ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 22:44
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  บันทึกไว้ด้วยน้ำตา 18 มิถุนายน พุทธศักราช 2551 ไทยเสียปราสาทเขาพระวิหารอย่างถาวร 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: 1 2 [3] 4
บันทึกไว้ด้วยน้ำตา 18 มิถุนายน พุทธศักราช 2551 ไทยเสียปราสาทเขาพระวิหารอย่างถาวร  (อ่าน 14256 ครั้ง)
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #100 เมื่อ: 19-06-2008, 13:11 »

บอกเพิ่มอีกหน่อยว่าการย้ายประตูเหล็กลงมาที่เชิงทางขึ้นเขาพระวิหาร
ทำกันตอน ปี พ.ศ. 2544 ในรัฐบาลทักษิณ 1



โดยเขมรอ้างอิงแนวร่องน้ำลึก (ที่ความจริงตื้นมาก) ตามแนวเขตแดน
ในแผนที่ฉบับฝรั่งเศสที่ไทยไม่ยอมรับ เพราะเรายึดแนวสันปันน้ำ
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
TheBluECaT
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 824


"แมวน้อยสีน้ำเงิน..."


« ตอบ #101 เมื่อ: 19-06-2008, 13:16 »

แปลกใจจริง ๆ ...

อ่านมาทั้งหมดกระทู้  รู้สึกว่าจะมี คนไทย(รึเปล่า?)

ยินดีกลับการเสียดินแดนไทยให้เขมรไปจริง ๆ


 
บันทึกการเข้า

"ยามบุญมากาไก่กลายเป็นหงส์  ยามบุญหลงหงส์เป็นกาน่าฉงน...
ยามบุญมาหมูหมากลายเป็นคน  ยามบุญหล่นคนเป็นหมาน่าอัศจรรย์"
Familie
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 369



« ตอบ #102 เมื่อ: 19-06-2008, 13:43 »

ผมก็เหลือเชื่อจริงๆ
ไม่เคยเห็นยุคใหนที่มีคนไทยบางคน
เห็นดีเห็นงามไปกับการเสียดินแดนให้ต่างชาติ
มันน่าอนาถใจ 
บันทึกการเข้า


บรรพบุรุษ ของไทย แต่โบราณ      ปกบ้าน ป้องเมือง คุ้มเหย้า
เสียเลือด เสียเนื้อ มิใช่เบา           หน้าที่เรา รักษา สืบไป
ลูกหลาน เหลนโหลน ภายหน้า      จะได้มี พสุธา อาศัย
อนาคต จะต้องมี ประเทศไทย       มิยอมให้ ผู้ใด มาทำลาย
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #103 เมื่อ: 19-06-2008, 13:46 »

สำหรับผมนะ  ผมไม่ยอมรับ แต่เมื่อเป็นคำสั่งศาลผมก็ต้องปฏิบัติตาม

แล้วคุณล่ะ TLE คุณดีใจกับคำสั่งศาลโลกในกรณีนี้หรือ



คุณก็ทราบดีว่าคนดีย่อมปฏิบัติตามกฏหมาย...ถ้าไทยเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็ต้องนำเรื่องนี้ฟ้องศาลโลกอีกครั้งหนึ่งซิครับ แต่ละคนจะบอกว่าไม่ได้ฉันไม่ยอมรับ และฉันจะทำตามใจและความเชื่อของฉันเองเท่านั้น  สังคมในภูมิภาคนี้จะอยู่กันเป็นสุขได้อย่างไรกันเล่า!?!
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #104 เมื่อ: 19-06-2008, 13:53 »

เอ..มันกำลังจะกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกันเข้าไปทุกทีแล้วนะ

ที่คนศรีสะเกษ..พูดกันอยู่ตอนนี่ คือ ตั้งแต่บันไดขั้นที่ 162(ลานนาคราช) ลงมาจนถึงเชิงเขาเป็นแผ่นดินของไทย

โดยมีพื้นฐานมาจากเมื่อปี 2505 หลังศาลโลกมีคำพิพากษาให้ปราสาทพระวิหาร(ยืนยันว่า..ปราสาทพระวิหาร ไม่ใช่ "เขาพระวิหาร")เป็นของกัมพูชา

"ขุนชัย ชโนปกิตต์" ตำแหน่งปลัดขวา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับคำสั่งจากผู้หลักผู้ใหญ่ใน กทม. ให้นำราษฎรในพื้นที่ไปทำการปักปันแนวเขตบนเขาพระวิหาร โดยใช้หลักไม้แก่นที่หาได้มาทำเป็นเสาและใช้ลวดหนามขึงกั้นตลอดแนว ทั้งนี้ทำแนวรั้วกั้นเฉพาะด้านขวามือของปราสาทพระวิหาร(หันหน้าขึ้นเขา)ห่างจากตัวปราสาทหลังที่ 1 - 4 ประมาณ 20 เมตร

แนวรั้วที่เป็นเส้นกั้นเขตแดนด้านหน้าปราสาทอยู่บริเวณเชิงลานนาคราช คือ บนบันไดขั้นที่ 162

ดังนั้นนับจากบันไดขั้นที่ 162 ลงมาจนถึงเชิงเขาจึงเป็นของไทยทั้งหมด ประตูนี้มีตั้งแต่ปี 2505 เป็นต้นมาจนถึงปี 2542 เมื่อมีการเปิดเขาพระวิหารเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมระหว่างไทย - กัมพูชา ฝ่ายกัมพูชาได้รื้อถอนรั้วออกแล้วนำลงมาไว้ที่เชิงเขาใกล้กับบันไดทางขึ้นขั้นที่ 1 แล้วก็นำเอาราษฎรชาวกัมพูชาที่เดิมเคยอยู่บริเวณปราสาทหลังที่ 2 ลงมาสร้างชุมชนในบริเวณใกล้เคียงกันด้วย

เรื่องนี้ฝ่ายทหารรายงานให้รัฐบาลไทยทราบและทำการประท้วงให้รัฐบาลกัมพูชารื้อถอนชุมชนและย้ายราษฎรออกไปมาตลอด แต่ไม่เคยได้รับความสนใจทั้งจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา

หนำซ้ำพอมาในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณฯ ยังมีการไปทำข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลกัมพูชา ในความร่วมมือกันเพื่อพัฒนาปราสาทพระวิหารซะอีก

พอมีกระแสข่าวว่ากัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก คนศรีสะเกษจึงต้องการให้มีการอพยพชาวกัมพูชาและชุมชนชาวกัมพูชาออกไปเสียจากแผ่นดินไทย พร้อมกับรื้อประตูกั้นที่ฝ่ายกัมพูชายกลงมาไว้บริเวณเชิงเขากลับขึ้นไปไว้ที่เดิม

เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้เรามีโอกาสที่จะเสียดินแดนให้กับฝ่ายกัมพูชาเพิ่มเติมอีกนอกเหนือจากที่เสียไปแล้วก่อนหน้านี้

แต่แทนที่นายนพดลฯ จะฟังเสียงทัดทานคัดค้านกลับดันทุรังไปยอมรับแผนผังที่ฝ่ายกัมพูชานำเสนอ ซึ่งลากยาวลงมาจนถึงเชิงเขา ซึ่งเท่ากับว่าเรายินยอมยกดินแดนให้กัมพูชา

เรื่องการปักปันเขตแดนปราสาทพระวิหารหลังคำพิพากษาของศาลโลก ปัจจุบันคนที่ไปช่วยทำและยังมีชีวิตอยู่ คือ นายวินัย หรือเก๋ ไชยะเดชะ อายุ 76 ปี อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จ.ศรีสะเกษ ลูกชายขุนชัยฯ หลายวันก่อนเห็น NBT ไปสัมภาษณ์ ระหว่างที่ลุงเก๋กำลังจะชี้จุดที่ตั้งของประตูเก่า แม่ก็เล่นตัดภาพข่าวทิ้งไปดื้อ ๆ

"คนศรีสะเกษ"ไม่คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร แต่ต้องการให้กัมพูชาอพยพคนของตัวเองออกจากแผ่นดินไทยก่อนแล้วค่อยไปทำ ไม่ใช่คนกัมพูชายังเต็มพรืดอยู่ในแผ่นดินไทยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เอ้า..เข้าใจซะให้ตรงกัน

แต่ที่แน่ ๆ งานนี้นายพนพดลฯ เสียค่าโง่ยกแผ่นดินไทยให้กัมพูชาไปแล้วเรียบร้อย นับจากวันที่ยอมรับแผนผังของฝ่ายกัมพูชา



เขมรเค้าขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารและพื้นดินที่ตัวปราสาทสร้าง...ส่วนพื้นที่บริเวณที่คนเขมรราว 500 คนพักอาศัยอยู่นั้นก็เป็นพื้นที่ทับซ้อนทางกรรมสิทธิ์ระหว่างไทย-เขมรที่ยังไม่มีข้อสรุป ดังนั้นการนำเรื่องพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างในการต่อต้านการขึ้นทะเบียนฯจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง


ศาลโลกตัดสินไปแล้วว่าตัวปราสาท+ที่ดินที่ตัวปราสาทตั้งเป็นของเขมร ซึ่งเขมรเค้าก็ขอขึ้นทะเบียนในส่วนดังกล่าวที่ศาลตัดสินไปแล้วเท่านั้น...คนไทยบางคนพยายามเอาเรื่องที่ดินทับซ้อนมาปนเพื่อให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่าเขมรฮุบที่ดินไทย ทั้งๆที่ความจริงแล้วข้อพิพาทดังกล่าวยังไม่มีบทสรุปใดๆขณะนี้
บันทึกการเข้า
BeastGuy
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 210


« ตอบ #105 เมื่อ: 19-06-2008, 13:58 »

อืม
ศาลโลกตัดสินไปแล้ว
พี่ไทยคัดค้านมาตลอด
แล้วพอมาพี่ทนายหน้าหอ
ไหงไม่คัดค้านล่ะเพ่

อีกอย่างคือ ทำไมไม่เปิดเผยข้อมูลก่อนที่จะเซ็น
เรื่องใหญ่ระดับนี้ทำอย่างกับเล่นขายของ

ปล. ขอบคุณสำหรับแผนที่ครับ
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #106 เมื่อ: 19-06-2008, 14:18 »

อืม
ศาลโลกตัดสินไปแล้ว
พี่ไทยคัดค้านมาตลอด
แล้วพอมาพี่ทนายหน้าหอ
ไหงไม่คัดค้านล่ะเพ่

อีกอย่างคือ ทำไมไม่เปิดเผยข้อมูลก่อนที่จะเซ็น
เรื่องใหญ่ระดับนี้ทำอย่างกับเล่นขายของ

ปล. ขอบคุณสำหรับแผนที่ครับ


การคัดค้านที่ชอบธรรมและถูกกฏหมายก็คือต้องส่งเรื่องให้ศาลโลกเป็นผู้พิจารณา ไม่ใช่มาโมเมว่าคัดค้านเงียบๆแล้วไม่ยอมรับในผลการตัดสิน การเมืองระหว่างประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรหรือจะพูดเรื่องอะไรก็ต้องมาป่าวประกาศรายวัน

บทบาทของผู้บริหารประเทศคือ ต้องดำเนินการในทุกเรื่องเพื่อผลประโยชน์และความถูกต้องของประเทศเป็นหลัก แต่ผลประโยชน์ที่มันไม่ถูกต้องและชอบธรรม...มันทำได้ แต่ประเทศอื่นเค้าไม่ยอมรับไง  การจะมาเปิดเผยข้อมูลใดๆที่ละเอียดอ่อนมันไม่มีผลดีต่อการเจรจา...นอกจากทำให้การเจรจาดังกล่าวล้มเหลว

ประเด็นก็คือ คนไทยเลือกพปช.ไปบริหารประเทศแล้ว คนส่วนใหญ่เค้าเชื่อใจ ดังนั้น...ถ้าพปช.พลาดในเรื่องนี้ก็ต้องรับผิดชอบแน่นอนมิใช่หรือ!?!
บันทึกการเข้า
sanskritshower
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 245



« ตอบ #107 เมื่อ: 19-06-2008, 14:37 »


คุณก็ทราบดีว่าคนดีย่อมปฏิบัติตามกฏหมาย...ถ้าไทยเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็ต้องนำเรื่องนี้ฟ้องศาลโลกอีกครั้งหนึ่งซิครับ แต่ละคนจะบอกว่าไม่ได้ฉันไม่ยอมรับ และฉันจะทำตามใจและความเชื่อของฉันเองเท่านั้น  สังคมในภูมิภาคนี้จะอยู่กันเป็นสุขได้อย่างไรกันเล่า!?!

ใช่ครับ  ส่วนตัวผมแล้วผมก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล ส่วนจะมีมาตรการอย่างไรก็เป็นเรื่องของกระบวนการต่อสู้กันไปตามกฎหมายครับ

แต่ ณ ตอนนี้  ผมถามความรู้สึกส่วนตัวของ TLE ครับ  ว่าโดยความรู้สึกส่วนตัว TLE ยินดีในคำตัดสินหรือครับ
บันทึกการเข้า
mebeam
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 634


Fear can hold you prisoner. Hope can set you Free.


« ตอบ #108 เมื่อ: 19-06-2008, 14:47 »



    ถ้าไทย ไม่ยอมรับแผนที่ ที่ของเค้าเขียนมาเฉพาะปราสาท อย่างที่ใจคุณต้องการ
    เดือนกรกฏาที่จะถึงนี้ กัมพูชา จะยื่นใหม่ มันจะผ่านไหม ไทยจะค้านไหม ถ้าค้าน ใช้เหตุผลอะไรค้าน
     คราวที่แล้วเราค้านโดยอ้างยังมีที่มันทับซ้อนกัน ยูเนสโกถึงฟังเรา  ถ้าไม่มีแล้วล่ะ

    ได้ยินมีแต่คนบอกอย่ารีบ ให้ยื่นเรื่องค้านไว้ก่อน  ก็ยังงงอยู่ว่าเราจะเอาอะไรมาบอก ยูเนสโก้
   
   

  เราสนับสนุน   กัมพูชาขึ้นทะเบียนได้   เราได้ประโยชน์อะไร เราเสียอะไร
  เราไม่สนับสนุน  กัมพูชาขึ้นทะเบียนได้  เราได้ประโยชน์อะไร เราเสียอะไร
  เรา ไม่สนับสนุน  กัมพูชาขึ้นทะเบียนไม่ได้   เราจะได้อะไร เราจะเสียอะไร 
   
   

 
บันทึกการเข้า
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #109 เมื่อ: 19-06-2008, 15:20 »


    ถ้าไทย ไม่ยอมรับแผนที่ ที่ของเค้าเขียนมาเฉพาะปราสาท อย่างที่ใจคุณต้องการ
    เดือนกรกฏาที่จะถึงนี้ กัมพูชา จะยื่นใหม่ มันจะผ่านไหม ไทยจะค้านไหม ถ้าค้าน ใช้เหตุผลอะไรค้าน
     คราวที่แล้วเราค้านโดยอ้างยังมีที่มันทับซ้อนกัน ยูเนสโกถึงฟังเรา  ถ้าไม่มีแล้วล่ะ

    ได้ยินมีแต่คนบอกอย่ารีบ ให้ยื่นเรื่องค้านไว้ก่อน  ก็ยังงงอยู่ว่าเราจะเอาอะไรมาบอก ยูเนสโก้
   
   

  เราสนับสนุน   กัมพูชาขึ้นทะเบียนได้   เราได้ประโยชน์อะไร เราเสียอะไร
  เราไม่สนับสนุน  กัมพูชาขึ้นทะเบียนได้  เราได้ประโยชน์อะไร เราเสียอะไร
  เรา ไม่สนับสนุน  กัมพูชาขึ้นทะเบียนไม่ได้   เราจะได้อะไร เราจะเสียอะไร 
   
   

 


เหตุผลเขาชี้แจงมาตั้งแต่ 2505 แล้ว
และมันจะยังใช้ได้ตลอดไป เพราะคดีนี้ยังมีช่องให้ต่อสู้ได้อยู่
และยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริง
ยิ่งเขมรมีประเด็นซ่อนเร้น รุกคืบเข้ามาเกินผลตัดสินเดิม
ทำให้ไทยยิ่งมีความชอบธรรมมากขึ้น
หากไอ้ทนายเหล่ยังมีความเป็นคนไทยมากกว่านี้
นี่เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่จะทวงแผ่นดินไทยคืนมา

ถ้าถามว่าได้อะไร
ตอบว่าแค่ได้ค้านแสดงสิทธิ แสดงความไม่เห็นด้วย
เพื่อรักษาโอกาสทวงแผ่นดินไทยคืนมา
แค่นั้นก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว
บันทึกการเข้า
ชามู
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 536


ชามู ปลาวาฬตัวใหญ่ใจดี


« ตอบ #110 เมื่อ: 19-06-2008, 15:27 »

สำหรับผมนะ  ผมไม่ยอมรับ แต่เมื่อเป็นคำสั่งศาลผมก็ต้องปฏิบัติตาม

แล้วคุณล่ะ TLE คุณดีใจกับคำสั่งศาลโลกในกรณีนี้หรือ


เดาว่ามันดีใจนะ เพราะคงฝันหวานว่าจะได้ไปนอนรีสอร์ทหนรูที่เกาะกงอยู่กับนายรับใช้ใกล้ชิดเลยไง

นายมันคงวางแผนเอาไว้อ่ะนะ เพราะอยากขึ้นเป็นเจ้าที่เมืองไทยแต่ทำไม่ได้ เพราะขี้กลากจะขึ้นหัว

ก็เลยไปเช่าเกาะกง จะได้ตั้งตนเองเป็นเจ้าได้เลยไง

ตอนแรกเล็งๆ พวก BVI ไว้ แต่เอ๊ะ เอาไว้ฟอกเงินดีกว่า



อิ อิ อิ
บันทึกการเข้า

สมาชิกหมายเลข #348

ชามู ปลาวาฬตัวใหญ่ใจดี
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #111 เมื่อ: 19-06-2008, 15:29 »

ประตูเก่าที่ทหารเขมรทำไว้ ก็มีมาตั้งแต่ครั้งจอมพลประภาสไปเชิญเสาธงชาติลงมาไว้ที่ผามออีแดงนั่นแหละครับ

เข้าใจว่าจะตรงกับช่องบันไดหัก ซึ่งเป็นทางขึ้นจากฝั่งเขมร

ตอนที่มีการสู้รบของเขมร ไทยก็ถอยออกมาให้เขมรรบกันเอง ช่วงนั้นปราสาทพระวิหารก็เสียหายเพิ่มมากขึ้น

ช่วงที่เขมรยกครัวลงมาตั้งด้านล่าง น่าจะเป็นช่วงที่มีการสู้รบและมีผู้อพยพลงมา ไทยก็เอื้อเฟื้อเพราะเขมรแดงกับไทย มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

แถมไทยยังส่งอาวุธไปเสริมกำลังให้เสียอีก...เฮ้อ...


ส่วนคนที่มาแย้ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร หากอ่านข้อมูล / เหตุผลทั้งหมด น่าจะเข้าใจได้ว่า

แผนที่ที่ใช้กันทั้งหมดนั้น เป็นการโต้แย้งในเรื่องเขตแดนซึ่งยังไม่มีการปักปันให้เป็นเรื่องเป็นราว

อย่าลืมว่าเรื่องแผนที่ชายแดนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เราต้องรักษาประโยชน์ของเราให้มากที่สุด

ที่สำคัญ การขึ้นบัญชีมรดกโลกของเขมร ต้องถามว่าประเทศไทยไปได้ดิบได้ดีอะไรกับเขมรในกรณีนี้


เมื่อประชาชนมองว่า ผลประโยชน์ตกแก่เขมรแทบทั้งหมด จึงมีความจำเป็นอะไรที่รัฐบาลไทยต้องไปช่วยรับรอง

การเจรจานั้นต้องคิดถึงเรื่องที่คั่งค้างกันอยู่ในเรื่องเขตแดน เราต้องใช้ความได้เปรียบของเราให้มากที่สุด

การไปรับรองแผนที่แบบนั้น รังแต่จะทำให้ฝ่ายเขมรยกเป็นข้ออ้าง ยิ่งกว่าแผนที่ฝรั่งเศส เมื่อ 100 ปีที่แล้วเสียอีก


บันทึกการเข้า

mebeam
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 634


Fear can hold you prisoner. Hope can set you Free.


« ตอบ #112 เมื่อ: 19-06-2008, 15:36 »

เหตุผลเขาชี้แจงมาตั้งแต่ 2505 แล้ว
และมันจะยังใช้ได้ตลอดไป เพราะคดีนี้ยังมีช่องให้ต่อสู้ได้อยู่
และยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริง
ยิ่งเขมรมีประเด็นซ่อนเร้น รุกคืบเข้ามาเกินผลตัดสินเดิม
ทำให้ไทยยิ่งมีความชอบธรรมมากขึ้น
หากไอ้ทนายเหล่ยังมีความเป็นคนไทยมากกว่านี้
นี่เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่จะทวงแผ่นดินไทยคืนมา

ถ้าถามว่าได้อะไร
ตอบว่าแค่ได้ค้านแสดงสิทธิ แสดงความไม่เห็นด้วย
เพื่อรักษาโอกาสทวงแผ่นดินไทยคืนมา
แค่นั้นก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว


งง ครับ จะอ้าง อะไรต้งแต่ 2505 


แต่รู้สึกว่า เค้าเตรียม รับมือกับไทยไว้แล้วนะครับ
อีกหน่อย ว่าแต่จะเอาคืนเลย  คนไทยอยากเที่ยวก็จะไม่ได้เข้า
อดขึ้นเขาพระวิหารจากฝั่งไทย แบบว่าปิดตายน่ะครับ



ผู้จัดการออนไลน์-- ทางการกัมพูชาได้เปิดเผยแผนการก่อสร้างสร้างรถกระเช้านำท่องเที่ยวขึ้นไปเขาพระวิหารบนยอดผา เพื่อลดการพึ่งพาทางขึ้นจากไทย เชื่อตะวันตกแห่ไปเที่ยวกันจม พร้อมเปิดแผนสร้างสนามบินแห่งใหม่ ใกล้เพียง 30 กิโลเมตร
       
       เป็นที่คาดกันหมายกันมาก่อนว่า ทางการกัมพูชาอาจจะหาทางออกด้วยวิธีนี้หลังจากผู้นำรัฐบาลคือ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน (Samdach Aka Moha Sena Padei Decho) กล่าวหาประเทศไทยมาหลายครั้งว่ามักจะปิดๆ เปิดๆ ทางขึ้นในฝั่งไทยตามอำเภอใจ
       
       ศาสตราจารย์เฮงโซ้ท (Heng Sot) ผู้อำนวยการองค์การแห่งชาติพระวิหาร หรือ PVNA (Preah Vihear National Authority) เปิดเผยเรื่องนี้สัปดาห์ที่แล้ว โดยกล่าวว่าบริษัทจากอินเดียแห่งหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้างรถกระเช้าลอยฟ้าในเวียดนาม กำลังเจรจาเข้าลงทุนในโครงการเขาพระวิหาร ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาได้ประกาศให้เป็นเขตการท่องเที่ยวแห่งใหม่
       
       ศ.เฮงโซ้ทกล่าวอีกว่า ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้โครงการนี้เรียบร้อยแล้ว และ กลุ่มผู้ลงทุนได้เข้าไปดูสถานที่เมื่อเดือนที่แล้วเพื่อกำหนดจุดสร้างสถานีรถกระเช้าลอยฟ้า ขึ้นสู่หน้าผาที่อยู่สูงจากพื้นไปราวครึ่ง กม. อันเป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหารอายุ 1,000 ปี
 
      บริษัทดังกล่าวยังจะลงทุนสร้างสนามบินบนพื้นที่ขนาดกว้าง 5 กม.และยาวอีก 5 กม. ห่างจากเขาพระวิหารออกไป 32 กม. และตัดถนนอีกสายหนึ่งขนาดกว้าง 10 เมตร ระยะทางราว 2,400 เมตรไปสู่สถานีรถกระเช้า ศ.โซ้ทเปิดเผยเรื่องนี้กับหนังสือพิมพ์แม่โขงไทมส์
       
       โครงการนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน หากการเจรจาระหว่างกลุ่มผู้ลงทุนกับรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายโสกอาน (Sok An) มีผลออกมาทางบวก
       
       อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวที่ไม่ให้เปิดเผยชื่อบอกกับหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่า บริษัทจากอินเดียมีแผนการจะลงทุนในโครงการเขาพระวิหารถึง 600 ล้านดอลลาร์
       
       บรรดาบริษัทนำเที่ยว สมาคมการท่องเที่ยวในกัมพูชาต่างแสดงความยินดีปรีดา เพราะว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่กำลังเฟื่องฟู และไม่ต้องพึ่งพาทางขึ้นในประเทศไทยอีกต่อไป
 
         อย่างไรก็ตามในอนาคตเมื่อมีการก่อสร้างรถกระเช้าแล้ว "เราหวังว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะขึ้นไปชมพระวิหารจากทางฝั่งกัมพูชา"
       นายหอ วันดี (Ho Vandi) ผู้อำนวยการสมาคมบริษัทนำเที่ยวกัมพูชา (Cambodia Association of Travel Agents) กล่าวว่าปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปชมปราสาทพระวิหารเพียงวันละ 300-400 คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ขึ้นไปจากฝั่งไทย       
       ส่วน ศ.เฮงโซ้ท กล่าวว่าจำนวนนักท่องเที่ยวอาจจะเพิ่มถึง 6 เท่าตัว เมื่อก่อสร้างถนนและรถกระเช้าเสร็จ ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ในดินแดนกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับดินแดนพิพาทกับประเทศไทย
       
       กัมพูชาอยู่ระหว่างดำเนินการนำปราสาทพระวิหารเข้าจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยอ้างว่าเป็นการจดทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท ไม่ได้เกี่ยวกับกินแดนโดยรอบที่ยังมีกรณีพิพาทกับไทย

 
 
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #113 เมื่อ: 19-06-2008, 15:51 »

ถ้าปิดสงสัยเขมรนั่นแหละจะตาย ฮ่า ฮ่า

แถมตาเหล่/หน้าเหลี่ยม จะตายก่อนด้วย เชื่อดิ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 มันโทษประหารชีวิตนะ อย่าลืม
บันทึกการเข้า

login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #114 เมื่อ: 19-06-2008, 15:54 »

กรณีนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้
เพราะการติดตั้งกระเช้า จำเป็นต้องมีทางสำหรับตั้งเสาและใช้บริเวณในการติดตั้งสถานี
ลำพังบริเวณปราสาทเฉยๆไม่น่าจะมีพื้นที่พอ หรือหากมีพื้นที่พอก็จะไปชิดกับตัวปราสาทมากๆ
จนอาจทำให้ตัวปราสาทเสียหาย รวมถึงเสียทัศนียภาพจนไม่สามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้
ทางที่เป็นไปได้คือ สร้างล้ำเข้ามาในแดนไทย
และนี่เองยิ่งเป็นสาเหตุให้เราต้องรีบดำเนินการอะไรบางอย่าง
เพื่อไม่ให้แผ่นดินไทยสูญเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว

บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #115 เมื่อ: 19-06-2008, 15:59 »

ใช่ครับ  ส่วนตัวผมแล้วผมก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล ส่วนจะมีมาตรการอย่างไรก็เป็นเรื่องของกระบวนการต่อสู้กันไปตามกฎหมายครับ

แต่ ณ ตอนนี้  ผมถามความรู้สึกส่วนตัวของ TLE ครับ  ว่าโดยความรู้สึกส่วนตัว TLE ยินดีในคำตัดสินหรือครับ


ถ้าถามถึงเฉพาะเรื่องความรู้สึกส่วนตัว ผมรู้สึกเสียใจและเสียดายที่ประเทศไทยเสียประสาทเขาพระวิหารไปให้เขมร แต่ก็ต้องจำใจน้อมรับคำพิพากษาของศาลโลกเพราะถ้าเราไม่เชื่อในคำตัดสิน...ประเทศไทยก็ไม่สมควรไปต่อสู้ในศาลโลกตั้งแต่แรก

จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่...วันนี้ประเทศไทยต้องสังวรณ์ว่าเราต้องมีเพื่อนบ้านและไม่สามารถย้ายประเทศหนีไปไหนได้ การอยู่ร่วมกันเพื่อพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จึงสำคัญกว่าการนำเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ในอดีตมาเป็นอุปสรรคในการพัฒนามิใช่หรือ!?!
บันทึกการเข้า
mebeam
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 634


Fear can hold you prisoner. Hope can set you Free.


« ตอบ #116 เมื่อ: 19-06-2008, 16:07 »

เอาไปอีก คนนี้พูดได้ใจผมมาก นับถือจริง  แต่สงสัยจะโดนด่าอีก


ผบทบ. บอก จบได้แล้ว เรื่องเขตแดนเขาพระวิหาร
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาเสนอปราสาทเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกว่า ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และจากการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ผ่านมา ก็เห็นว่าเพื่อป้องกันความเข้าใจที่สับสน จึงมอบหมายให้นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเพียงผู้เดียว

ส่วน ข้อห่วงใยของประชาชนที่ว่าไทยอาจ เสียดินแดนนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า คนไทยทุกคนต้องยอมรับว่า หลังปี 2505 ศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา และการที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะองค์ปราสาทนั้น จุดดังกล่าวไม่ได้ใกล้กับเส้นเขตแดนที่ไทยยึดถือ จึงไม่ทราบว่าประชาชนจะไม่พอใจเรื่องอะไร และไม่แน่ใจว่า การที่เราจะขึ้นทะเบียนมรดกโลก เราต้องให้ประเทศเพื่อนบ้านพอใจด้วยหรือไม่ ส่วนที่เกรงกันว่ามีการเอื้อประโยชน์เกิดขึ้นนั้น ตนไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้

เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาได้ เข้า มาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ทับซ้อน ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างชั่วคราว ไม่ใช่ถาวร ซึ่งไทยและกัมพูชาต่างยึดถือแผนที่ที่ไม่ตรงกัน โดยเฉพาะในจุดที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน และเป็นเรื่องที่ไม่สามารถรื้อฟื้นได้เลย ขณะที่นโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้า และที่ผ่านมามีการรายงานปัญหานี้มาตลอด แต่เราใช้นโยบายละมุนละม่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน

ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวด้วยว่า ข้อยุติเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย ต้องร่วมกันแก้ไขปัญหา และหาข้อยุติให้เป็นผลประโยชน์ร่วมทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งคงต้องมีวิธีบริหารจัดการร่วมกันต่อไปในอนาคต และไม่สามารถจะบอกได้ว่าใครจะเสียดินแดน
บันทึกการเข้า
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #117 เมื่อ: 19-06-2008, 16:17 »

เป็นความตั้งใจที่จะขายชาติแน่นอนไม่มีข้อสงสัย

ยังไงก็ต้องเช็คบิลพวกมันให้ถึงที่สุด
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #118 เมื่อ: 19-06-2008, 16:26 »

ดูเบื้องหลังก่อนดีกว่า  เบื้องหลังคือ ไอ้ตาเหล่มีเจตนาขายแผ่นดินชัดเจน

กองทัพกดดัน"นพดล"บี้เขมรปรับแผนที่กินแดนไทย

เผยเบื้องลึกปมเปิดเผยแผนที่เขาพระวิหาร หลังกองทัพไม่สบายใจแผนที่ของกัมพูชารุกล้ำเขตพื้นที่ทับซ้อน 10 เมตร หวั่นเสียดินแดน แต่ต้อง "เจรจาลับ" หลายรอบจน "นพดล" ยอมบินไปคุยกัมพูชา โดยยึดแผนที่ปี 2505 ตามคำพิพากษาศาลโลก

ความพยายามของประเทศกัมพูชาในการยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อองค์การยูเนสโก เพื่อพิจารณาให้ "เขาพระวิหาร" เป็น "มรดกโลก" กระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อความรู้สึกของคนไทย เพราะถึงแม้ตัวปราสาทจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชาตามคำพิพากษาศาลโลก ทว่า พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีโบราณวัตถุต่างๆ เช่น สระตราว สถูปนูนต่ำ บันไดทางขึ้นเขาพระวิหาร ฯลฯ ก็ยังเป็นข้อพิพาทที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้เกิดกระแสชาตินิยม เพราะเกรงว่าไทยจะ "เสียดินแดน" ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง

 ดังนั้น จึงช่วยไม่ได้ที่ นายนพดล ปัทมะ รมว.การต่างประเทศ จะถูกโจมตีอย่างรุนแรง หลังจากพยายามสานต่อความพยายามของรัฐบาลกัมพูชา ที่จะขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างขมีขมันจนผิดสังเกต

 ท่ามกลางข้อครหาว่า อาการรีบเร่งของนายนพดลเกี่ยวพันอะไรกับข่าวการลงทุนเช่าเกาะกงไปทำเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่

แถมยังมีข่าวเรื่องพื้นที่ทับซ้อนในทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งมีพื้นที่กว่า 3 หมื่นตารางกิโลเมตร และคาดว่าจะมีขุมทรัพย์ทางพลังงาน ทั้งก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมัน ซุกอยู่ใต้ผืนทะเลอย่างมหาศาล

 ด้วยเหตุนี้ การเจรจาเรื่องเขาพระวิหารของนายนพดล จึงถูกจับตามองทุกฝีก้าวว่ามี "วาระซ่อนเร้น" อะไรอีกหรือไม่

ยิ่งนายนพดลมีท่าทีเกรี้ยวกราดต่อคนศรีสะเกษ ที่ออกมาเรียกร้องให้เปิดเผยผลการเจรจาและแผนที่ฉบับที่ไปตกลงกับรัฐบาลกัมพูชา และการไม่ยอมเปิดเผยแผนที่ฉบับดังกล่าวต่อที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ยิ่งทำให้เป็นที่สงสัยทวีคูณ

 นั่นจึงทำให้นักวิชาการด้านต่างๆ ออกมาตั้งข้อสงสัยถึงท่าทีของนายนพดล และรายละเอียดที่ซุกซ่อนอยู่ในแผนที่ปริศนากันอย่างกว้างขวาง

 ส่วนพรรคฝ่ายค้านก็จี้ให้เปิดเผยแผนที่ฉบับนี้เสียที ขณะที่กลุ่มพันธมิตรก็เคลื่อนพลไปกดดันหน้ากระทรวงการต่างประเทศมาแล้ว โดยตั้งข้อหาฉกรรจ์แก่นายนพดล ถึงขั้น "ขายชาติ" เลยทีเดียว

ฝ่ายทหารก็มีท่าทีไม่พอใจอย่างมาก ที่นายนพดลไม่ยอมให้ดูแผนที่ แถมยังมาชี้แจงรายละเอียดสั้นๆ และกำชับให้กรมแผนที่ทหารห้ามเผยแพร่แผนอย่างเด็ดขาดอีกด้วย

 เมื่อแรงกดดันถาโถมเข้าใส่จากทุกสารทิศ จึงทำให้นายนพดลตัดสินใจนำรายละเอียดของแผนที่ฉบับที่ไปตกลงกับกัมพูชามาเผยแพร่ เพื่อลดแรงกดดัน แต่กว่าจะเอาแผนที่ออกมาโชว์ได้ก็ต้องผ่านการงัดข้อประลองกำลังกับฝ่ายทหารมาชนิดเหงื่อตกเลยทีเดียว

มีรายงานว่า แผนที่ที่นายนพดลถือมาจากฝ่ายกัมพูชา มีพื้นที่ "รุกล้ำ" เข้ามาในเขตพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา 10 เมตร คือ มีการขีดเส้นออกมาจากบันไดหินขั้นที่ 162 วัดได้ระยะ 30 เมตร ซึ่งโฆษกรัฐบาลกัมพูชาระบุว่า เป็นกฎหมายภายในของกัมพูชาที่ใช้กับโบราณสถานทุกแห่ง

 ปมปัญหา คือ ตามข้อตกลงเมื่อปี 2505 อาณาเขตกัมพูชาจะสามารถขีดออกมาจากบันไดหินขั้นที่ 162 ได้เพียง 20 เมตรเท่านั้น ฉะนั้นพื้นที่ที่เกินมาอีก 10 เมตร จึงทำให้ฝ่ายทหารไม่สบายใจ

 เพราะนี่มันเสียดินแดนชัดๆ


 ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายทหารจึงพยายามชี้แจงให้นายนพดลเข้าใจว่า หากยึดถือแผนที่ฉบับที่กัมพูชาส่งมาอาจจะมีการรุกล้ำพื้นที่ทับซ้อนที่เป็นปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร จึงขอให้นายนพดลไปเจรจาให้รัฐบาลกัมพูชายึดแผนที่ฉบับเดิมที่ตกลงกันไว้

 การเจรจาหารือเรื่องนี้มีขึ้นระหว่างตัวแทนสามฝ่าย ได้แก่ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และ พล.ท.แดน มีชูอรรถ เจ้ากรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย

กรมแผนที่ทหารที่ไปสำรวจพื้นที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ได้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศว่า ต้องมีการเจรจาให้ดี มิเช่นนั้นฝ่ายไทยอาจจะต้องเสียดินแดน

 แต่กว่าจะได้ข้อสรุปก็ต้องมีการ "เจรจาลับ" อยู่หลายรอบ โดยนายนพดลรับเป็นผู้เจรจากับประเทศกัมพูชา และถือแผนที่กัมพูชามาเปรียบเทียบกับแผนที่ไทย เพราะแผนที่ที่แต่ละฝ่ายถือไว้เป็นแผนที่ "คนละฉบับ" มาตั้งแต่ก่อนมีคำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี 2505 แล้ว

 โดยกัมพูชาต้องการให้ใช้แผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ที่ทำขึ้นโดยประเทศฝรั่งเศส ในช่วงที่มีการล่าอาณานิคม

 ส่วนฝ่ายไทยใช้แผ่นที่อัตราส่วน 1:50,000 ตามมติ ครม.ปี 2505 ในสมัยรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ฝ่ายทหารมองว่า หากยึดตามแผนที่ฉบับของกัมพูชาจะทำให้พื้นที่ของตัวปราสาทรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อน จึงขอให้นายนพดลไปเจรจาขอให้รัฐบาลกัมพูชาทำแผนที่ฉบับใหม่ขึ้นมา โดยยึดตามข้อตกลงปี 2505

 นายนพดลยินยอมตามข้อเสนอของฝ่ายทหาร จึงเดินทางไปเจรจากับตัวแทนรัฐบาลกัมพูชา ทั้งที่เกาะกง และกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 22-23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

 ในที่สุดแผนที่กัมพูชาเสนอมาให้ใหม่ ก็ให้ความยินยอมตามที่ไทยร้องขอไป โดยใช้เขตแดนนับจากตัวปราสาทเขาพระวิหารไปทางตะวันตก 100 เมตร และขึ้นไปทางเหนือ 20 เมตร ตามแผนที่ แอล 7017

 ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จึงมีมติยอมรับ และเสนอเข้าที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ซึ่งมีมติเห็นพ้องตาม สมช. เพราะเห็นว่าแผนที่ฉบับที่กัมพูชาส่งมาให้พิจารณาไม่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนที่เป็นปัญหามานาน

 ครม.จึงมอบหมายให้นายนพดลเป็นผู้ลงนามตามข้อเสนอกัมพูชา ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาร่วมเป็นสักขีพยาน

 หลังจากนั้นฝ่ายกัมพูชาจะส่งให้ยูเนสโกพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในการประชุมดับเบิลยูเอชซี ครั้งที่ 32 ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ในกลางเดือนกรกฎาคมนี้

แต่ข้อตกลงครั้งนี้จะ "แฮปปี้เอ็นดิ้ง" ไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ก็ต้องรอดูต่อไป เพราะยังมีนักวิชาการบางส่วนท้วงติงว่า ไทยยัง "มีสิทธิ์" ในการเรียกร้องกรรมสิทธิ์เขาพระวิหารคืนได้ทุกเมื่อ เพราะรัฐบาลไทยเคยร้องขอที่จะ "สงวนสิทธิ์" ในการทวงคืนเอาไว้ตั้งแต่ปี 2505

การยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ก็เท่ากับ "ตัดสิทธิ์" ในการทวงคืนเขาพระวิหารไปโดยปริยาย

 นั่นคือข้อท้วงติงที่แหลมคม และต้องพิสูจน์กันต่อไป แต่การแถลงข่าวเพื่อชี้แจงของนายนพดลครั้งล่าสุด ก็ช่วยลดกระแสโจมตีรัฐบาลไปได้พอสมควร

 ขืนแบกข้อหาขายชาติ โดยไม่ยอมชี้แจง ย่อมถูกฝ่ายตรงข้าม "ล่อเป้า" และ "ขยายผล" จนมีสิทธิ์หล่นเก้าอี้ได้ไม่ยาก !!!

ทีมข่าวความมั่นคง

http://www.komchadluek.net/2008/06/19/x_scoo_p001_207715.php?news_id=207715
บันทึกการเข้า

login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #119 เมื่อ: 19-06-2008, 16:32 »

เอาไปอีก คนนี้พูดได้ใจผมมาก นับถือจริง  แต่สงสัยจะโดนด่าอีก


ผบทบ. บอก จบได้แล้ว เรื่องเขตแดนเขาพระวิหาร
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ....
.....
..
.[/color]


กรุณากลับไปอ่านข้อโต้แย้งกรณีเขาพระวิหารอีกหลายๆรอบ


ปล. พล.อ.คนนี้ พวกใคร ได้มาเป็นผบทบ.เพราะใคร ก็รู้กันอยู่
เลือดทหาร เกียรติของทหารที่ปลูกฝังกันมา
มันโดนเงินโดนอำนาจสูบไปหมดแล้ว
บันทึกการเข้า
mebeam
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 634


Fear can hold you prisoner. Hope can set you Free.


« ตอบ #120 เมื่อ: 19-06-2008, 16:54 »


ค่ายเนชั่นมันไม่มีความน่าเชื่อถือเพราะเต้าข่าวเก่ง ที่อ้างแหล่งข่าวทางทหารลอยๆน๊ะเหรอที่จะเชื่อถือได้!?!

นั่นสิ ขนาดผมอ้าง ผบทบ. ตัวเป็นๆ ยังไม่ได้รับความเชื่อถือเลย
บันทึกการเข้า
*bonny
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,459



« ตอบ #121 เมื่อ: 19-06-2008, 17:06 »


ในความเห็นชองชาวราชดำเนินส่วนหนึ่ง ซึ่งคนพูดหาได้รู้ความจริงไม่ ผมขอตอบตรงนี้แทนก็แล้วกัน

เขาบอกว่า..เป็นศิลปะของขอม  ไม่ใช่ของไทย เลยไม่คิดหวงแหน

ตอบว่า..ถ้างั้นปราสาทพนมรุ้ง ก็ไม่ใช่ของไทยงั้นสิ  รูปแบบของศิลปะเป็นวัฒนธรรมเฉพาะของท้องถิ่นนั้นๆ บ่งบอกความเป็นชนชาติไม่ได้หรอกครับ  อย่าง ไทย กับ พม่า นี่แทบแยกกันไม่ออก

เขาบอกว่า..ศาลโลกตัดสินแล้ว ขอให้ยุติ

ตอบว่า..ศาลโลกเป็นฝรั่งทั้งนั้น ตัดสินตามหลักกฎหมายสากล ไม่ได้ตัดสินตามข้อเท้๗จริงว่า เป็นของใคร  ประเด็นที่ศาลตัดสินก็แค่บอกว่า ทำไมตอนนั้น ไทยไม่คัดค้านเป็นเรื่องเป็นราว

เฉพาะประเด็นนี้ ไม่ได้ตัดสิทธิการเป็นผุ้ครอบครองที่แท้จริงของไทยนะครับ  และต้องอย่าลืมด้วยว่า ศาลโลกเป็นศาลของฝรั่ง  ซึ่งแผนที่ที่ยึดถือเป็นแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นมา  ไทยไม่ได้ยอมรับหรอก แต่ฝรั่งเศสซึ่งขณะนั้นหลังสงครามโลกมีอำนาจและบทบาทสูงในเวทีโลก และในองค์การสหประชาชาติ จึงเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ศาลโลกจะให้ความเกรงใจมากกว่าไทย (เขมรเคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส)

เมื่อมีการตัดสินแล้ว ไทยก็ส่งเรื่องคัดค้าน แต่ตอนหลังไทยยอมเอง เพราะต้องการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติซึ่งฝรั่งเศสจะคอยวีโต้ได้
ตอนนี้ไทยไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเกรงใจฝรั่งเศสอีกแล้ว จึงคิดว่า ถึงเวลาแสดงหลักฐานกันเสียทีว่า เขาพระวิหารและพื้นที่โดยรอบควรเป็นของใคร



เขาบอกว่า..เขมรสร้างควรยกให้เขมร

ตอบว่า..คงไม่มีเขมรที่ไหนสร้างทางขึ้นมาไว้ที่ประเทศไทยแล้วให้ชาวเขมรเดินอ้อมมาขึ้นหรอก จริงไหม

เขาบอกว่า..เป็นของเขมรมาตั้งแต่โบราณกาล

ตอบว่า..ถ้าดูแผนที่ในประวัติศาสตร์ ดินแดนส่วนนี้รวมถึงที่ยกให้ฝรั่งเศส ล้วนเป็นของไทยมาก่อนจนถึงตอนที่ทำสงครามแย่งดินแดนกับฝรั่งเศส  ซึ่งไทยเราชนะและได้ดินแดนส่วนนี้คืน
บันทึกการเข้า

ประเทศชาติมีภัย  เสรีไทยร่วมกอบกู้
Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #122 เมื่อ: 19-06-2008, 17:49 »

mebeam + อีจ๊ะ

สรุปว่าที่ออกมาแก้ต่าง พูดจาให้เกิดประโยชน์กับเขมรนั้น  ทำไปเพื่ออะไร?
ถ้าพวกคุณบอกซักนิดว่า  คุณไม่เห็นด้วยที่พันธมิตรจะนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นการเมือง แค่นี้จะไม่ว่าเลย
เพราะ ไม่เห็นด้วยกับพันธมิตร ก็ไม่จำเป็นพูดจาเข้าข้างเขมร หรือสนับสนุนท่าทีของนพดล ปัทมะ

แต่นี่ ดูเหมือนว่า อยากจะเข้าข้างนพดล/รัฐบาล ก็พยายามหาเหตุต่างๆมาอ้าง
เช่น ต้องเคารพกติกาศาลโลก  ไทยไม่เคยทำเรื่องอ้างสิทธิ์เขาพระวิหารมา 46 ปีแล้ว
แต่ละเรื่อง เป็นการสนับสนุนผลประโยชน์ของเขมรทั้งสิ้น..... รู้ตัวหรือเปล่ากำลังทำอะไรอยู่


ขอถามย้ำอีกครั้ง  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้  คุณ 2 คนคิดว่า ไทยควรแสดงท่าทีอย่างไร

ยกคำพูด mebeam มาก็ได้

ได้ยินมีแต่คนบอกอย่ารีบ ให้ยื่นเรื่องค้านไว้ก่อน  ก็ยังงงอยู่ว่าเราจะเอาอะไรมาบอก ยูเนสโก้

เดิมทีสันดานเขมรมันยื่นจดทะเบียนล้ำเขตแดนไทย ก็ค้านกันมานาน
ถามว่า จำเป็นต้องไปเจรจามั้ย ไม่จำเป็น สิ่งที่ต้องทำอย่างเดียวคือ ค้าน..
ถึงแม้จะขอจดแค่ตัวปราสาท + แผ่นดินที่ตั้ง เราก็ค้านได้ เพื่อยืนยันในท่าทีว่า เราไม่ยอมรับอธิปไตยส่วนนั้น
แค่นี้เขมรก็ขึ้นทะเบียนไม่ได้แล้ว เพราะ UNESCO มันจะไม่จดทะเบียนสิ่งที่เป็นข้อขัดแย้ง

อีจ๊ะถามว่า จะไม่ปฏิบัติตามศาลโลกหรือ
แค่ถามก็ผิดแล้ว เพราะเราปฏิบัติตามไปแล้ว แต่มีจุดยืนคือไม่เห็นด้วย และต้องมั่นคงในจุดยืนนี้ตลอดไป

จีนมันแสดงจุดยืนไม่ยอมรับอธิปไตยไต้หวัน  ไม่เห็นมีหมาตัวไหนมาบอกว่าจะไม่ค้าขายกับจีนเลยนี่

บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
BeastGuy
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 210


« ตอบ #123 เมื่อ: 19-06-2008, 18:12 »

คำถามครับ
ทำไมพี่ทนายหน้าหอต้องรีบดำเนินการรับรองให้เขมรด้วยครับ
กรณีนี้มีเป็นข้อพิพาทกันมานานแล้ว
อยู่ดี ๆ ทำไมพี่ทนายต้องรีบดำเนินการขนาดนั้น ไม่คัดค้านแถมรับรองอีกต่างหาก
ช้าอีกสักปีสองปี เป็นไรเปล่า
ก็แค่สงสัยอ่ะนะ
บันทึกการเข้า
Rule of Law
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #124 เมื่อ: 19-06-2008, 18:16 »

   
  เราสนับสนุน   กัมพูชาขึ้นทะเบียนได้   เราได้ประโยชน์อะไร เราเสียอะไร
  เราไม่สนับสนุน  กัมพูชาขึ้นทะเบียนได้  เราได้ประโยชน์อะไร เราเสียอะไร
  เรา ไม่สนับสนุน  กัมพูชาขึ้นทะเบียนไม่ได้   เราจะได้อะไร เราจะเสียอะไร 
   


ท่าทีที่ฝ่ายไทยควรแสดงออกคือ ค้านเท่านั้น
ต่อให้เป็นแผนที่เฉพาะที่ตั้งตัวปราสาทจริงๆ  ก็ต้องค้าน
โดยแสดงจุดยืนว่า  เราไม่เคยยอมรับอธิปไตยของเขมรตรงนี้  แต่เรารักษามารยาทกับศาลโลก


การที่นายนพดล + ครม. ดันไปเปลี่ยนท่าทีในประเด็นนี้ โดยไม่เคยแม้แต่ถามความเห็นจากสภา
ทำหมาๆแบบนี้ต่างหาก ที่อยากจะถามว่า แล้วไทยได้อะไร

เราสนับสนุน   กัมพูชาขึ้นทะเบียนได้   เราได้ประโยชน์อะไร เราเสียอะไร

เราไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
เท่ากับว่า เรายอมรับการเสียอธิปไตยเขาพระวิหาร
(ซึ่งถ้าเราหนักแน่นว่าเราไม่ยอมรับ  มันจะตายไหม)

เราไม่สนับสนุน  กัมพูชาขึ้นทะเบียนได้  เราได้ประโยชน์อะไร เราเสียอะไร

ไม่เสียหายตรงไหนเลย  เป็นมรดกโลกบนแผ่นดินอธิปไตยไทย  so what

กระทบความสัมพันธ์กับเขมร กระทบแน่  ดีสิมันจะได้อดดูละครน้ำเน่านะ น่ากลัวมากๆเลยน่ะ
แล้วตอนมันยื่นแผนที่ล้ำดินแดนไทย  มันเกรงใจเราเหรอ  นพดลมีปัญญาประท้วงรัฐบาลเขมรมั้ย.... ไม่เห็นทำอะไรเลย

เรา ไม่สนับสนุน  กัมพูชาขึ้นทะเบียนไม่ได้   เราจะได้อะไร เราจะเสียอะไร  

เงื่อนไขนี้  ไม่มีทางก่อสงครามได้ เพราะวัตถุประสงค์ของสงครามมันอ่อน
รบกัน เพื่อให้ไทยสนับสนุนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  บ้า แค่นี้รบกันทำบ้าอะไร

เราก็ยืนยันจุดยืนของเรา  คิดว่าที่จีนมันไม่ยอมรับไต้หวันทุกวันนี้  มันได้อะไรล่ะ

บันทึกการเข้า

Your C.V is nothing. Your future plan...is everything.
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #125 เมื่อ: 19-06-2008, 19:01 »

ดูกันจะจะแผนที่เขาพระวิหารสองฉบับ....ใครได้ใครเสีย
มติชน วันที่ 19 มิถุนายน 2551 เวลา 16:14:20 น.

แผนที่รอบอาณาบริเวณ 'ปราสาทเขาพระวิหาร' เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ และกำลังถูกปลูกสำนึก 'ความเป็นชาตินิยม' ขึ้นมาทั้งสองฝ่าย ระหว่างไทยและกัมพูชา ภาคประชาชน นักวิชาการทั้งหลายยังมีความข้องใจว่า ข้อตกลงที่รัฐทำ จะนำไปสู่การเสียดินแดนใช่หรือไม่

หมายเหตุ :  แผนที่อันแรกซึ่งมีสีแดงและสีเขียว คือแผนที่แนบท้ายที่รัฐบาลกัมพูชา ยื่นเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2549 ซึ่งกินบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร เกินกว่าที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2505 ได้มอบให้ ในส่วนที่เป็นตัวปราสาทซึ่งใช้สีแดง และพื้นที่ทางตอนบนด้านซ้ายของแผนที่

ส่วนแผนที่อันที่สอง คือแผนที่ล่าสุดที่รัฐบาลกัมพูชา กำลังจะนำเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมเดือนกรกฎาคม 2551 ที่จะถึงนี้ ซึ่งมีการขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท




แผนที่เขาพระวิหาร เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก ปี 2549



แผนที่เขาพระวิหาร ที่จะเสนอใหม่ ในเดือนกรกฎาคม 2551


อย่าลืมเปรียบเทียบกับแผนที่เดิมเมื่อปี 2505 ด้วยนะครับ

เรายังยืนยันว่าเขตไทยอยู่ที่ บันไดขั้นที่ 162 ตามที่จอมพลประภาส ได้ส่งมอบไปเฉพาะตัวปราสาท
บันทึกการเข้า

นิรนาม
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 554



« ตอบ #126 เมื่อ: 19-06-2008, 19:03 »

โทษที...มัวแต่ออกไปทำงาน

กลับเข้ามาอีกที ... รู้สึกโดน 2 อมนุษย์ถล่มซะแทบจมดิน

ขอบคุณเพื่อนสมาชิก พี่ น้องและพ้องเพื่อนที่ช่วยยันไว้

พูดก็พูดเหอะ...ผมให้ไปขนาดนั้นแล้ว แต่ลูกกะ***พี่แม้วยังไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วเหมือนกัน

ที่อยากทำตอนนี้คือเชิญ 2 ท่านที่ว่า มาศรีสะเกษหน่อยปะไร เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวเขาพระวิหาร แล้วจะได้รู้ว่าอะไรคือเท็จอะไรคือหลอก

แต่ขอโทษ ถ้าผมกับเพื่อนพ้องน้องพี่แถวศรีสะเกษไม่ให้เหาะลงจากผามออีแดง..สาบานก็ได้..ให้ฟ้าผ่ากลางแดดซิ..
บันทึกการเข้า

"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ  จันดำ
ถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
      นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน
“บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา”
นิรนาม
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 554



« ตอบ #127 เมื่อ: 19-06-2008, 19:11 »

แผนที่เดิมของไทยปี 2505 มันไม่เป็นที่ยอมรับในศาลโลกไง...ปราสาทจึงถูกตัดสินว่าเป็นของเขมร  ตรกกะง่ายๆแค่นี้อ่ะท่าน  หุ หุ
ขอโทษนะจารย์จ๊ะ.. ผมไม่อยากเถียงคุณหรอก แต่บอกไว้นะตรงนี้ คุณอยู่ตรงไหนผมอยู่ตรงนั้นแหละ

อย่าลืมว่าชื่อพวกผมมันโดนลบจากทะเบียนราษฎร์ไปนานแล้ว...

บอกให้อีกนิด..แผนที่ที่ผมเอามาน่ะ..ได้มาก่อนที่ไอ้คุณนพดลจะเอามาเปิดซะอีก แต่เราไม่พูดกัน เพราะคำว่า "วินัย" มันค้ำคออยู่..เอวัง
บันทึกการเข้า

"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ  จันดำ
ถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
      นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน
“บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา”
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #128 เมื่อ: 19-06-2008, 19:17 »

http://www.komchadluek.net/2008/06/19/x_main_a001_207842.php?news_id=207842

อ้างถึง
แฉรัฐบาลปลดคณะกรรมการมรดกโลกไทยทั้งชุดก่อนลงนามหนุนกัมพูชาส่งเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดโลก อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลกเผยไทยเสียประโยชน์ เสียอำนาจอธิปไตย ถือเป็นยกแผ่นดินให้กัมพูชาครั้งแรก เชื่อท่าทีรีบร้อน "นพดล" มีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนส่งผลให้ชาติเสียประโยชน์

(19มิ.ย.)  ดร.อดุลย์  วิเชียรเจริญ  อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลก เปิดเผยครั้งแรกหลังรัฐบาลลงนามสนับสนุนให้ กัมพูชา เสนอเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกว่า  ที่ผ่านมาได้มีการหารือกัมาตลอดระหว่างคณะกรรมการมรดกโลก และกรมอนุสนธิสัญญา กรมเอชีย ของกระทรวงต่างประเทศ กรณีที่ กัมพูชาจะขอเสนอ ปราสาทเขาพระวิหารเป็นพื้นที่มรดกโลก ตั้งแต่ปี 2548 ซึ่ง คณะกรรมการมรดกโลกเสนอไปว่า ควรจะต้องเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา  เพราะไม่อย่างนั้นประเทศไทยจะเสียดินแดนและอธิปไตย และได้ยึดถือตามแนวทางข้อตกลงร่วมกันมาตลอดตั้งแต่ปี 2548

    ดร. อดุลย์ กล่าวอีกว่า  ไทยไม่สามารถจะสนับสนุนให้ประเทศกัมพูชา เสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพียงประเทศไทยเดียวอย่างที่ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศไปลงนามนั้นไม่ได้ เพราะการขึ้นทะเบียนตัวเขาพระวิหารนั้น ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสท แต่จะต้องมีการประกาศเขตพื้นที่อนุรักษ์รอบตัวโบราณสถาน  ซึ่งการออกประกาศก่อสร้าง ในเขตอนุรักษืพื้นที่ทำในเขตไทยเพราะฉะนั้น ถือเป็นการรุกล้ำดินแดนไทย  เนื่องจากคำตัดสินของศาลโลกที่ยึดถือกันมาตลอดคือ ปราสาทเขาพระวิหาร เป็นของกัมพูชา แต่แผ่นดินเป็นของประเทศไทย ทำให้ที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาล ชุดไหนไปลงนามเซ็นสัญญาลักษณะนี้  โดยจะเจรจา ตามแนวทางการเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันเท่านั้น





   นอกจากนี้การขึ้นทะเบียนปราทาทเขาพระวิหารไม่ได้ขึ้นทะเบียนเพียงตัวปราสาท หากรวมถึงโบราณสถานอื่นๆที่อยู่ในดินแดนไทย เพราะ ลักษณะโบราณสถานที่เรียกว่า ปราสาทเมืองต่ำที่บูชาพระศิวะนั้นจะต้องมีบาลายที่เป็นทะเลสาป ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวพระวิหาร เช่นเดียวกับปราสาทเขาพนมรุ้งที่จะมี แอ่งน้ำบาลายสี่เหลี่ยมผืนก่าอนที่จะเข้าสู่ตัวปราสาท  และปราสาทเขาพระวิหารไม่มีตัว"บาลาย"  จึงได้มีการสำรวจบริเวณรอบๆแล้วพบตัว "บาลาย"ฝั่งทิศเหนือจากบันไดปราสาท ในเขตดินแดนของประเทศไทย แต่ถูกกิ่งไม้ทับถมจึงหาไม่พบซึ่งหลังจากค้นพบ ทำให้คณะกรรมการมรดกโลกยืนยันว่า การเสนอขึ้นทะเบียนเขามรดกโลกต้องเสนอร่วมกันเท่านั้น

  "เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศ โดยมีอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายคนเก่าได้เดินทางมาหารือกับผมอีกครั้งขณะที่ผมยังอยู่ที่โรงพยาบาล ในเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเขาพระวิหาร แต่ก้ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ยึดแนวทางตามข้อตกลงในปี 2548 โดย ให้เสนอร่วมกันระหว่างประเทศ  เพราะหากเราไปสนับสนุนให้ กัมพูชาขึ้นทะเบียนเราจะเสียอธิปไตยเพราะแผนการจัดการพื้นที่จะตกไปอยู่ที่กัมพูชา ทันทีซึ่ง อธิบดีกรมสนธิสัญญาก็ยึดถือตามนั้น จนอาจจะเป็นสาเหตุของคำสั่งย้าย" นายอดุลย์ กล่าว

 อย่างไรก็ตาม นายอดุลย์ กล่าวว่า หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ ผมก็ทราบว่า อธิบดีคนนี้ได้ถูกสั่งย้ายซึ่งไม่ทราบว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด และเมื่อสัปดาห์ทีผ่านมา เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศ จาก กรมเอเซีย และกรมสนธิสัญญา ได้มาหารือกับผมอีกครั้ง  โดยนำเอาวีดีโอ มาบันทึก ซึ่งผมก็เสนอไปเช่นเดิมว่าไม่เห็นด้วยที่จะลงนาม สนับสนุนกัมพูชา  และเห็นว่าควรจะต้องเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันเท่านั้น

 " หลังจากที่ เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศมาหารือและผมยืนยันไปตามมติตามแนวทางปี2548 จากนั้นผมก็ทราบว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยไปตกลงลงนามเพื่อสนับสนุนให้กัมพูชา ไปเสนอขึ้นทะเบียนมรกดโลกที่ยูเนสโกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ประเทศชาติเสียหายมากเพราะอำนาจการบริหารจัดการทั้งหมดอยู่ที่กัมพูชา"

 นายอดุลย์ กล่าวอีกว่า  สิ่งที่เกิดขึ้น การรีบร้อนในการลงนาม เพื่อสนับสนุนกัมพูชาของ นาย นพดล  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ทั้งๆที่มีเวลาในการพิจารณา ถึง 2 ปี ทำให้ผมมั่นใจว่า ข่าวคราวที่ออกมาว่าการเสนอขึ้นทะเบียนเขาพระวิการกับการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์บางอย่าง น่าจะเป็นจริง อีกทั้ง การให้สัมภาษณ์ของ เตียบันที่ เกาะกง ก็ชัดเจนว่า น่าจะมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เกิดขึ้น

 " ครั้งแรกที่ผมได้ข่าวว่ามีการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ผมแค่ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น แต่หลังจากที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ของไทยไปลงนาทกับกัมพูชาและเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี พร้อมทั้ง รีบนำข้อเสนอดังกล่าวต่อ ที่ทำการยูเนสโก้ ทำให้มั่นใจว่า สิ่งที่เคยฟังหูไว้หูในเรื่องผลประโยชน์น่าจะเป็นเรื่องจริง และคงจะมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เกิดขึ้นแล้ว" นายอดุลย์ กล่าว

 นายอดุลย์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่นายนพดล ดำเนินการจึงเป็นเรื่องที่ประเทศเสียประโยชน์อย่างมาก  และการเนินการยังปกปิดข้อมูลการเซ้นสัญญาร่วมไม่ได้เปิดเผยให้กับสาธารณะชนรับรู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถือว่ายอมรับกันได้ยากมาก และน่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์มากกว่า เพราะท่าที่รีบร้อนของ รัฐมนตรีต่างประเทศที่รีบเซ็นลงนามโดยที่ไทยไม่ได้ประโยชน์เลย

 ผู้สื่อข่าวถามว่า การเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกกับยูเนสโก้ ไทยสามารถคัดค้านได้หรือไม่  นายอดุลบอกว่า หลังจากนี้ แล้ว อาจจะเป็นเรื่องยากเนื่องจากรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ไปเซ็นรับรองแผนที่ของกัมพูชา ถือเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลไปแล้ว ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลก อาจจะไม่รับพิจารณา

  นอกจากนี้ นายอดุลย์ กล่าวอีกว่า เมื่อ2สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีหนังสือ แต่งตั้งคณะกรรมการมรดกโลกชุดใหม่ เดิมมีชื่อผมเป็นที่ปรึกษา แต่ล่าสุดพบว่า ไม่มี ซึ่งก็ไม่เป็นไหรเชื่อว่าคณะกรรมการชุดใหม่ น่าจะสามารถเรียนรู้งานได้

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการมรดกโลกของไทย ได้ มีคำสั่งการเปลี่ยนแปลงประธานคณะกรรมการมรดกโลกคนใหม่แล้ว จากเดิมที่มีศ. ดร.อดุล วิเชียรเจริญ เป็นประธาน มาเป็นนายปองพล อดิเรกสาร อดีต รมว.ศึกษาธิการ พร้อมกับผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการชุดนี้กว่า 10 คน อาทิ ดร.มานิตย์ ศิริวรรณ ออกจากการเป็นกรรมการมรดกโลกในประเทศไทย  โดยคณะกรรมการชุดใหม่ ทั้งหมดจะเป็นผู้เดินทางเข้าร่วมการประชุมมรดกโลกที่เมืองคิวเบก ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 2-10 ก.ค. นี้

  อย่างไรก็ตามแหล่งข่าว จากคณะกรรมการมรดกโลกประเทศไทยคนหนึ่ง กล่าวว่า การลงนามรับรองแผนที่ของกัมพูชาของ นายนพดล ถือเป็นครั้งแรกในการตกลงยกดินแดนให้กัมพูชาอย่างเป็นทางการ หรือเรียกว่าเป็นการเสียดินแดนครั้งแรก เนื่องจากที่ผ่านมา หลังจากที่ ศาลโลกในปี 2505 ตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่ดินแดนเป็นของไทยนั้น ได้มี มติครม.สมัย จอมพลสฤษดิ์   ธนะรัชต์ ออกมาเพียงเรื่องของเขตแดนในประเทศไทยเท่านั้น ไม่ได้มีข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรก

 "การที่รัฐมนตรีต่างประเทศไปเซ็นรับรองถือเป็นครั้งแรกของการยอมรับกรณีที่พิพาทที่ดินระหว่างไทยกับกัมพูชาเพราะที่ผ่านมา ไทยไม่เคยยอมรับในเรื่องนี้เลยเพราะศาลโลกตัดสินแล้วว่า ดินแดนเป็นของไทย การที่ตัวอาคารของเขมรมาตั้งในดินแดนไทยก็ไม่มีปัญหา และเรายังมีอำนาจบริหารแผ่นดินของเรา แต่การรัฐมนตรีต่างประเทศไปเซ้นรับรองแผนที่กัมพูชาเท่ากับยอมรับยกพื้นที่ให้กัมพูชาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์"

 นอกจากนี้แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า อีกประเด็นที่น่าห่วงคือการที่ไทยยอมรับในเรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ทั้งๆที่เขมรเองไม่เคยอ้างสิทธิ์ดังกล่าว เท่ากับ เป็นการเสีบยประโยชน์ด้วยเช่นกัน ทำให้น่าจะตั้งข้อสังเกตว่า อาการรีบร้อนและการตกลงแบบนี้ น่าจะมีปัญหาการเมืองเกี่ยวข้องด้วย

   " การที่รัฐมนตรีต่างประเทศเซ็นลงนามรับรอง แผนที่กัมพูชาและแผนที่ฉบันนั้นจะถูกส่งไปยัง ยูเนสโก้ ซึ่งเป็นงองค์กระระหว่างประเทศ ถือเป็นการยอมรับยกดินแดนให้กับกัมพูชาครั้งแรก หรือเรียกว่าไทยเสียดินแดนครั้งแรกด้วย"

ทุกภาคส่วน ออกมาคัดค้านการขายชาติของไอ้เหล่และไอ้เหลี่ยมแล้ว ลิ่วล้อลูกหาบคนขายชาติ มาด่าด่วน หน้าที่ขายชาติของพวกมรึง ทำเข้าไป 
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #129 เมื่อ: 19-06-2008, 19:24 »

อิ อิ กำลังจะถามหาความเห็น ศ. ดร. อดุลย์ วิเชียรเจริญอยู่พอดี

ที่จริงมีกลุ่มอาจารย์ วิถีไทย ( ไม่แน่ใจ ) อีกกลุ่มครับ ใครมีก็นำมาโพสท์ด้วย

ผมขออนุญาตเก็บข้อมูลนี้ไปไว้ในห้องสมุด ด้วยนะครับ
บันทึกการเข้า

qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #130 เมื่อ: 19-06-2008, 19:28 »

ศาลโลกเปลี่ยนคำตัดสินออกจะบ่อยไป
โดยเฉพาะคดีความ - ความขัดแย้งอันเกิดจากการกระทำในลักษณะแสวงหาอาณานิคม

คณะตุลาการศาลโลกสมัยปี 2505 ก็ตายห่าตายโหงไปหมดแล้ว
เวลานั้นเทคโนโลยี่ยังไม่ก้าวหน้า  พิสูจน์อะไรก็ว่าไปตามหลักฐานแกน ๆ ที่แต่้ละฝ่ายหามาได้
ฝ่ายไหนหามาได้มากกว่า  มีความเชี่ยวชาญมากกว่า  หรือเข้าหลัก "ข้อกฎหมาย" มากกว่า ก็ได้เปรียบไป

ในขณะที่ปัจจุบันนี้ไม่ใช่ 
เทคโนโลยี่ก้าวหน้าขึ้นมาก  จนสามารถตรวจสอบดูอาณาบริเวณหรือภูมิประเทศที่แท้จริงได้จากภาพถ่ายดาวเทียม
หรือแม้แต่ถ่ายทอดข้อเท็จจริงผ่านทางอินเตอร์เน็ต
ศาลหรือคณะตุลาการปัจจุบันนี้ก็รอบรู้ ไม่ใช่เพียงแต่เป็นผู้พิพากษาแก่ ๆ ที่ผ่านงานเพียงด้านรัฐศาสตร์ - กม.

ดังนั้นการรักษาสิทธิไว้ก่อน  เพื่อการพิสูจน์ทราบในสิ่งที่เรียกว่า "ข้อเท็จจริง" ย่อมเป็นการฉลาดกว่าและรับผิดชอบมากกว่า

เทียบได้กับงานโบราณคดี
นักโบราณคดีก็จะไม่ทำลายวัตถุหรือสถานที่อันเป็นของเก่า - ของโบราณ เสียจนยับเยิน - เปลี่ยนสภาพไป
เพราะคนรุ่นพ่อแม่ตระหนักดีว่า "สติปัญญา" ของตนย่อมสู้คนรุ่นลูกหลานไม่ได้
ด้วยคนรุ่นลูกหลาน  ย่อมพัฒนาและสั่งสมไว้ซึ่งประสบการณ์มากกว่า
ในการตัดสินใจหรือวิเคราะห์ผลใด ๆ  ย่อมต้องเป็นไปอย่างรอบคอบและรอบรู้ยิ่งกว่า
จึงพยายาม "รักษา" ไว้ซึ่งโบราณวัตถุสิ่งนั้น - โบราณสถานนั้น ๆ
เพื่อการประโยชน์อันลึกซึ้งและเที่ยงธรรมยิ่งกว่า  ในวันข้างหน้า


อ่านถึงตรงนี้แล้วคงเข้าใจว่าทำไมจึงต้องรักษา "สิทธิ" เอาไว้ก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2008, 19:39 โดย qazwsx » บันทึกการเข้า

boyk
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,477



« ตอบ #131 เมื่อ: 19-06-2008, 19:29 »

ถามง่ายๆ

การจะมีหรือทำพันธสัญญาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนกับต่างชาติ

จะเสียหรือไม่เสียดินแดนก็อีกประเด็นหนึ่ง

ประชาชนโดยผ่านรัฐสภามีสิทธิรับรู้ก่อนหรือไม่

เป็นเรื่องเร่งด่วนหรือไม่ เมื่อเทียบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ การแก้ ไม่แก้รธน.
ดูเหมือนรัฐบาลนี้จะไม่เรียงลำดับความสำคัญของปัญหาว่า
อะไรควรทำก่อน อะไรเร่งด่วน อะไรทำทีหลังก็ได้ ไม่ต้องรีบไปผูกมัด

มันสมควรมั้ยที่จะทำให้ผู้คนเขาสงสัยเรื่องวาระซ่อนเร้น แม้จะมีหรือไม่มีวาระนั้นก็ตาม
บันทึกการเข้า

ไล่งับคนโกง ตอกฝาโลงไม่ให้เกิด
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #132 เมื่อ: 19-06-2008, 19:32 »

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000072249

อ้างถึง
คณาจารย์ ข้าราชการ และนักศึกษานิด้าสุดทน ออกแถลงการณ์ค้านการกระทำของรัฐบาลต่อ “ปราสาทพระวิหาร” เผยปิดกั้นการรับรู้ของส่วนร่วม สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดน-อธิปไตยของชาติ เรียกร้องทุกภาคส่วนปฏิเสธทุกการดำเนินงานอย่างกว้างขวางและพร้อมเพรียง
       
       วันนี้ (19 มิ.ย.) เวลา 16.00 น.ที่หอประชุมใหญ่ ชั้น 9 อาคารวิทยบริการ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า บรรดาคณาจารย์ ข้าราชการและนักศึกษานิด้า ได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณี “ปราสาทพระวิหาร” โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
       
       ในฐานะที่เราอยู่ในสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐมีภาระหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารการพัฒนาประเทศ เรามีมุมมองต่อประเด็นปัญหาของสังคมในขณะนี้ โดยเฉพาะการที่ฝ่ายการเมืองไปทำข้อตกลงเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร โดยปิดกั้นหรือหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมของสังคมไม่ให้รับรู้รายละเอียด เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนและอธิปไตยต่อประเทศ ประกอบกับรัฐบาลแสดงท่าที และมีเจตนาปิดกั้นการอภิปรายในรูปแบบใดๆ ในรัฐสภา ทำให้ประเด็นนี้ไม่สามารถได้รับการพิจารณาร่วมกันในระหว่างฝ่ายต่างๆ ได้
       
       ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้สังคมทุกภาคส่วนร่วมกันปฏิเสธการดำเนินการใดๆ ที่รัฐบาลทำกับประเทศกัมพูชา เราขาให้สถาบันการศึกษา สถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ออกมาปฏิเสธการดำเนินการครั้งนี้ของรัฐบาลอย่างกว้างขวางและพร้อมเพรียงกัน
       
       
       ดร.สมพจน์ กรรณนุช อาจารย์ประจำคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้(20 มิ.ย.) คณาจารย์ และนักศึกษาของนิด้าจะร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย เนื่องจากการกระทำของนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ และรัฐบาลไทย เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่ไปลงนามความร่วมมือเกี่ยวกับเขาพระวิหารกับรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งเป็นหลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนว่าพฤติกรรมของรัฐบาล เป็นการกระทำที่ค่อนข้างที่ปกปิด และหลีกเลี่ยงที่จะให้ประชาชน และทุกภาคส่วนของไทยได้รับรู้ว่าทำอะไรกันอยู่
       
       นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบางอย่างที่ทำให้สงสัยได้ว่ารัฐบาลมีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับเรื่องอื่นๆซึ่งเป็นข้อสงสัยที่เป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายกับประเทศไทย อีกทั้งรัฐบาลหลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนรับรู้ ไม่มีส่วนร่วมใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ช่องทางที่รัฐสภาจะอภิปรายก็เปิดไม่ได้ รัฐบาลปิดช่องทางที่จะให้ทุกฝ่ายจะมีส่วนร่วมและตรวจสอบ
       
       "ดังนั้น รัฐบาลที่ดำเนินการโดยไม่มีความชอบธรรมเป็นการผิดต่อรัฐธรรมนูญประชาชนมีสิทธิที่จะปฏิเสธรัฐบาลได้ และหากรัฐบาลชุดนี้ไม่อยู่ พวกเราจะมีหลักฐานว่าประชาชนไทยมีการยื่นประท้วงเรื่องดังกล่าวแล้ว เป็นการขอปฏิเสธข้อตกลงต่างๆ ที่รัฐบาลไปทำไว้ ลักษณะคล้ายๆ เสรีไทย ที่ปฏิเสธความตกลงระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2”ดร.สมพจน์กล่าว
       
       รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน กล่าวว่า นับแต่ปี 2505 ที่ศาลโลกพิพากษาให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาจนถึงวันนี้เป็นเวลา 47 ปีผ่านมาแล้ว ซึ่งหลังจากที่ศาลโลกได้มีคำตัดสินดังกล่าว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีไทยขณะนั้น ได้มีแถลงการณ์ออกมาโดยมีใจความสรุปว่า รัฐบาลต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ในเรื่องดังกล่าวและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาต่อไป ซึ่งรัฐบาลขอสงวนสิทธิ์ในทางอธิปไตยที่จะดำเนินการในแนวทางอื่นที่ดำเนินการได้ แต่ก็จะเคารพในคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งนัยยะแถลงการณ์ของรัฐบาลไทยในขณะนั้นคือ ไม่ยอมรับในคำตัดสินของศาลโลกและขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการทางอื่นที่ทำได้ แต่รัฐบาลชุดนี้ได้ไปลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลกัมพูชา โดยที่ประชาชนไม่มีส่วนรับรู้ความชัดเจนของเนื้อหาสาระข้อตกลงที่รัฐบาลไทยไปทำกับต่างประเทศเลยแม้แต่น้อย
       
       “วิธีการที่รัฐบาลไทยทำโดยสังคมไม่ได้รับรู้อะไรเลย และขอให้คนในสังคมเชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบบราชการที่เกี่ยวข้อง และกรมแผนที่ทหารว่าดำเนินการทุกอย่างอย่างดีที่สุดแล้วไม่เพียงพอ การดำเนินการเรื่องนี้สังคมต้องรับรู้ และการที่รัฐบาลอ้างว่ารายละเอียดข้อตกลงกับกัมพูชาไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากขณะนี้ทางกัมพูชาอยู่ระหว่างการเลือกตั้งนั้น ก็ต้องถามว่าแล้วประชาชนไทยไม่มีความจำเป็นต้องรับรู้รายละเอียดข้อตกลงหรือ ซึ่งหากมีเงื่อนไขว่ากัมพูชาอยู่ในช่วงเลือกตั้ง เหตุใดจะต้องรีบเร่งลงนามความร่วมมือในช่วงนี้ ทำไมไม่รอให้กัมพูชาเลือกตั้งเสร็จก่อนแล้วค่อยมาพิจารณาร่วมกัน ดังนั้น เราจึงขอปฏิเสธการลงนามของรัฐบาล และขอให้สังคมได้มาส่วนในการตัดสินเรื่องนี้ด้วย”
       
       รศ.ทวีศักดิ์ กล่าวอีกว่า ทางคณาจารย์นิด้าคงจะได้พูดคุยกับนักวิชาการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.)ในเร็วๆ นี้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และขอให้รัฐบาลฟังเสียงของสังคมอย่างน้อยขณะนี้ก็มีนักวิชาการออกมาคัดค้านทั้งที่ มธ. และ นิด้า อย่าคิดว่าเป็นประเด็นที่พันธมิตรฯ นำมาพูดแล้วจะอคติไม่ใส่ใจควรรับฟัง และทำเรื่องนี้อย่างเปิดเผยเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ และเข้าใจความเป็นมาเป็นไปของเขาพระวิหาร เพราะเด็กรุ่นปัจจุบันจำนวนมากยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องนี้
       
       ขณะที่รศ.ดร.ธวัชชัย ศุภประดิษฐ์ รองประธานสภาคณาจารย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์(นิด้า) กล่าวว่า นิด้าไม่เห็นด้วยกับการที่ฝ่ายการเมืองไปทำข้อตกลงเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเปิดเผยและแสดงจุดยืนนี้ต่อประชาชนเพื่อแสดงการคัดค้านและร่วมตั้งคำถามกับรัฐบาลในกรณีดังกล่าว
       
       “ในความคิดของประชาชนนั้น นักการเมืองคือบุคคลที่ไม่น่าไว้ใจมากที่สุด แล้วเราจะเอาผืนแผ่นดินไทยไปผูกติดกับนักการเมืองเพียงไม่กี่คนหรือ ผมว่าน่าจะเป็นคำถามที่ประชาชนต้องเอากลับไปคิด”
       
       รศ.ดร.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า ข้อหมกเม็ดของนักการเมืองไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลของแถลงการณ์ข้อตกลงระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นบ่งชี้ชัดเจนว่ามีผลประโยชน์ต่อกลุ่มการเมืองซุกซ่อนอยู่ เพราะหากโปร่งใสจริงรัฐบาลไทยต้องสามารถเปิดเผยข้อมูลหรือข้อสัญญาให้ประชาชนเจ้าของแผ่นดินรับทราบก่อนตัดสินใจ แต่การตัดสินใจร่วมสัญญาเพียง 2-3 คนและเวลากระชั้นชิดนั้นแสดงถึงความไม่โปร่งใสอย่างยิ่ง
       
       “จนขณะนี้เราก็ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วในวงสนทนาการทำสัญญาเขาพูดอะไรกันบ้าง ซึ่งมันน่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงรีบด่วนตัดสินใจทำข้อสัญญาดังกล่าว” รองปธ.สภาคณาจารย์นิด้าตั้งข้อสังเกต
       
       ทั้งนี้ ในการแถลงข่าวดังกล่าวคณาจารย์ และบุคลากรนิด้า ได้ลงนามร่วมกันคัดค้านการทำความร่วมมือของรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาไว้ด้วย
       
       อนึ่ง นอกจากจะมีแถลงการณ์คัดค้านรัฐบาลแล้ว ในวันพรุ่งนี้(20 มิ.ย.) นักศึกษาและคณาจารย์จำนวนหนึ่งจะเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อขอคำชี้แจงจากคณะรัฐมนตรี และสมทบกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย

สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า  ออกมาต่อต้านอีกหนึ่งแห่ง

ไอ้เหล่ ไอ้เหลี่ยม ไอ้ลิ่วล้อลูกหาบ มีอะไรจะด่า เชิญ
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #133 เมื่อ: 19-06-2008, 19:41 »

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000072213

อ้างถึง
เซ้งเขาพระวิหารเป็นโมฆะ!
 
โดย สิริอัญญา  19 มิถุนายน 2551 17:11 น.
 
 
 
การตั้งข้อสงสัยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อรัฐบาลหุ่นเชิดเกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหารว่าเป็นการขายชาติ ยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่เขมร เป็นความจริงขึ้นมาแล้ว! และทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนแก่กัมพูชาไปแล้ว
       
       หลังจากปกปิดมุบมิบเล่นเล่ห์กลมาพักใหญ่ ก็ถูกกลุ่มพันธมิตรฯ เดินขบวนใหญ่ทวงถามรัฐบาลให้เปิดเผยข้อเท็จจริง และเป็นผลให้นายนพดล ปัทมะ เปิดการแถลงข่าวเรื่องนี้ในตอนบ่ายวันที่ 18 มิถุนายน 2551
       
       และจากการแถลงข่าวนั่นเอง ข้อเท็จจริงก็เปิดเผยออกมาชัดเจนยิ่งขึ้นว่ากรณีเป็นการขายชาติยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่เขมรจริง ๆ สมดังที่กลุ่มพันธมิตรฯ เขากล่าวหา
       
       แต่จากคำแถลงและเอกสารแผนที่ ตลอดจนแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา นั้นใช้ทั้งภาษาการทูต ภาษากฎหมาย และมีความซับซ้อนในเรื่องวิชาการแผนที่ จึงทำให้เข้าใจได้ยาก
       
       ทั้ง ๆ ที่เนื้อแท้และความจริงแล้วก็คือการขายชาติ โดยยกอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชาไปอย่างหน้าตาเฉยนั่นเอง
       
       ดังนั้นมาทำความเข้าใจถึงถ้อยคำภาษากฎหมายภาษาการทูตและความซับซ้อนเรื่องวิชาการแผนที่ ตลอดจนการใช้เล่ห์กลซับซ้อนซ่อนเงื่อนในเรื่องนี้กันให้ชัดเจน ซึ่งมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
       
       เรื่องที่หนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งมีแผนที่ประกอบตามที่นายนพดล ปัทมะ แถลงนั้น เนื้อหาที่แท้จริงก็คือข้อตกลงชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ และมีผลต่อดินแดนของราชอาณาจักรไทย
       
       ข้อตกลงประเภทนี้รัฐธรรมนูญปัจจุบันบัญญัติว่าจะต้องดำเนินการสองประการก่อนจึงจะลงนามในเอกสารนั้นได้ คือ ประการแรก จะต้องนำกรอบข้อตกลงขออนุมัติต่อรัฐสภาเสียก่อน และประการที่สอง จะต้องให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาออกความเห็นด้วย หากไม่ปฏิบัติตามนี้รัฐบาลก็ทำข้อตกลงนั้นไม่ได้
       
       การที่รัฐบาลลงนามในข้อตกลงตามเอกสารที่เรียกว่าแถลงการณ์ร่วมจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ ประชาชนชาวไทยจึงมีสิทธิ์ประกาศว่าแถลงการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันประเทศไทยและรัฐบาลไทย ตลอดจนประชาชนไทย ทำนองเดียวกับที่ขบวนการเสรีไทยเคยประกาศโมฆะกรรมที่รัฐบาลเผด็จการ ป.พิบูลสงคราม ได้ทำสนธิสัญญาเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์เอเชียบูรพากับญี่ปุ่นทำสงครามกับพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้ว
       
       เรื่องที่สอง แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นข้อตกลงประเภทที่เรียกว่าสัญญาประนีประนอมยอมความ คือระงับข้อพิพาทที่มีต่อกันในเรื่องเขตแดน
       
       ขอให้สาธุชนผู้รักชาติทั้งปวงได้สังเกตถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมนั้นให้ดี ก็จะพบว่ามีถ้อยคำว่าเพื่อการประนีประนอม และถ้อยคำนี้อยู่ภายหลังข้อความที่ว่าเพื่อความเป็นไมตรีระหว่างกัน
       
       เป็นการใช้ภาษากฎหมายผสมกับภาษาการทูตด้วยเล่ห์กลอุบายขายชาติ ซึ่งถ้าหากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและเลขาธิการ สมช. คนก่อนไม่ถูกย้ายอย่างฉุกเฉินแล้ว ข้อตกลงขายชาติแบบนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้
       
       เห็นหรือยังว่าการย้ายอดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและเลขาธิการ สมช. อย่างฉุกเฉินก็เพราะมีนัยที่จะผลักดันข้อตกลงอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนี้ไม่ใช่หรือ?
       
       อันสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างประเทศ เมื่อทำโดยถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้วก็ใช้บังคับระหว่างกันได้ มีผลเป็นการระงับข้อพิพาทอื่น ๆ หรือปัญหาที่เคยมีต่อกันก่อนหน้านี้ทั้งหมด
       
       นี่คือการมัดตราสังข์ประเทศไทยและรัฐบาลไทยในภายภาคหน้าไม่ให้มีโอกาสทวงคืนปราสาทพระวิหารและดินแดนแถบนั้นได้อีกต่อไป!
       
       เรื่องที่สาม ข้อตกลงดังกล่าวนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเลย หากเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่เขมรฝ่ายเดียวเท่านั้น และเป็นประโยชน์หลายสถาน คือ
       
       (1) เขมรได้ไปซึ่งปราสาทพระวิหารอย่างถาวรอย่างหนึ่ง
       (2) เขมรได้ไปซึ่งปราสาทในบริเวณใกล้เคียงอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นอย่างหนึ่ง
       (3) เขมรได้ไปซึ่งพื้นที่อันเป็นดินแดนของประเทศไทยซึ่งเป็นที่ตั้งของบริเวณปราสาททั้งหมดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตรอย่างหนึ่ง และ
       (4) เขมรได้ไปซึ่งสิทธิ์ที่รัฐบาลไทยยอมรับว่าดินแดนประเทศไทยในพื้นที่ข้างเคียงรวมตลอดไปถึงอุทยานแห่งชาติพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นที่ทับซ้อน และอยู่ในข้อตกลงที่จะต้องจัดการผลประโยชน์ร่วมกันอีกอย่างหนึ่ง
       
       ทั้ง 4 ประการนี่แหละเป็นเรื่องอุบาทว์ชาติชั่ว เป็นเรื่องการขายชาติ เป็นเรื่องการปล้นชาติ เป็นเรื่องปล้นอธิปไตยของประเทศที่บรรพบุรุษไทยและกองทัพไทยได้พิทักษ์รักษามาตั้งแต่บรรพกาลให้กับเขมรไปอย่างหน้าตาเฉย
       
       มาเข้าใจเรื่องนี้กันให้ลึกซึ้งสักหน่อย ซึ่งสามารถพูดให้เข้าใจได้โดยง่ายดังนี้
       
       (1) ในเรื่องตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลโลกเคยตัดสินให้เป็นของเขมรนั้น รัฐบาลไทยในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สงวนสิทธิ์และโต้แย้งไว้ต่อสหประชาชาติว่าปราสาทพระวิหารนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย แต่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาไปก่อนตามพันธะแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยสงวนสิทธิ์ที่จะเอาคืนหรือพิสูจน์ใหม่ในอนาคต
       
       ข้อตกลงหรือแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลหุ่นเชิดคือการสละสิทธิ์ดังกล่าวทั้งหมดและยกปราสาทพระวิหารให้เป็นของเขมรอย่างถาวรตลอดกัลปาวสาน
       
       (2) ปราสาทอื่นในบริเวณนั้นอีก 3 หลัง รวมทั้งทางเดินขึ้นปราสาทพระวิหารทั้งหมด ศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้เป็นของเขมร และประเทศไทยก็ถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติของประเทศไทยตลอดมา
       
       แต่รัฐบาลหุ่นเชิดได้ตกลงในแถลงการณ์ร่วมแบบมุบมิบโมเมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขมรไปทั้งหมด
       
       (3) พื้นที่อันเป็นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาทอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นเป็นดินแดนของประเทศไทย เป็นอธิปไตยของประเทศไทย และศาลโลกก็มิได้ตัดสินให้เป็นของเขมร แต่เขมรเขียนแผนที่ใหม่ฝ่ายเดียว ระบุว่าเป็นดินแดนของเขมร
       
       ดังนั้นการที่รัฐบาลหุ่นเชิดยอมรับแผนที่ดังกล่าว จึงเท่ากับเป็นการยกดินแดนหรืออธิปไตยของประเทศไทยอันเป็นพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหาร ปราสาทอื่นอีก 3 หลัง และทางขึ้นเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นของกัมพูชาไปทั้งหมด ซึ่งถือเป็นข้อตกลงประนีประนอมยอมความดังที่ได้จั่วหัวไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
       
       (4) พื้นที่นอกบริเวณพื้นที่อันเป็นที่ตั้งตัวปราสาทและทางขึ้น มีอาณาเขตประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกินพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติพระวิหารและมีชาวเขมรมาตั้งร้านค้า ตั้งวัดอยู่แล้ว และเป็นดินแดนของประเทศไทย เป็นอธิปไตยของประเทศไทย โดยในแผนที่ของประเทศไทยก็ระบุชัดว่าเป็นดินแดนของประเทศไทย
       
       แต่รัฐบาลหุ่นเชิดได้ทำความตกลงให้ถือเอาพื้นที่ดังกล่าวเป็น “เขตทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา” และ “จะดำเนินการบริหารจัดการหาประโยชน์ร่วมกัน”
       
       นี่คือการสละดินแดนและอธิปไตยซึ่งเป็นของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ให้กลายเป็น “เขตทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา” เป็นเนื้อที่ถึงประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร
       
       แล้วข้อตกลงอันเป็นแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวก็ได้วางกรอบเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าวว่าทั้งไทยและกัมพูชาจะบริหารจัดการร่วมกัน ซึ่งจะเปรียบก็เหมือนๆ กับการทำความตกลงว่าให้สนามหลวงเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา แล้วยอมให้ไทยและกัมพูชาบริหารจัดการแล้วหาประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง มันจึงเป็นเรื่องโกงอธิปไตยของชาติอย่างหน้าด้าน ๆ
       
       ที่แถลงแก้ตัวว่าการบุกรุกของชาวกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าวจะเจรจากันในภายหลังนั้น เมื่อประกอบกับข้อตกลงดังกล่าวแล้วก็เห็นได้ชัดว่าได้วางเงื่อนไขที่เสียเปรียบซ้ำเข้าไปอีก เพราะเท่ากับเป็นการไม่โต้แย้งคัดค้านการที่ชาวเขมรมาตั้งถิ่นฐานและวัดวาอารามในพื้นที่นั้น
       
       ด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าวมานี้จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าข้อตกลงซึ่งกระทำการในแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลหุ่นเชิดทำให้ราชอาณาจักรไทยเสียหายดังต่อไปนี้
       
       1. ปราสาทพระวิหารซึ่งรัฐบาลไทยสงวนสิทธิ์ไว้ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขมรอย่างถาวรตลอดกาลด้วยการสละสิทธิ์ของรัฐบาลหุ่นเชิด โดยประเทศไทยหมดสิทธิ์ทวงคืนตลอดไป
       
       2. ปราสาทอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกันนั้นถูกยกให้แก่กัมพูชาไปดื้อ ๆ
       
       3. ยกดินแดนอันเป็นพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาท 3 หลัง กับทั้งพื้นที่ทางขึ้นเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ให้แก่เขมร ทั้ง ๆ ที่เป็นดินแดนของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ และศาลโลกก็ไม่เคยตัดสินให้เป็นของเขมร
       
       4. ตกลงให้ดินแดนของประเทศไทยในพื้นที่ข้างเคียงกับพื้นที่ตั้งปราสาทซึ่งกินพื้นที่อุทยานแห่งชาติพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร เป็น “พื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา”
       
       5. ตกลงให้เขมรมีสิทธิ์มีส่วนเท่ากับประเทศไทยในการจัดการและแสวงหาประโยชน์จากพื้นที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตรของประเทศไทยได้ตลอดไป
       
       นี่คือการขายชาติ ปล้นชาติ ปล้นอธิปไตยอย่างโจ่งแจ้งที่สุด!
       
        แต่ข้อตกลงนี้กระทำขึ้นโดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ โดยการทรยศชาติ ประชาชนไทยและองค์กรต่าง ๆ ของประเทศไทยจึงมีสิทธิ์ประกาศให้ข้อตกลงเป็นโมฆะโดยแจ้งไปยังสหประชาชาติหรือยูเนสโกได้ และสามารถฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี และแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวได้อีกด้วย
       
       เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของประเทศชาติ จะเป็นเหตุการณ์อัปยศเสื่อมเสียถึงพระบรมเดชานุภาพเพราะเกิดเหตุเสียดินแดนเป็นครั้งแรกในรัชกาลนี้ ทั้งจะเป็นความอัปยศอดสูของเหล่าทหารทั้งกองทัพไทยที่อาจถูกดูหมิ่นหรือถูกก่นด่าประชดให้เปลี่ยนเครื่องแบบไปนุ่งผ้าถุงหรือผ้าซิ่นของผู้หญิงแทนหากว่ายอมให้เรื่องนี้ผ่านไปแบบนี้.
บันทึกการเข้า
moon
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 780


« ตอบ #134 เมื่อ: 19-06-2008, 19:43 »

สงสัยจังว่าขอบเขตอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าสามารถทำได้หรือไม่
บันทึกการเข้า
THE THIRD WAY
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,821


Love looks not with eyes, but with the mind.


« ตอบ #135 เมื่อ: 19-06-2008, 19:54 »

ผมฟังอาจารย์อดุลย์
ให้สัมภาษณ์สดเนชั่นเดี๋ยวนี้เอง
สรุปว่า เราโง่ไปแล้วครับ

เสียดาย
 
บันทึกการเข้า

ความรักนั้นหวาน ไม่ว่าจะรับหรือให้
************************
การขับไล่ทรราช เป็นภารกิจของเจ้าของประเทศ
Limmy
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,346


« ตอบ #136 เมื่อ: 19-06-2008, 20:00 »

นายหน้าดันไปรังวัดที่ดินงุบ ๆ งิบ ๆ กับคนข้างบ้าน

เสร็จแล้วเอาแผนที่รังวัดมาให้เจ้าของบ้าน

เจ้าของบ้านก็สงสัย ว่าไอ้นายหน้ามันมีสิทธิอะไรวะ ก็เลยต้องเอา รัฐธรรมนูญมาเปิดดูกัน

ปรากฏว่าไอ้นายหน้า มันทำผิดมาตรา 190 ไปแบบเต็ม ๆ

เพราะเรื่องแบบนี้มันต้องหารือกับเจ้าของบ้านก่อน แล้วค่อยไปตกลงกับคนข้างบ้าน

ไอ้นายหน้า เลยต้องไปขึ้นศาลครับ เร็ว ๆ นี้


ส่วนเรื่องสิทธิในส่วนขององค์ปราสาท ยอมรับได้ครับ

ก็ขอเชิญเขมรช่วยมารื้อปราสาทไปปลูกใหม่นอกเขตประเทศไทยด้วยครับ


บันทึกการเข้า
boyk
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,477



« ตอบ #137 เมื่อ: 19-06-2008, 20:18 »

ที่แท้มันไม่คิดว่ามันทำผิดรธน..

นพดลยืนยันไม่ผิดมาตรา 190

ข่าวภาคค่ำคับ..
บันทึกการเข้า

ไล่งับคนโกง ตอกฝาโลงไม่ให้เกิด
อิรวันชาห์ IrWanSyah
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 870



« ตอบ #138 เมื่อ: 19-06-2008, 20:33 »

จะเสียดินแดน ....ทำผิดรัฐธรรมนูญ ....เอื้อประโยชน์สัปมทานและกดินแดน สารพัด ฯลฯ

แน่จริงอ้ายที่เย้วๆอยู่บนเทวี ไปฟ้องศาลเลยครับ จะได้รู้ความจริง เอาให้นพดลถูกปประหารเดชั่วโคตรไปเลย

กลัวว่าจะเป็นเพียงคำพูดที่เหมือนผายลมออกมา.....


เหมือนที่แป๊ะนรก ออกมากล่าวร้ายทักษิณตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ เรื่องหมิ่นสถาบัน  แต่สุดท้าย คมช.ก็ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้ ทั้งๆที่มีอำนาจอยู่ในมือ แถมแป๊ะนรกเองกลับโดนพิพากษาคดีหมิ่นฯแทน 

หรือเหมือนที่วีระออกมาเย้วๆ บนเวที เรื่องเจ๊สด พอเขาเอาของจริงออกมา โกยแน็บลงรู้แย้ ไม่โผล่หัวออกมาจนถึงบัดนี้ 
บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #139 เมื่อ: 19-06-2008, 20:38 »

คนไทยไม่โง่หรอกครับ ที่สำคัญได้คัดค้านกันมตลอด

ฝ่ายที่แสดงความหวังดี ก็เสนอให้ทั้งไทยและเขมร เสนอให้เป็นมรดกโลกร่วมกัน

ปี 47 รัฐบาลทักษิณก็รู้เรื่องนี้ดี...ความเห็นต้นๆ ที่เล่าจาก "คมชัลึก" นั่นแหละครับ

แต่ปี 49 เขมรแอบไปยื่นฝ่ายเดียว ตอนหลังก็มีรัฐมนตรีโง่ๆ ไปงาบอะไรเข้าไปเซ็นต์รับรองให้เขมร

ตลอดปี 2550 ไทยก็คัดค้านมาตลอดครับ

เพิ่งจะมาเสียค่าโง่ก้เมื่อนายนพดล ไปเซ็นต์รับรองให้เค้าฝ่ายเดียวนั่นแหละครับ

ที่จริงเพื่อไม่ให้เสียเปรียบ กรณีมรดกโลก ก็อ้างว่าต้องจดทะเบียนร่วมกัน ก็มีแต่ได้ทั้งสองฝ่าย
บันทึกการเข้า

qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #140 เมื่อ: 19-06-2008, 20:54 »

จะเสียดินแดน ....ทำผิดรัฐธรรมนูญ ....เอื้อประโยชน์สัปมทานและกดินแดน สารพัด ฯลฯ

แน่จริงอ้ายที่เย้วๆอยู่บนเทวี ไปฟ้องศาลเลยครับ จะได้รู้ความจริง เอาให้นพดลถูกปประหารเดชั่วโคตรไปเลย

กลัวว่าจะเป็นเพียงคำพูดที่เหมือนผายลมออกมา.....


เหมือนที่แป๊ะนรก ออกมากล่าวร้ายทักษิณตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ เรื่องหมิ่นสถาบัน  แต่สุดท้าย คมช.ก็ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้ ทั้งๆที่มีอำนาจอยู่ในมือ แถมแป๊ะนรกเองกลับโดนพิพากษาคดีหมิ่นฯแทน 

หรือเหมือนที่วีระออกมาเย้วๆ บนเวที เรื่องเจ๊สด พอเขาเอาของจริงออกมา โกยแน็บลงรู้แย้ ไม่โผล่หัวออกมาจนถึงบัดนี้ 




ออกตัวก่อนว่าไม่เคยชอบไอ้แป๊ะลิ้ม - ไม่ได้เข้ามาเถียงแทน
เพียงแค่รำคาญนัยน์ตาเมื่อเห็นการแสดง คคห.อย่างสั่ว ๆ ของผู้ใช้นามแฝงที่เข้าใจว่าเคยรู้จักมาก่อน
ว่าตรง ๆ ก็คือผมไม่น่าเชื่อว่าเป็นบังโม ฯ ตัวจริงจากราชดำเนิน
เพราะลากประเด็นมั่ว  แถมแสดงความเห็นสั่ว ๆ ไม่มีจุดยืน

เช่น
1. เรื่องหมิ่น ฯ ของแป๊ะลิ้ม  เกี่ยวอะไรด้วย ...ลากมาทำไม ?
...หรือ "รู้อยู่แค่นั้น"
เอานะ...ถ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ กม.จะช่วยขยายรอยหยักในสมองให้
ว่าคดีหมิ่นประมาท  เป็นคดีความ "ระหว่างบุคคล"
บุคคลที่ 3 ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายอะไรกับเข้าด้วย
โดย "มารยาท" แล้ว  เขาไม่ "เสือก" หรอก

เพราะจะไปรู้ได้ไงว่าวันดีคืนดี คู่กรณีเขาอาจจะกลับมาจู๋จี๋จูบปากกันอีกก็ได้
หรือในที่สุดคดีอาจพลิกกลับ 
กลายเป็นว่า "ต่างฝ่ายต่างเคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน" จนกลายเป็น "การทะเลาะกัน" ไป
ก็เป็นได้

...ไม่ได้เป็นพ่อเป็นผัวหรือเป็นชู้กัีบคู่กรณีเขา
...อย่าสาระแน "ยกคดีหมิ่นประมาท" ขึ้นมาดิสเครดิตใครเขาดีกว่า
ว่างั้นไหม ?

2. เรียกร้องให้เขาไปฟ้องไอ้เหล่  แล้วทำไมไม่เรียกร้องเจ๊สด ( ที่กลับข้างไปเป็นฝ่ายแม้ว ) ให้ไปฟ้องบ้างล่ะ ?
...ดับเบิลสแตนดาร์ดวุ้ย

3. แป๊ะนรกออกมากล่าวร้ายทักษิณตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ เรื่องหมิ่นสถาบัน  แต่สุดท้าย คมช.ก็ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้ <<
...อ้าว  เฮ้ย
แป๊ะนรกมันอยู่ใน คมช.หรอกหรือ ?
แล้ว คมช.มันเคยให้มีการพิสูจน์เรื่องหมิ่นสถาบันกับทักษิณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ??


วร้า...เมาเข้ามาโพสในเว็บบอร์ดแบบนี้  ม่ายหวาย ๆๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2008, 20:59 โดย qazwsx » บันทึกการเข้า

ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #141 เมื่อ: 19-06-2008, 21:00 »

ทนความชั่วร้ายของรัฐบาลนี้ไม่ไหวแล้วโว้ย

ต้องจัดการกับไอ้พวกขายชาติให้ถึงที่สุด
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


boyk
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,477



« ตอบ #142 เมื่อ: 19-06-2008, 21:08 »

ถามง่ายๆ

การจะมีหรือทำพันธสัญญาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนกับต่างชาติ

จะเสียหรือไม่เสียดินแดนก็อีกประเด็นหนึ่ง

ประชาชนโดยผ่านรัฐสภามีสิทธิรับรู้ก่อนหรือไม่

เป็นเรื่องเร่งด่วนหรือไม่ เมื่อเทียบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ การแก้ ไม่แก้รธน.
ดูเหมือนรัฐบาลนี้จะไม่เรียงลำดับความสำคัญของปัญหาว่า
อะไรควรทำก่อน อะไรเร่งด่วน อะไรทำทีหลังก็ได้ ไม่ต้องรีบไปผูกมัด

มันสมควรมั้ยที่จะทำให้ผู้คนเขาสงสัยเรื่องวาระซ่อนเร้น แม้จะมีหรือไม่มีวาระนั้นก็ตาม

ผมพบคำตอบของคำถามบางส่วนแล้วคับ
ขอโควตมาทั้งหมดเลยจะได้ร่วมกันต่อยอด
ถ้าซ้ำก็ทักท้วงได้เลยคับ

อ้างถึง
วันพฤหัสบดี ที่ 19 มิถุนายน 2551
นพดลผิดมั้ยในเรื่อง เขาพระวิหาร
Posted by พิไชยอินทรา , ผู้อ่าน : 306 , 14:10:19 น.   
 พิมพ์หน้านี้

จริงๆแล้วเนี่ยนะครับ ไอ้ผมเนี่ยไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับไอ้เรื่องการเมืองเท่า

ไหร่หรอกแต่ก็จนใจที่ดันทำให้มันมีเรื่องที่จะเอามาเขียนเพื่ออธิบายการคิดเชิงกฎหมาย

ให้พวกคุณๆ ได้อ่าน (แบบน่ารำคาญ) ไม่ได้


เอางี้ครับ เรื่อง"พี่นพดล" ของผมเนี่ย (ที่เรียกกันอย่างงี้ ก็เพราะไอ้ผมนะไปรู้จักแก

ตั้งแต่สมัยไปทำงานที่บริษัททนายความฝรั่งแห่งนึงในเมืองไทย ตั้งแต่ ๒๕ ปีที่แล้วแน่ะ

ซึ่งสมัยนั้น แกก็เพิ่งจะเข้ามาทำได้ไม่นานเท่าไหร่หรอก ก็เลยได้ทำงานร่วมกัน แต่แก

จะทำงานดีหรือไม่ดีละก็ ไม่ขอบอกครับ) หลังจากได้รู้จักเพราะทำงานที่เดียวกันมาสักพัก

พอผมออกมาแล้วก็ไปเรียนต่างประเทศ กลับมาก็เห็นหน้าแกมาลอยแถวๆหน้าทีวีเป็น

สส. พรรคประชาธิปัตย์แล้ว แต่ไปๆมาๆ ไหงไปอยู่พรรคพลังประชาชนได้ยังไงเมื่อไหร่

ผมก็ไม่อาจจะทราบได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าที่เกริ่นมาเนี่ย ก็เผื่อพรรคพวกเพื่อนฝูงที่รู้

จักกัน (หลังจากคุยกับกิ๊กใน MSN แล้ว) เกิดมาอ่านเรื่องของผมจะได้ไม่ด่าเอาว่า มา

เขียนด่า "พี่นพ" แกทำไม ซึ่งก็ต้องขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกันมากมายนัก

และก็เรื่องของประเทศชาติคงจะมาก่อนเรื่องส่วนตัว (แหม๋ เขียนไปได้ไงเนี่ย)

เอาว่า เรามาเข้าเรื่องของเราต่อดีกว่าครับ ผมยังไม่มีความเห็นอะไรกับเขตแดน

ไทยกับเขมร (หรือแบบบางคนบอกว่า ให้รบกับเขมรไปเลยเนี่ย ผมก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วย

นะครับ เพราะมันจะเป็นท่าตีท่าต่อยไป ถึงแม้อีตานายพลที่ชื่อเหมือนตำรวจอวกาศคนนั้น

จะแสดงท่าทีดุดันก็เหอะ) แต่มีความเห็นอันสำคัญของในเรื่องที่เกี่ยวกับ "อำนาจ"

ของทั่นรัฐมนตรี"นพดล"ที่ไปเที่ยวตกลงกับคนนั้นคนนี้ที่"อาจจะ"มีผลผูกพันกับ

ประเทศไทย ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ฝ่ายคดีเมืองในเรื่อง "สนธิสัญญา"

ที่ใช้หลักกฎหมายแพ่งเข้ามาปรับใช้

เป็นตามกฎกติกามารยาท (ที่ผมตั้งเอง) ในการเขียนบทความทางกฎหมายของ

ผมที่จะต้องอ้างหลักกฎหมายเสียก่อนแล้วกันครับ (คนอื่นเค้าจะได้ไม่หาว่าผมโมเมเอา

เหมือนทั่นคณะรัฐบาลปัจจุบัน) ซึ่งหลักกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจในการทำ "ข้อตกลง"

ระหว่างประเทศก็บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ (ที่อยากแก้กันเหลือเกินนี่แหละ)

มาตรา ๑๙๐ (ผมขอยกมาทั้งหมดเลยแล้วกัน)



"มาตรา ๑๙๐ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ

สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ

หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณา

เขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมาย

ระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือ

มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางหรือมีผล

ผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับ

ความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วันนับ

แต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว

ก่อนการดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือองค์การ

ระหว่างประเทศตามวรรคสอง คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟัง

ความคิดเห็นของประชาชน และต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้น ในการนี้

ให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบด้วย

เมื่อลงนามในหนังสือสัญญาตามวรรคสองแล้ว ก่อนที่จะแสดงเจตนาให้มี

ผลผูกพัน คณะรัฐมนตรีต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญานั้น

และในกรณีที่การปฏิบัติตามหนังสือดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือผู้ประกอบ

การขนาดกลางและขนาดย่อม คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผล

กระทบนั้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสม และเป็นธรรม

ให้มีกฏหมายว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาที่มี

ผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผล

ผูกพันด้านการค้า หรือการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับ

ผลกระทบจากการปฏิบัติตามหนังสือสัญญาดังกล่าว โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมระหว่าง

ผู้ที่ได้ประโยชน์กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามหนังสือสัญญานั้นและประชาชน

ทั่วไป

ในกรณีที่มีปัญหาตามวรรคสอง ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะ

วินิฉัยชี้ขาด โดยให้นำบทบัญญัติตามมาตรา ๑๕๔(๑) มาใช้บังคับกับการเสนอเรื่อง

ต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยอนุโลม"




(โอ้ย เฉพาะพิมพ์ตัวบทก็เหนื่อยแย้ว) ผมเคยได้อ่านบทความบางบทใน

เว็บผู้จัดการเกี่ยวกับการอ้างรัฐธรรมนูญข้อนี้เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ซึ่งผม

เห็นว่า หากเรา "เชื่อ" กันว่า ประเทศของเราปกครองด้วย "กฎหมาย" แล้วหละก็ เราก็

ควรจะยกเอากฎหมายมาเป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งซะ (ดีกว่าทั่นรัฐมนตรีบาง

คนที่จบทางกฎหมายแต่ดันอ้างกฎหมายผิดเรื่องผิดมาตราจนมหาวิทยาลัยที่ตัวเองจบมา

เพื่อนเค้าจะทำเรื่องถอนชื่อออกแล้วนะ)




อธิบายตัวบท (กันหน่อย)
บทกฎหมายมาตรานี้มันยาวไปมั้ง พวกที่อยากแก้รัฐธรรมนูญเลยอยากจะแก้ซะ

(เพราะว่าอ่านไม่รู้เรื่อง) เอาเป็นว่า ผมจะพยายามอธิบายออกเป็นข้อๆแล้วกันนะครับ

มันจะได้สมตามความมุ่งหมายของผมที่ให้คุณๆเข้าใจกฎหมายและใช้กฎหมายได้เป็น

บทบัญญัติมาตรา ๑๙๐ นี้แบ่งอธิบายกันได้แบบนี้ครับ




(๑) เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยส่วนพระองค์เองที่สามารถทำ

สัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก รวมทั้งสัญญาอื่นกับนานาชาติได้ นอกจากนั้นยังแปล

ความหมายได้ว่า สัญญาระหว่างประเทศทั้งหลาย นอกจากจะต้องได้รับความเห็นชอบ

จากรัฐสภาแล้ว สิ่งสำคัญก็จะต้องได้รับการเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์อีกด้วย

(๒) มาตรานี้ได้กำหนดว่าการกระทำระหว่างประเทศอะไรก็แล้วแต่ของรัฐบาล

เนี่ยทำไปเหอะ ขอแต่เรื่องระหว่างประเทศที่ไปทำเป็น "หนังสือสัญญา"ตามที่มาตรา

นี้กำหนดเนี่ย ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภานะ ซึ่งมันก็มีอยู่ ๕ ประเภทละครับ


(ก) หนังสือนั้นมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือ

(ข) หนังสือที่มีการเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่นอกอาณาเขตของไทย แต่เป็น

อาณาเขตที่ประเทศไทยมีอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือ

ตามกฎหมายระหว่างประเทศ

(ค) หนังสือที่จะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือ

สัญญา

(ง) หนังสือที่ในข้อตกลงเหล่านั้นมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

ของประเทศไทยหรือสังคมของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง

(จ) หนังสือที่มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศ

อย่างมีนัยสำคัญ

(๓) มาตรานี้ได้กำหนดขั้นตอนและหลักเกณฑ์สำหรับปฏิบัติต่อการทำหนังสือ

สัญญาระหว่างประเทศของรัฐบาลเอาไว้อย่างชัดเจนและกระจ่างแจ้ง โดยแบ่งออกเป็น

๒ ช่วงของการปฏบัติ คือ

ช่วงที่ ๑ เป็นช่วงของการกระทำ "ก่อน" ที่จะไปลงนามในหนังสือนั้น มาตรา

นี้ได้กำหนดเอาไว้ในววรค ๓ ที่เป็หน้าที่ของ "รัฐบาล" ที่จะต้อง "ให้ข้อมูล" และ "จัดให้มี

การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน" พร้อมทั้งต้อง "ชี้แจง" เกี่ยวกับหนังสือสัญญาอันนั้น

ต่อรัฐสภา แถมยังกำหนดเอาไว้ว่า รัฐบาลจะสุ่มสี่สุ่มห้าไปเจรจาในกรอบใดกรอบหนึ่ง

ไม่ได้ ต้องให้ "รัฐสภา" เป็นผู้เห็นชอบในกรอบการเจรจาด้วยนะ

ช่วงที่สอง เป็นช่วงที่ตกลงไปแล้ว แต่ต้องให้คำยืนยัน (หรือที่จะเรียกให้แลดู

เป็นนักกฏหมายที่ฉลาดหน่อยก็จะเรียกว่า "ให้สัตยาบัน") เพื่อให้มีผลผูกพันกับต่าง

ประเทศที่เราได้ไปลงนามมาแล้ว ก็เป็หน้าที่ของ "คณะรัฐมนตรี" อีกนะแหละครับ ที่จะ

ต้องทำให้ละเอียดขึ้นไปกว่าเดิม คือ ไม่ต้องทะลึ่งลงทุนทำ "ประชาพิจารณ์" อะไรหรอก

ให้ต้องใช้งบประมาณเยอะแยะตาแป๊ะแก่ แค่ "เตรียม" รายละเอียดของการตกลงที่ว่านั่น

นะเอาไว้ให้ประชาชนผู้ที่สนใจสามารถที่จะ "เข้าถึงรายละเอียด" ของหนังสือนั้นทีเดียว




สำหรับในส่วนอื่นเนี่ย ถ้าจะเขียนถึงสงสัยจะยาว แล้วอาจจะไม่เข้าประเด็นของ

เรื่องที่เขียนไปซะ เลยขออนุญาตคุณๆ...อุบ...เอาไว้ก่อนแล้วกัน เอาไอ้ส่วนที่เกี่ยวกับ

"อำนาจ" ของพี่นพของผมก่อนดีกว่าว่า แกนะจะสามารถไปตกลงกับชาวบ้านเพื่อนบ้าน

(ที่ไม่ค่อยจะมีมารยาทเท่าไหร่นัก) ของไทยแบบที่แกทำอยู่ได้รึเปล่า




เอากฎหมายมาใช้กับข้อเท็จจริง (ซะที)

ถ้าจะว่ากันตามข่าวละก็นะครับ (ซึ่งความจริงผมก็ไม่รู้มาก่อนว่าจะเป็นยังไง ซึ่ง

อาจจะต้อรอให้ผมไปฟ้องพี่แกซะก่อนแหละ ถึงจะรู้) ผมก็ไม่เคยเห็น "พี่นพ" ของผม

มาลอยหน้าลอยตาบอกในสภา (ซึ่งกำลังเปิดประชุมวิสามัญกันอยู่เนี่ย) ถึงไอ้เรื่องนี้เลยอะ

หรือไม่เคยเห็นข่าวอ้างถึงเรื่องนี้เลย แต่ยังไงๆก็เถอะ สิ่งสำคัญคือ "คณะรัฐมนตรี"

ต่างหากที่มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการที่จะต้อง "ให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความ

คิดเห็นของประชาชน" ซึ่งมาตรานี้ไม่ได้บอกให้นำเอากฎหมายที่เกี่ยวกับการออกเสียง

ประชามติ (ที่อ้างว่ายังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้) มาใช้ในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนที่

"พี่นพ" ของผมในฐานะ "แค่" รัฐมนตรีเท่านั้นที่เป็น "ตัวแทน" ไปเจรจา "ความเมือง"

ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากไปกว่านั้น (ว่างๆผมจะไปขอกินกาแฟกับแกที่กระทรวง ไม่รู้แก

จะว่างเจอผมมั้ย)


เอาเป็นว่า โดยข้อสรุปแล้ว ในเรื่องปัญหาเขาพระวิหารเนี่ย แค่เรื่องอำนาจในการ

เจรจาความเมืองระหว่างประเทศของ "พี่นพ" ยังเป็นปัญหาเลยว่า ที่ไปตกปากรับคำอีตา

นายพลชื่อเหมือนตำรวจอวกาศของเขมรมาเนี่ยว่าจะใช้แผนที่อันไหน ทันจะถือว่าเป็น

ส่วนหนึ่งของหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยอย่างแน่

นอนครับ..พ่อแม่พี่น้อง.......ผมจึงขอ...ฟันธง (แบบหมอลักษณ์) ไปเลยว่า "พี่นพ" ไม่มี

อำนาจอะไรที่จะไปเจรจาความเมืองในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธแผนที่อาณาเขต

ประเทศไทยได้อย่างแน่นอนครับ ซึ่งถ้าไปทำมาแล้ว "พี่นพ" ก็อาจจะต้องไปนอนดูรูป

น้องอะไรของแกนะ (ตามที่แกเคยมาออกอากาศว่า เห็นรูปติดป้ายหาเสียงก็หลงรักแล้ว

แต่ไม่นานทางฝ่ายหญิงเค้าออกมาให้สัมภาษณ์ว่าไม่เกี่ยว ไม่รู้ ไม่เห็น..หน้าแตกไปเลย

ครับ..พี่น้อง) ในคุกกันก่อน

คราวหน้าผมจะมาว่ากันเรื่อง เขาพระวิหารต่อ ขอเวลาไปศึกษาก่อน เพราะวันนี้

ขับรถไปฟังสัมภาษณ์คุณสมาน ศรีงาม เรื่องที่แกไปศึกษาเกี่ยวกับข้อพิพาทเขาพระวิหาร

มาที่เกี่ยวกับอนุสัญญาระหว่างประเทศ ก็เลยคิดว่าจะเอามาเขียนซักหน่อยจะได้เข้าใจกัน

แล้วก็จะสอดคล้องกับคุณสุทธิชัยไงว่า....เรื่องต่างประเทศ..ไม่ได้ไกลตัว...ฮ่าๆๆๆ







---------------------------------จบแค่นี้ก่อนครับ------------------------------------------------------

http://www.oknation.net/blog/sorrawud/2008/06/19/entry-3
 
 
บันทึกการเข้า

ไล่งับคนโกง ตอกฝาโลงไม่ให้เกิด
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #143 เมื่อ: 19-06-2008, 21:22 »

ทำไมไอ้พวก "จบกฎหมาย" ถึงต้องโพสแสดงความคิดเห็นตามเว็บบอร์ด
ด้วยสำนวนเหมือน ๆ กันวะ ?
บันทึกการเข้า

แมวร้องแง้วๆ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 23



« ตอบ #144 เมื่อ: 19-06-2008, 21:45 »

คิดแบบ คนขายชาติ ย่อมคิดแตกต่างกับ คนรักชาติ

"ศาลโลกได้ตัดสินให้ "เฉพาะปราสาทพระวิหาร" เท่านั้นตกเป็นของกัมพูชา มิใช่ผืนดิน หรือ "เขาพระวิหาร" ทั้งอาณาบริเวณ
      
นั่นก็คือ "ปราสาทพระวิหาร" ของกัมพูชาตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินในเขตสันปันน้ำของไทย"

เสมือน คุณมาสร้างบ้านบนที่ดินของฉัน  จำเป็นด้วยหรือ ที่ฉันจะต้องยกที่ดินผืนนั้นให้แก่คุณ  

ถ้าแยกเรื่องการเมืองและผลประโยชน์ของประเทศชาติไม่ออก คิดแต่จะเล่นการเมืองโดยไม่ดูผลประโยชน์ของประเทศชาติ  ก็เสียชาติเกิดจริงๆ  ลิ่วล้อลูกหาบทักษิณ ไร้สมองไร้สติปัญญาจริงๆ  อาศัยแผ่นดินไทยเกิด แต่สัญชาติชั่วนั้นแนบติดตัวไม่ยอมถอน

เวร

เห็นด้วยกับคุณพรรณชมพูที่สุดในโลกเลย 

เขมรอยากได้ปราสาทนักก็เอาไปเลย แต่แผ่นดินที่ปราสาทตั้งอยู่ยังไงก็ยังเป็นของไทย เรื่องอะไรจะยอมให้เค้าเอาทั้งปราสาทและแผ่นดินไปจดเป็นมรดกโลกเพื่ออ้างสิทธิว่าเป็นของเค้าทั้งหมด เราไม่ยอมหรอกค่ะ
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #145 เมื่อ: 19-06-2008, 21:48 »

ถ้านักการเมืองไม่มีสำนึก ก็ต้องไปจบที่ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ

หรือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


ที่สำคัญ ครม. ไม่ได้นำเอามติครม.สมัย จอมพลผ้าขะม้าแดงมาดูซะด้วยนี่สิ...

สงสัยจะกินข้าวแดงกันทั้งคณะ
บันทึกการเข้า

นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #146 เมื่อ: 19-06-2008, 21:55 »

นพดล ยังหลง

หลงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอก

ไม่น่าเลย...
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #147 เมื่อ: 19-06-2008, 22:18 »

...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2008, 22:20 โดย qazwsx » บันทึกการเข้า

moon
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 780


« ตอบ #148 เมื่อ: 19-06-2008, 22:23 »

โอกาสไทยทวงคืน “ประสาทพระวิหาร” ย้อนดูคำประท้วงคำตัดสินของศาลโลก

และ

เพลงต้องห้ามในยุค 2505 แต่งและร้องโดย คำรณ สัมบุญณานนท์ถูกรัฐบาล สั่งห้ามเปิดออกอากาศ ณ ช่วงเวลานั้น

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000072311
บันทึกการเข้า
อิรวันชาห์ IrWanSyah
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 870



« ตอบ #149 เมื่อ: 19-06-2008, 22:35 »

อ้างถึง
ว่าตรง ๆ ก็คือผมไม่น่าเชื่อว่าเป็นบังโม ฯ ตัวจริงจากราชดำเนิน
เพราะลากประเด็นมั่ว  แถมแสดงความเห็นสั่ว ๆ ไม่มีจุดยืน

จะเป็นใครไม่สำคัญ ขอเพียงคำพูดที่บางคนคิดว่าแดกดัน ไปเพิ่มรอยหยักในสมองบางคนเป็นพอ

อ้างถึง
เรื่องหมิ่น ฯ ของแป๊ะลิ้ม  เกี่ยวอะไรด้วย ...ลากมาทำไม ?
...หรือ "รู้อยู่แค่นั้น"

อ้าว....ก็เรื่องเขาพระวิหารนี่ พธม.ของแป๊ะนรกไม่ใช่หรือที่ปลุกปั่นยุยงแต่แรก และที่อ้างๆมาใช้โจมตีในกระทู้นี้ก็จากเว็บแป๊ะนรกทั้งนั้น อย่าทำเป็นไขสือเลยครับ

ก็เลยอยากให้คิดซักหน่อยว่าเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วมันจะเข้าอีหรอบเดียวกับเรื่อง "คดีหมิ่นฯ" หรือเปล่า ที่สุดท้ายแล้วก็โดนพิพากษาจำคุกข้อหาหมิ่น"ทักษิณ" และอ้างสถาบันฯสร้างความแตกแยกในชาติ


อ้างถึง
2. เรียกร้องให้เขาไปฟ้องไอ้เหล่  แล้วทำไมไม่เรียกร้องเจ๊สด ( ที่กลับข้างไปเป็นฝ่ายแม้ว ) ให้ไปฟ้องบ้างล่ะ ?

5555 ขำ ไม่ฟ้องนั่นแหละดีแล้ว รายนั้นสภาพสตรีแต่เป็นสุภาพบุรุษพอ ไม่จำเป็นต้องฟ้องหรอก มีอย่างที่ใหน กล่าวร้ายเขาก่อนโดยไม่มีหลักฐานอะไร พวกข้างเวทีก็เย้วๆ โห่ร้องสะใจ  พอเจ๊เอาของจริงมาเปิด  หลบหน้าหลบตาไม่โผล่มายืนยัน กะจะให้สังคมลืมเรื่องนี้ไปซะงั้น(เหมือนเรื่องอื่นๆที่แล้วๆมา)  ทำเอาแฟนๆ ที่เย้วๆคิดว่าวีระของจริง อ้าปากค้างคาสะพานมัฆวานไปเลย 5555555

อ้างถึง
แป๊ะนรกออกมากล่าวร้ายทักษิณตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ เรื่องหมิ่นสถาบัน  แต่สุดท้าย คมช.ก็ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้ <<
...อ้าว  เฮ้ย
แป๊ะนรกมันอยู่ใน คมช.หรอกหรือ ?
แล้ว คมช.มันเคยให้มีการพิสูจน์เรื่องหมิ่นสถาบันกับทักษิณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ??

เข็กหัวซักหนึ่งทีซิ เผื่อจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง !!!!!!

เรื่องหมิ่นสถาบันของทักษิณ ที่พธม.โจมตีกล่าวร้ายตั้งแต่ต้น ไม่ใช่หนึ่งในสี่ข้อที่ คมช.ยกมาอ้างเพื่อปฏิวัติหรอกหรือ ?????

แล้ว คมช. มันก็ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้ซักที

ตรงกันข้าม เมื่อวันที่ 25 ธค. 2550 ศาลได้พิพากษาว่า


"ทางนำสืบจำเลยที่ 1 และพฤติการณ์การกล่าวปราศรับของจำเลยที่ 1 ตามวัตถุพยานของจำเลยที่ 1 ก็ดี การแต่งกายของจำเลยที่ 1 ไม่ว่าสีของเสื้อที่ใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตัวอักษรที่หน้าอกเสื้อคำว่า“เราจะสู้เพื่อในหลวง” ก็ดี ล้วนพยายามสร้างภาพของโจทก์ และผู้สนับสนุนโจทก์ ให้มีภาพยืนอยู่ตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามสร้างภาพของจำเลยกับพวกให้อิงแอบแนบชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูน เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กับพวก ไม่จงรักภักดี ทำตัวเสมอพระมหากษัตริย์ หรือไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ เป็นการแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีบางส่วน ให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ"

จำเลยที่หนึ่งในที่นี้ ไม่ใช่ทักษิณ หากแต่เป็น แป๊ะนรกต่างหาก 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2008, 22:37 โดย โมเสส » บันทึกการเข้า

หน้า: 1 2 [3] 4
    กระโดดไป: