื่ออยู่กันไม่ได้ก็ต้องขอหย่า แต่ฝ่ายหญิงก็ยังไม่ยอมหย่าให้ คาดว่าที่เขาไปฟ้องร้อง เนื่องจากคงจะเกิดความหวาดระแวงว่าจะไม่รับผิดชอบ แต่ขอยืนยันว่าพร้อมที่จะรับผิดชอบทุกอย่างทั้งลูกและค่าใช้จ่ายของภรรยา



 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายภรรยาระบุในคำฟ้องด้วยว่านายเอกพจน์แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ นายเอกพจน์ตอบว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะยืนยันได้ว่าได้ชี้แจงทรัพย์สินต่อ  ป.ป.ช.  ทั้งที่มีในชื่อของตน ภรรยาและชื่อลูกตรงตามความเป็นจริง ไม่คิดว่าภรรยาของตนจะใช้วิธีฟ้องร้องต่อศาล เพราะขณะนี้งานการเมืองก็ค่อนข้างมาก ต้องทำหน้าที่วิปรัฐบาลด้วย ต้องติดตามงานหลายเรื่อง จึงอาจไม่ได้มีเวลาเข้าไปพูดคุยกับเขา แต่ก็ได้ให้แม่ของตนเข้าไปทำความเข้าใจแล้ว โดยยืนยันจะขอหย่าแยกทางกัน และพร้อมจะรับผิดชอบเรื่องลูกทุกอย่าง

 
 
บันทึกการเข้า
บักหัวเถิก
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 438



« ตอบ #1 เมื่อ: 19-06-2008, 17:45 »

                                           ทำไมเพิ่งมาฟ้องกันเล่าตังชื้อยาหมดละก้า
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: