วันพฤหัสบดี ที่ 19 มิถุนายน 2551
นพดลผิดมั้ยในเรื่อง เขาพระวิหาร
Posted by พิไชยอินทรา , ผู้อ่าน : 306 , 14:10:19 น.
พิมพ์หน้านี้
จริงๆแล้วเนี่ยนะครับ ไอ้ผมเนี่ยไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับไอ้เรื่องการเมืองเท่า
ไหร่หรอกแต่ก็จนใจที่ดันทำให้มันมีเรื่องที่จะเอามาเขียนเพื่ออธิบายการคิดเชิงกฎหมาย
ให้พวกคุณๆ ได้อ่าน (แบบน่ารำคาญ) ไม่ได้
เอางี้ครับ เรื่อง"พี่นพดล" ของผมเนี่ย (ที่เรียกกันอย่างงี้ ก็เพราะไอ้ผมนะไปรู้จักแก
ตั้งแต่สมัยไปทำงานที่บริษัททนายความฝรั่งแห่งนึงในเมืองไทย ตั้งแต่ ๒๕ ปีที่แล้วแน่ะ
ซึ่งสมัยนั้น แกก็เพิ่งจะเข้ามาทำได้ไม่นานเท่าไหร่หรอก ก็เลยได้ทำงานร่วมกัน แต่แก
จะทำงานดีหรือไม่ดีละก็ ไม่ขอบอกครับ) หลังจากได้รู้จักเพราะทำงานที่เดียวกันมาสักพัก
พอผมออกมาแล้วก็ไปเรียนต่างประเทศ กลับมาก็เห็นหน้าแกมาลอยแถวๆหน้าทีวีเป็น
สส. พรรคประชาธิปัตย์แล้ว แต่ไปๆมาๆ ไหงไปอยู่พรรคพลังประชาชนได้ยังไงเมื่อไหร่
ผมก็ไม่อาจจะทราบได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าที่เกริ่นมาเนี่ย ก็เผื่อพรรคพวกเพื่อนฝูงที่รู้
จักกัน (หลังจากคุยกับกิ๊กใน MSN แล้ว) เกิดมาอ่านเรื่องของผมจะได้ไม่ด่าเอาว่า มา
เขียนด่า "พี่นพ" แกทำไม ซึ่งก็ต้องขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกันมากมายนัก
และก็เรื่องของประเทศชาติคงจะมาก่อนเรื่องส่วนตัว (แหม๋ เขียนไปได้ไงเนี่ย)
เอาว่า เรามาเข้าเรื่องของเราต่อดีกว่าครับ ผมยังไม่มีความเห็นอะไรกับเขตแดน
ไทยกับเขมร (หรือแบบบางคนบอกว่า ให้รบกับเขมรไปเลยเนี่ย ผมก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วย
นะครับ เพราะมันจะเป็นท่าตีท่าต่อยไป ถึงแม้อีตานายพลที่ชื่อเหมือนตำรวจอวกาศคนนั้น
จะแสดงท่าทีดุดันก็เหอะ) แต่มีความเห็นอันสำคัญของในเรื่องที่เกี่ยวกับ "อำนาจ"
ของทั่นรัฐมนตรี"นพดล"ที่ไปเที่ยวตกลงกับคนนั้นคนนี้ที่"อาจจะ"มีผลผูกพันกับ
ประเทศไทย ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ฝ่ายคดีเมืองในเรื่อง "สนธิสัญญา"
ที่ใช้หลักกฎหมายแพ่งเข้ามาปรับใช้
เป็นตามกฎกติกามารยาท (ที่ผมตั้งเอง) ในการเขียนบทความทางกฎหมายของ
ผมที่จะต้องอ้างหลักกฎหมายเสียก่อนแล้วกันครับ (คนอื่นเค้าจะได้ไม่หาว่าผมโมเมเอา
เหมือนทั่นคณะรัฐบาลปัจจุบัน) ซึ่งหลักกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจในการทำ "ข้อตกลง"
ระหว่างประเทศก็บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ (ที่อยากแก้กันเหลือเกินนี่แหละ)
มาตรา ๑๙๐ (ผมขอยกมาทั้งหมดเลยแล้วกัน)
"มาตรา ๑๙๐ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ
สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ
หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณา
เขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมาย
ระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือ
มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางหรือมีผล
ผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับ
ความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วันนับ
แต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว
ก่อนการดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือองค์การ
ระหว่างประเทศตามวรรคสอง คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟัง
ความคิดเห็นของประชาชน และต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้น ในการนี้
ให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบด้วย
เมื่อลงนามในหนังสือสัญญาตามวรรคสองแล้ว ก่อนที่จะแสดงเจตนาให้มี
ผลผูกพัน คณะรัฐมนตรีต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญานั้น
และในกรณีที่การปฏิบัติตามหนังสือดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือผู้ประกอบ
การขนาดกลางและขนาดย่อม คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผล
กระทบนั้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสม และเป็นธรรม
ให้มีกฏหมายว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาที่มี
ผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผล
ผูกพันด้านการค้า หรือการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับ
ผลกระทบจากการปฏิบัติตามหนังสือสัญญาดังกล่าว โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมระหว่าง
ผู้ที่ได้ประโยชน์กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามหนังสือสัญญานั้นและประชาชน
ทั่วไป
ในกรณีที่มีปัญหาตามวรรคสอง ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะ
วินิฉัยชี้ขาด โดยให้นำบทบัญญัติตามมาตรา ๑๕๔(๑) มาใช้บังคับกับการเสนอเรื่อง
ต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยอนุโลม"(โอ้ย เฉพาะพิมพ์ตัวบทก็เหนื่อยแย้ว) ผมเคยได้อ่านบทความบางบทใน
เว็บผู้จัดการเกี่ยวกับการอ้างรัฐธรรมนูญข้อนี้เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ซึ่งผม
เห็นว่า หากเรา
"เชื่อ" กันว่า ประเทศของเราปกครองด้วย
"กฎหมาย" แล้วหละก็ เราก็
ควรจะยกเอากฎหมายมาเป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งซะ (ดีกว่าทั่นรัฐมนตรีบาง
คนที่จบทางกฎหมายแต่ดันอ้างกฎหมายผิดเรื่องผิดมาตราจนมหาวิทยาลัยที่ตัวเองจบมา
เพื่อนเค้าจะทำเรื่องถอนชื่อออกแล้วนะ)
อธิบายตัวบท (กันหน่อย)บทกฎหมายมาตรานี้มันยาวไปมั้ง พวกที่อยากแก้รัฐธรรมนูญเลยอยากจะแก้ซะ
(เพราะว่าอ่านไม่รู้เรื่อง) เอาเป็นว่า ผมจะพยายามอธิบายออกเป็นข้อๆแล้วกันนะครับ
มันจะได้สมตามความมุ่งหมายของผมที่ให้คุณๆเข้าใจกฎหมายและใช้กฎหมายได้เป็น
บทบัญญัติมาตรา ๑๙๐ นี้แบ่งอธิบายกันได้แบบนี้ครับ
(๑) เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยส่วนพระองค์เองที่สามารถทำ
สัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก รวมทั้งสัญญาอื่นกับนานาชาติได้ นอกจากนั้นยังแปล
ความหมายได้ว่า สัญญาระหว่างประเทศทั้งหลาย นอกจากจะต้องได้รับความเห็นชอบ
จากรัฐสภาแล้ว สิ่งสำคัญก็จะต้องได้รับการเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์อีกด้วย
(๒) มาตรานี้ได้กำหนดว่าการกระทำระหว่างประเทศอะไรก็แล้วแต่ของรัฐบาล
เนี่ยทำไปเหอะ ขอแต่เรื่องระหว่างประเทศที่ไปทำเป็น "หนังสือสัญญา"ตามที่มาตรา
นี้กำหนดเนี่ย ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภานะ ซึ่งมันก็มีอยู่ ๕ ประเภทละครับ
(ก) หนังสือนั้นมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือ
(ข) หนังสือที่มีการเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่นอกอาณาเขตของไทย แต่เป็น
อาณาเขตที่ประเทศไทยมีอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือ
ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
(ค) หนังสือที่จะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือ
สัญญา
(ง) หนังสือที่ในข้อตกลงเหล่านั้นมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ของประเทศไทยหรือสังคมของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง
(จ) หนังสือที่มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศ
อย่างมีนัยสำคัญ
(๓) มาตรานี้ได้กำหนดขั้นตอนและหลักเกณฑ์สำหรับปฏิบัติต่อการทำหนังสือ
สัญญาระหว่างประเทศของรัฐบาลเอาไว้อย่างชัดเจนและกระจ่างแจ้ง โดยแบ่งออกเป็น
๒ ช่วงของการปฏบัติ คือ
ช่วงที่ ๑ เป็นช่วงของการกระทำ "ก่อน" ที่จะไปลงนามในหนังสือนั้น มาตรา
นี้ได้กำหนดเอาไว้ในววรค ๓ ที่เป็หน้าที่ของ "รัฐบาล" ที่จะต้อง "ให้ข้อมูล" และ "จัดให้มี
การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน" พร้อมทั้งต้อง "ชี้แจง" เกี่ยวกับหนังสือสัญญาอันนั้น
ต่อรัฐสภา แถมยังกำหนดเอาไว้ว่า รัฐบาลจะสุ่มสี่สุ่มห้าไปเจรจาในกรอบใดกรอบหนึ่ง
ไม่ได้ ต้องให้ "รัฐสภา" เป็นผู้เห็นชอบในกรอบการเจรจาด้วยนะ
ช่วงที่สอง เป็นช่วงที่ตกลงไปแล้ว แต่ต้องให้คำยืนยัน (หรือที่จะเรียกให้แลดู
เป็นนักกฏหมายที่ฉลาดหน่อยก็จะเรียกว่า "ให้สัตยาบัน") เพื่อให้มีผลผูกพันกับต่าง
ประเทศที่เราได้ไปลงนามมาแล้ว ก็เป็หน้าที่ของ "คณะรัฐมนตรี" อีกนะแหละครับ ที่จะ
ต้องทำให้ละเอียดขึ้นไปกว่าเดิม คือ ไม่ต้องทะลึ่งลงทุนทำ "ประชาพิจารณ์" อะไรหรอก
ให้ต้องใช้งบประมาณเยอะแยะตาแป๊ะแก่ แค่ "เตรียม" รายละเอียดของการตกลงที่ว่านั่น
นะเอาไว้ให้ประชาชนผู้ที่สนใจสามารถที่จะ "เข้าถึงรายละเอียด" ของหนังสือนั้นทีเดียว
สำหรับในส่วนอื่นเนี่ย ถ้าจะเขียนถึงสงสัยจะยาว แล้วอาจจะไม่เข้าประเด็นของ
เรื่องที่เขียนไปซะ เลยขออนุญาตคุณๆ...อุบ...เอาไว้ก่อนแล้วกัน เอาไอ้ส่วนที่เกี่ยวกับ
"อำนาจ" ของพี่นพของผมก่อนดีกว่าว่า แกนะจะสามารถไปตกลงกับชาวบ้านเพื่อนบ้าน
(ที่ไม่ค่อยจะมีมารยาทเท่าไหร่นัก) ของไทยแบบที่แกทำอยู่ได้รึเปล่า
เอากฎหมายมาใช้กับข้อเท็จจริง (ซะที)ถ้าจะว่ากันตามข่าวละก็นะครับ (ซึ่งความจริงผมก็ไม่รู้มาก่อนว่าจะเป็นยังไง ซึ่ง
อาจจะต้อรอให้ผมไปฟ้องพี่แกซะก่อนแหละ ถึงจะรู้) ผมก็ไม่เคยเห็น "พี่นพ" ของผม
มาลอยหน้าลอยตาบอกในสภา (ซึ่งกำลังเปิดประชุมวิสามัญกันอยู่เนี่ย) ถึงไอ้เรื่องนี้เลยอะ
หรือไม่เคยเห็นข่าวอ้างถึงเรื่องนี้เลย แต่ยังไงๆก็เถอะ สิ่งสำคัญคือ "คณะรัฐมนตรี"
ต่างหากที่มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการที่จะต้อง "ให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความ
คิดเห็นของประชาชน" ซึ่งมาตรานี้ไม่ได้บอกให้นำเอากฎหมายที่เกี่ยวกับการออกเสียง
ประชามติ (ที่อ้างว่ายังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้) มาใช้ในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนที่
"พี่นพ" ของผมในฐานะ "แค่" รัฐมนตรีเท่านั้นที่เป็น "ตัวแทน" ไปเจรจา "ความเมือง"
ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากไปกว่านั้น (ว่างๆผมจะไปขอกินกาแฟกับแกที่กระทรวง ไม่รู้แก
จะว่างเจอผมมั้ย)
เอาเป็นว่า โดยข้อสรุปแล้ว ในเรื่องปัญหาเขาพระวิหารเนี่ย แค่เรื่องอำนาจในการ
เจรจาความเมืองระหว่างประเทศของ "พี่นพ" ยังเป็นปัญหาเลยว่า ที่ไปตกปากรับคำอีตา
นายพลชื่อเหมือนตำรวจอวกาศของเขมรมาเนี่ยว่าจะใช้แผนที่อันไหน ทันจะถือว่าเป็น
ส่วนหนึ่งของหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยอย่างแน่
นอนครับ..พ่อแม่พี่น้อง.......ผมจึงขอ...ฟันธง (แบบหมอลักษณ์) ไปเลยว่า "พี่นพ" ไม่มี
อำนาจอะไรที่จะไปเจรจาความเมืองในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธแผนที่อาณาเขต
ประเทศไทยได้อย่างแน่นอนครับ ซึ่งถ้าไปทำมาแล้ว "พี่นพ" ก็อาจจะต้องไปนอนดูรูป
น้องอะไรของแกนะ (ตามที่แกเคยมาออกอากาศว่า เห็นรูปติดป้ายหาเสียงก็หลงรักแล้ว
แต่ไม่นานทางฝ่ายหญิงเค้าออกมาให้สัมภาษณ์ว่าไม่เกี่ยว ไม่รู้ ไม่เห็น..หน้าแตกไปเลย
ครับ..พี่น้อง) ในคุกกันก่อน
คราวหน้าผมจะมาว่ากันเรื่อง เขาพระวิหารต่อ ขอเวลาไปศึกษาก่อน เพราะวันนี้
ขับรถไปฟังสัมภาษณ์คุณสมาน ศรีงาม เรื่องที่แกไปศึกษาเกี่ยวกับข้อพิพาทเขาพระวิหาร
มาที่เกี่ยวกับอนุสัญญาระหว่างประเทศ ก็เลยคิดว่าจะเอามาเขียนซักหน่อยจะได้เข้าใจกัน
แล้วก็จะสอดคล้องกับคุณสุทธิชัยไงว่า....เรื่องต่างประเทศ..ไม่ได้ไกลตัว...ฮ่าๆๆๆ
---------------------------------จบแค่นี้ก่อนครับ------------------------------------------------------
http://www.oknation.net/blog/sorrawud/2008/06/19/entry-3