http://www.bangkokbiznews.com/2006/06/02/c004_109271.php?news_id=1092711 มิถุนายน 2549 17:44 น.
ชั่ว2สมัยทักษิณ ได้เพิ่มอัตราเร่งทุนนิยมไทยแบบก้าวกระโดดไปสู่ทุนโลกาภิวัตน์ ซึ่งนักปฏิบัติอย่างเขา นอกจากไม่เจ็บตัวในช่วงฟองสบู่แตกปี40แล้ว ยังก้าวกระโดดกว่าใครด้วย แต่ก็ต้องเผชิญขั้วตรงข้ามต่อต้าน นั่นคือกระแสการพัฒนาอย่างยั่งยืน
* ประชุม ประทีป
------------------
หากซ้ายใหม่ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ อธิบายแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผ่านแนวนโยบายประชานิยม ตามที่ เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับ 26 พฤษภาคม 2549 ได้คัดลอกจากนิตยสาร Corporate Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2546 คอลัมน์ "เก็บตกทุนนิยม" เขียนโดย ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว ความสรุปว่า
"ถ้ามองด้วยใจเป็นธรรม ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ดำเนินนโยบายเพื่อคนชั้นล่างในสังคม มากกว่านายกรัฐมนตรีคนอื่นใด นับแต่หลังยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์...นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ธนาคารประชาชน สุราแช่และเหล้าหมัก หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ พักหนี้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน และนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง นโยบายแปลงทรัพย์สินเป็นทุน...เหล่านี้ล้วนเป็นนโยบายที่มุ่งสนับสนุนชนชั้นล่าง และชนชั้นกลางค่อนไปข้างล่างของสังคมทั้งสิ้น"
"...คนที่เป็น Matured Marxist นั้นจะเป็น Banker ที่ดีมากในโลกปัจจุบัน นัยของคำกล่าวนี้ บอกว่า Banker และ Marxist นั้นเข้าใจความสำคัญของทุน ว่าเป็นหัวใจ ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกระบวนการสร้างความมั่งคั่ง เช่นเดียวกัน...ไม่ว่าคุณจะถูกTrain มาจากทางซ้ายหรือจากทางขวา ในที่สุด คุณจะค้นพบสัจธรรมเช่นกัน เพียงแต่คุณจะใช้ความเข้าใจดังกล่าวไปเพื่อเป้าหมายอะไร หรือวิธีการไปสู่เป้าหมายนั้น ต่างหากที่อาจจะแตกต่างกัน
"
เป็นการอ้างถึง คาร์ล มาร์กซ ผู้เขียน Das Kapital ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2410 คัมภีร์มาร์กซิสต์ที่ใช้สำหรับวิภาษวิธีต่อทุนนิยมว่า กำลังจะถึงจุดจบ เพราะนายทุนร่ำรวยขึ้น โดยอาศัยอุตสาหกรรมอย่างใหม่ และขยายตลาดออกไป แต่คนงานกลับยากจนข้นแค้นลงทุกทีๆ วิธีการแก้ไขคือเลิกล้มสมบัติส่วนตัวเสียทั้งหมด ซึ่งมาร์กซได้ความคิดจาก ฌาง ฌาก รุสโซ (พ.ศ.2255-2321)
"รุสโซ" ที่เป็นหัวเชื้อแห่งการปฏิวัติฝรั่งเศส พ.ศ.2332 (ค.ศ.1789)
ขณะที่ มาร์กซ เห็นแค่ด้านลบของทุนนิยม แม้แต่การกู้ยืมเงินคิดดอกเบี้ย ก็ถือเป็นต้นเหตุการกดขี่ข่มเหงร้ายกาจ และหนุนการใช้กำลังปฏิวัติอำนาจรัฐ ซึ่งนำไปสู่โศกนาฏกรรมใหญ่
ขณะที่ แม้ว-ทักษิณ และซ้ายใหม่ เห็นพลังแห่งทุน และใช้ทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการเมืองไปพร้อมกัน เพียงแต่เป็น"ทุนนิยมคุมรัฐ" ไม่ใช่"รัฐคุมทุน" แบบพรรคคอมมิวนิสต์ และยังเชื่อมโยงเอื้อประโยชน์ต่อทุนข้ามชาติ ผ่านข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศด้วย
แต่สำหรับสหายเก่า พรรคคอมมิวนิสต์ไทย เช่น สุวิทย์ วัดหนู จากองค์กรพัฒนาชุมชนแออัด และเป็นโฆษกเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พปป.) ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์"
ซึ่งความคิดเห็นส่วนเขาตัวต่อ การส่งเสริมกระบวนการชนชั้นล่าง โดยพ่วงติดกับตัวเงินผ่านนโยบายประชานิยมนั้น เขาไม่เชื่อว่า เป็นวิธีการถูกต้อง
"เมื่อพิจารณาถึงหลักคิดแล้ว ไม่ใช่แนวทางเดียวกับภาคประชาชน ที่พวกผมกำลังเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน ยิ่งพูดในรายละเอียดวิธีการแล้ว ยิ่งต่างกัน แนวทางการเคลื่อนไหวคนชั้นล่างของเราอาจใช้เวลานานหน่อย เพราะยังมีอุปสรรคเรื่องการเข้าถึงข้อมูล และที่ว่าการขับเคลื่อนทุนแบบนี้จะทำให้คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ นั่นเป็นแค่ข้ออ้าง แค่เจียดส่วนเหลือให้เท่านั้น และเป็นเงินภาษีประชาชนด้วย เพื่อไปกระตุ้นการบริโภคอย่างเต็มสูบ"
สุวิทย์ ระบุอีกว่า ทุนโลกาภิวัตน์ไม่มีสัญชาติ ไม่มีพรมแดน ส่วนการทำอะไรเขาก็ต้องคำนึงถึงการจะสูบเอามูลค่าส่วนเกิน หรือส่วนต่างจากตลาดทั้งโลก
ซึ่งกระแสนี้ มาร์กาเร็ธ แธตเชอร์ อดีตนายกอังกฤษ เคยพูดไว้เมื่อปี 2530 ถึงขั้นบอกว่า "โลกนี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากเป็นทุนนิยม" ซึ่งในช่วงนั้นหลายประเทศก็ไม่เห็นด้วย เขาเองก็ไม่เชื่อว่าทุนนิยมเสรีใหม่จะเป็นทางออกของมนุษยชาติ
"ภาษาซ้ายเก่าในทางทฤษฎีว่า พลังการผลิตใหม่ที่ก้าวหน้ากว่า จะทำลายการผลิตแบบเก่าที่ล้าหลัง แต่ผมถามว่า สำคัญที่กำลังทุนในการผลิต ไม่ได้อยู่ในมือคนส่วนใหญ่แต่อย่างใด"
"..ที่มองว่าเป็นการปะทะของทุนเก่ากับทุนใหม่นั้น ผมว่าวิเคราะห์อย่างนี้มันหยาบไป คุณลองดูสิ บางสถานการณ์เขาก็สามัคคีกันน่ะ ธนาคารกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างก็ฮั้วกันอยู่ ใช่ทักษิณเป็นเหมือนสัญลักษณ์ทุนใหม่ก้าวหน้ากว่า แต่หลายสถานการณ์เขาก็ฮั้วกัน"
อ้ศวินคลื่นลูกที่สาม-อัศวินควายดำ
โดยนัยนี้ "ทักษิณ" อาจได้อ่าน Das Kapital แต่แนวคิดจากหนังสือ"คลื่นลูกที่สาม" และอีกหลายเล่มของ อัลวิน ทอฟเลอร์ (Alvin Toffler) น่าจะฝังใจเขามากกว่า ดังที่เขาชอบฉายา"อัศวินคลื่นลูกที่สาม" ก่อนที่จะได้ฉายา"อัศวินควายดำ"
เป็น "อัลวิน" ที่ใช้ศัพท์ globalization ที่"ทักษิณ" ชอบอ้างถมทับฝ่ายต่อต้านว่า ไม่ประสีประสา
อาจพูดได้ว่า ชั่ว2สมัยของ"ทักษิณ" ได้เพิ่มอัตราเร่งทุนนิยมไทยแบบก้าวกระโดดไปสู่ทุนนิยมใหม่ หรือทุนโลกาภิวัตน์ หรือทุนนิยมขั้นที่ 4 ดังคนที่เข้าใจแก่นของทุนโลกาภิวัตน์ และเป็นนักปฏิบัติ นอกจากไม่เจ็บตัวในช่วงค่าเงินบาทถูกถล่ม ฟองสบู่แตกปี 2540 แล้ว ยังเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่านายทุนคนใดอีกด้วย
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ไม่เพียงซ้ายเก่า ไม่เอา"ระบอบทักษิณ" และไม่เอาทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ที่สร้างความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นใหม่เท่านั้น ปัญญาชน นักคิด สายธรรมิกสังคมนิยม แม้แต่ชนชั้นสูงก็ไม่เอาด้วยเช่นกัน
ขณะที่ มาร์กซ อ้างทุนนิยมกำลังล้มสลายตั้งแต่ 100 กว่าปีโน้น ทว่า ทุนนิยมกลับปรับตัวมาตลอด ในทางกลับกัน สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ต่างหาก ที่ต้องปรับตัวเป็น "ทุนนิยมโดยรัฐ" รองรับการเปิดรับทุนต่างชาติมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของทุนนิยมก็ยังน่ากลัว ดังที่ ทองแถม นาถจำนง ได้สรุปแก่นระบบทุนนิยมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นใด กล่าวคือ
- ทุนนิยมมุ่งไปที่การพัฒนาด้านวัตถุเพื่ออำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ - ปลูกฝังค่านิยมผลประโยชน์ส่วนบุคคลมากกว่าส่วนรวม - ส่งเสริมการอุปโภค บริโภคอย่างไร้ขอบเขต(ลัทธิบริโภคนิยม) -มีความสามารถในการทำลายอย่างแฝงเร้นแยบยล (ทุนนิยม4ขั้นฯ หน้า 57)
อาจกล่าวได้ว่า ขั้วตรงข้ามของทุนโลกาภิวัตน์ ตอนนี้คือกระแสการพัฒนาอย่างยั่งยืน
อย่าแปลกใจ ที่"ทักษิณ"เทียบปณิธานตัวตีเสมอ ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสผู้ล่วงลับ และเทียบการเปลี่ยนแปลงการเมืองเศรษฐกิจ และสังคมยิ่งใหญ่รองจากยุครัชกาลที่ 5
อย่าแปลกใจ หากได้วิเคราะห์แนวปฏิบัติของ"ทักษิณ" จะถอดพิมพ์ปรัชญาการเมือง การปกครอง จากแบบ"เดอะ ปริ๊นซ์" ของ มาเคียเวลลี ที่สอนผู้ปกครองให้เป็น "ราชสีห์" และ "จิ้งจอก" ควบคู่กัน
เป็นราชสีห์มีอำนาจ น่าเกรงขามไม่พอ ต้องมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างจิ๊งจอก เพื่อป้องให้ตัวเองพ้นกับดักด้วย
ซึ่งน่าคิดว่า หาก"ทักษิณ" ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทางกระบวนการศาลแล้ว คนรากหญ้าจะรู้สึก และทำอย่างไร?
===================
เอามาฝากเพื่อนๆน่ะ ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่หรอก