ข้างล่างนี้เป็นร่างจดหมายที่ผมทำขึ้น และจะถูกส่งออกไปในวันจันทร์นี้ตามมติของที่ประชุมในห้องนี้ หากต้องการแก้ไข เพิ่มเติมส่วนใดก็ขอให้บอกมานะครับ
ส่วนท่านที่ประสงค์จะลงนามเป็นหางว่าว (เรียงตามตัวอักษรครับ ไม่ต้องห่วง) ก็ขอให้ส่งเจตจำนงผ่านกล่องเมล์ของผมที่
bonnythai@hotmail.com โดยแจ้งหัวข้อว่า
ต้องการลงชื่อคัดค้านกรณีเขาพระวิหาร ไม่ต้องลงนามแฝงในเสรีไทยให้ผมทราบก็ได้นะครับ
ส่วนจะส่งในนามของบอร์ดหรือบางส่วนของสมาชิกก็จะตัดสินกันหลัง 24.00น.ของวันเสาร์นะครับ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันที่...........................
เรื่อง..ขอคัดค้านการทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยของ รมต.ต่างประเทศกรณีขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก
เรียน...........................
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งให้ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนฝ่ายไทยใน
คณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาเขาพระวิหาร เพื่อเจรจากับฝ่ายกัมพูชาในกรณีกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก
บัดนี้มีแนวโน้มว่า ท่านรัฐมนตรี จะเห็นชอบกับแผนที่ใหม่ที่ทางคณะผู้แทนฝ่ายกัมพูชาเสนอมา และได้ลงนามรับรองแนวเขตแดนระหว่างสองประเทศที่เคยมีปัญหาขัดแย้งกันโดยเฉพาะพื้นที่ด้านตะวันตก ด้านเหนือของเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร
พวกเราในฐานะประชาชนชาวไทยขอคัดค้านการกระทำใดๆ ในฐานะตัวแทนประเทศไทยของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีต่างประเทศในประเด็นข้อตกลงเกี่ยวกับข้อยุติเรื่องเขตแดนและการยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารพวกเราขอเสนอให้รัฐบาลดำเนินการเรื่องนี้ด้วยความโปร่งใส และเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอนของข้อตกลงให้ประชาชนรับทราบก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ลงไป โดยเฉพาะในประเด็นที่ยังเป็นที่กังขาดังต่อไปนี้..
1..) แผนที่ฉบับใหม่บริเวณรอบเขาพระวิหารที่ท่านรัฐมนตรีอ้างว่า ได้ผ่านความเห็นชอบจากกรมแผนที่ทหารแล้วนั้น ประชาชนจะทราบได้อย่างไรว่า เป็นแผนที่ฉบับเดียวกันกับที่ทางกัมพูชายื่นต่อองค์การยูเนสโก
ในเมื่อทางกัมพูชาไม่ยอมให้แผนที่ตัวจริงกับฝ่ายไทยมาแสดง เป็นไปได้หรือไม่ที่แผนที่ฉบับที่ท่านนพดล นำมาแสดง ควรได้มีการลงนามรับรองโดยผู้แทนฝ่ายกัมพูชาว่าเป็นสำเนาเดียวกับฉบับตัวจริงเพื่อมิให้มีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง
2..) พื้นที่ทับซ้อนจำนวน 4.6 ตร.กม. เหตุใดจึงมีชาวกัมพูชาไปตั้งรกรากอาศัยอยู่อย่างถาวรเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ท่านรัฐมนตรีไม่อาจให้รายละเอียดได้ว่า ทางกัมพูชาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรไม่ให้กระทบกับความรู้สึกของคนไทย
การอ้างว่า ทางกัมพูชารับปากว่าจะจัดการให้เรียบร้อยภายในปี พศ.2552 นั้น เป็นเพียงการกล่าวอ้างของท่านรัฐมนตรีฝ่ายเดียว ซึ่งเมื่อถึงเวลาดังกล่าวแล้ว ก็ไม่แน่ว่า
ท่านจะยังอยู่ในดำแหน่งนี้อีกต่อไปหรือไม่ การจัดการของฝ่ายกัมพูชาก็ไม่ได้บอกว่า หมายถึงการผลักดันชาวกัมพูชาทุกคนให้ออกไปจากพื้นที่ทับซ้อนอย่างที่คนไทยเข้าใจหรือเปล่า รัฐบาลจึงควรทำข้อตกลงเรื่องนี้กับทางกัมพูชาให้ชัดเจนเสียก่อนที่จะมีการตกลงใดๆ เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียน
3..) เดิมทีข้อตกลง เมื่อ 25 มีนาคม 2547 เวลา 15.11 น. นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ประชุมร่วมกับนาย ซก อาน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยประชุมกันที่กรุงเทพฯ เรื่อง การร่วมพัฒนาปราสาทพระวิหาร พร้อมแถลงข่าวร่วม ภายหลังการประชุมโดย นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่าที่ประชุมมีข้อสรุป ดังนี้
1.
จะดำเนินโครงการให้เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพไทย-กัมพูชา โดยร่วมมือและอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน 2.อนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร ให้เป็นมรดกโลกของมนุษย์ชาติ โดยจะร่วมกับ UNESCO พัฒนา หลังจากจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว
3.
จะแก้ไขปัญหาสำคัญๆ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทันที โดยฝ่ายกัมพูชาจะตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เหมือนกับไทย และจำมีการประชุมระหว่างคณะอนุกรรมการไทย-กัมพูชา ต่อไป เพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เช่น การตั้งร้านค้าที่มีระเบียบ ปัญหาสิ่งแวดล้อม การเก็บกู้ทุ่นระเบิด 4.จะดำเนินโครงการพัฒนาร่วมปราสาทพระวิหารให้เข้ากับโครงการในกรอบอื่นๆ เช่น ยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจ ประเทศลุ่มแม่น้ำอิรวดี เจ้าพระยา แม่โขง (ACMECS)
5.ไทยและกัมพูชายินดีให้ประเทศที่ 3 องค์การระหว่างประเทศ และภาคเอกชนมาพัฒนาร่วมกัน
6.
การพัฒนาปราสาทพระวิหารจะไม่กระทบกับการปักปันเขตแดน 7.กำหนดแผนปฏิบัติการให้เป็นขั้นตอน โดยจะมีการสำรวจรายละเอียดเพื่อหายอดงบประมาณในการดำเนินการโครงการทั้งหมดว่าจะใช้จำนวนเท่าไร อย่างไรก็ตาม หาก UNESCO รับจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว จะไม่เป็นเรื่องยากที่จะมีการบูรณะและพัฒนา
ต่อมามีบทความข่าวจาก นสพ.มติชน ได้เสนอข่าวตอนหนึ่งว่า..
"ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลลานนท์
นาย ฮอร์ นำ ฮง รองนายกรัฐมนตรี.และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ได้หารือข้อราชการกับรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2550 ในประเด็นเรื่องความพยายามของทางการกัมพูชาในการยื่นขอจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกจะได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวในการประชุมสมัยที่ 31 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ นครไครสท์เชิร์ช นิวซีแลนด์ ในปลายมิถุนายน 2550
การหารือเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวในระหว่างการเยือนครั้งนี้เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา
ซึ่งทั้งสองฝ่ายยังมีท่าทีและความเห็นที่แตกต่างกันในหลายประเด็น เนื่องจากมีประเด็นด้านกฎหมาย เขตแดนและอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง.................
...............แม้ว่าก่อนหน้านี้ฝ่ายไทยได้พยายามขอพบฝ่ายกัมพูชาเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธ ยังผลให้การหารือระหว่างไทย-กัมพูชา ในครั้งนี้ไม่อาจกระทำได้ในรายละเอียดซึ่งมีความละเอียดอ่อนได้อย่างครบถ้วน"
จะเห็นได้ว่า ข้อตกลงที่ยังมีปัญหาและไม่มีความชัดเจน คือ ข้อ 1 และ ข้อ 6 และทางกัมพูชาก็เป็นฝ่ายบ่ายเบี่ยงที่จะเจรจามาตลอด
ในเมื่อยังมีปัญหาขัดแย้งจากประชาชนเจ้าของประเทศอยู่ จึงไม่ควรขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในขณะนี้ จักต้องแก้ไขและทำให้เกิดความชัดเจนแก่ประชาชนทั้งสองประเทศเสียก่อนจึงจะเป็นไปตามข้อตกลงเดิมที่ได้ลงนามกันเอาไว้ตั้งแต่ครั้งแรก
4..) ก่อนหน้านี้ปรากฏข่าวว่า มีอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยได้เดินทางไปพบนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา และคณะผู้บริหารประเทศ หลังจากนั้น ทราบว่าเป็นการหารือเกี่ยวกับการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในประเทศกัมพูชาจำนวนมหาศาล ซึ่งท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ เดิมเคยเป็นทนายแก้ต่างให้อดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ในหลายคดีที่อดีตนายกฯ ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคิดมิชอบต่อหน้าที่ จึงไม่ทราบว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารและการปักปันเขตแดนจะเป็นส่วนหนึ่งในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางธุรกิจกับกัมพูชาหรือไม่
เพื่อความสง่างามและไม่เป็นที่ครหา
รัฐบาลจึงควรแต่งตั้งบุคคลคณะหนึ่งขึ้นมา ที่มีความเป็นกลางทางการเมืองและได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไปเพื่อทำหน้าที่แทนท่านรัฐมนตรี นพดล ปัทมะท่านนี้ขอเรียนให้ท่านทราบว่า พวกเราประชาชนคนไทยรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยและไม่ไว้วางใจการทำความตกลงใดๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการขึ้นทะเบีบนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และการทำแผนที่แนวอาณาเขตรอบๆ เขาพระวิหารของท่านรัฐมนตรีต่างประเทศในครั้งนี้ว่า มีความจริงใจและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง
จึงขอเรียกร้องให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ "ยุติ" การกระทำใดๆ ในนามของประเทศไทยต่อกรณีการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารและข้อตกลงเรื่องเขตแดนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หาไม่แล้ว พวกเราจะพร้อมใจกันต่อต้านอย่างถึงที่สุด
ขอแสดงความนับถือ..
ลงชื่อ...................