แม้ว่าปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองปัจจุบันนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม แต่ในความขัดแย้งใหญ่นี้ก็ยังมีความขัดแย้งคู่เล็กๆ อยู่อีกคู่หนึ่ง
คือความขัดแย้งระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล
ซึ่งท้าดวลกันมาหลายครั้งหลายยกแล้วแต่ก็ไม่เคยได้ประดาบกันตรงๆ แม้แต่ครั้งเดียว
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ประกาศท้าทางโทรทัศน์อย่างชัดเจนหลายครั้งหลายหน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ประกาศท้าและรับคำท้าพร้อมจะเผชิญหน้ากันตัวต่อตัวหลายครั้งหลายหนเหมือนกัน
แต่ไม่ได้ประจันหน้ากันเลย ไม่รู้ว่าใครหน้าตัวเมียกันแน่ หรือใครดีแต่ปากกันแน่
ที่เห็นกันชัดๆ ก็คือ ความขัดแย้งของคนคู่นี้ได้ดำเนินมาหลายเพลาแล้วจริงๆ แต่การต่อสู้ไม่ค่อยสมศักดิ์ศรีเชิงมวย
เพราะฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้สมุนบริวาร ใช้อำนาจตามกฎหมายและอำนาจอื่นๆ เข้าห้ำหั่นนายสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างไม่บันยะบันยัง ถึงขนาดว่าจะเอากันถึงตายก็หลายครั้ง
แต่ฝ่ายนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้แต่มีปากก็พูดไป มีปากกาก็เขียนหนังสือไป ไม่ได้มีอำนาจอะไรที่จะไปต่อกรอย่างสมศักดิ์ศรีได้เลย
ที่การต่อสู้ทอดยาวมาถึงวันนี้ก็ได้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากอำนาจแห่งความเป็นธรรมและความเป็นจริงเท่านั้นที่ทำให้ดุลของการต่อสู้ยังยื้อกันได้ถึงกระทั่งวันนี้
นายสนธิ ลิ้มทองกุล เริ่มต้นจากการนั่งจัดรายการอยู่ในห้องแอร์ที่มีคนนั่งดูเสร็จแล้วก็เข้านอน มากลายเป็นจัดรายการท่ามกลางฝูงคนหลายร้อยคนแล้วยกระดับขยายตัวเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน
และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดกระแส No Vote ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กว่าสิบล้านคน
ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นอยู่ในอำนาจอย่างเปี่ยมล้น ไร้คนทัดเทียมได้ในแผ่นดิน เพียงแค่พยักหน้าหงึกๆ รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ก็หลุดกระเด็นออกจากช่อง 9 อ.ส.ม.ท.
เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการเริ่มต้นเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรและส่งผลให้เกิด No Vote ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549
จากเหตุนั้นทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมี ส.ส.อยู่ในสภาเกือบ 400 คน มี ส.ว.เป็นพรรคพวกร่วมร้อยคน มีฐานะนายกรัฐมนตรีที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีก 3 ปีกว่าจะครบเทอม และมีรัฐมนตรีที่อยู่ในโอวาทอีก 35 คน สูญเสียฐานะทั้งหมดนี้ไป
ส.ส.ก็หมด ส.ว.ก็เกลี้ยง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็พ้นไปกลายเป็นแค่รักษาการ
จากนั้นก็หวังเอาการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 ฟื้นฐานะขึ้นมาใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่า คือจะมี ส.ส. เกือบทั้ง 500 คน
แต่ความคิดของคนก็ไม่อาจสู้ฟ้าลิขิต เหนือความคาดคิดของทุกคน ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
ทำท่าว่า กกต. ซึ่งเป็นสาขาบริวารที่สำคัญก็ใกล้จะติดคุกเต็มที ฐานะที่เป็นรัฐบาลรักษาการก็ทำท่าว่าจะถูกศาลตัดสินว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และพ้นจากหน้าที่รักษาการเสียอีก
และยังทำท่าต่อไปด้วยว่าพรรคไทยรักไทยก็กำลังจะถูกพิจารณาเรื่องยุบพรรคอีกด้วย
นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องหนึ่งก็คือในท่ามกลางการต่อสู้นี้ไม่ได้สมศักดิ์ศรี ถ้าเป็นหมากรุกฝ่ายหนึ่งก็ประดุจขุนทองคำฝังเพชร ที่มีไพร่พลบริวารเข้าร่วมรุมสกรัมอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่อีกฝ่ายหนึ่งมีค่าเป็นแค่ขุนทำจากไม้ทองหลาง นั่งพูดนั่งพร่ามอยู่สองคนดังที่พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี พูดว่าเป็นแค่ภาพคนแก่ผมหงอกลงพุงคนหนึ่งพูดกับหญิงสาวคนหนึ่ง ทำไมจะต้องทำกันถึงขนาดนี้
ฝ่ายหนึ่งใหญ่กลายมาเล็ก อีกฝ่ายหนึ่งเล็กกลายมาใหญ่ ย่อมไม่ใช่อะไรอื่น และต้องขอย้ำว่านี่เป็นเรื่องของความเป็นธรรม ความเป็นจริง ความถูกต้องทั้งนั้น
บรรดากองเชียร์ของทั้งสองฝ่ายจึงใคร่อยากจะได้เห็นการต่อสู้ด้วยธรรมยุทธและตัวต่อตัวระหว่างคนคู่นี้สักครั้งหนึ่ง และขณะนี้ความอยากจะได้เห็นเช่นนั้นกำลังมีท่าว่าจะเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว
เพราะอยู่ดีไม่ว่าดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปหลงเชื่อหรือเห็นดีเห็นงามตามพวกลูกขุนพลอยพยัก แนะนำให้ฟ้องคดีต่อศาลอาญา กล่าวหานายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่าหมิ่นประมาท ใส่ความเป็นเท็จในเรื่องเอาปฏิญญาฟินแลนด์มาเปิดเผย
ก็เป็นอันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอำนาจตุลาการอีกครั้งหนึ่งแล้ว และคราวนี้คงจะได้เห็นการต่อสู้กันโดยธรรมยุทธอย่างแน่นอน
คนที่เป็นกองเชียร์ก็อยากจะเชียร์ให้ต่อสู้กันให้เป็นล่ำเป็นสันสมใจอยากสักครั้งหนึ่ง
คดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ครั้งนี้มีโทษจำคุกราวๆ 3 เดือน ถ้าหากว่าทำความผิดจริง
แต่ถ้านายสนธิ ลิ้มทองกุล เห็นว่าไม่ได้ทำผิด นอกจากจะต่อสู้คดีที่ถูกฟ้องแล้ว นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็มีสิทธิ์ที่จะฟ้องกลับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เอาความอันเป็นเท็จมาฟ้องก็ได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นคดีที่ฟ้องก็มีโทษจำคุกราวๆ 3-5 ปี แต่แค่นี้การเอาความจริงมาตีแผ่กันในศาลก็ยังไม่สมใจอยาก และยังไม่เด็ดขาดกันไปว่าใครจะอยู่ใครจะไป
ถ้าจะให้เด็ดขาดและชี้ขาดกันไปเลยว่าใครจะอยู่ใครจะไปโดยการต่อสู้แบบธรรมยุทธในลักษณะนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ควรจะต้องฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพิ่มขึ้นอีกคดีหนึ่งในข้อหากบฏ
เพราะเมื่อจะต่อสู้ว่ามีการทำการตามปฏิญญาฟินแลนด์แล้วไซร้ ก็เท่ากับต่อสู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งต่างหากที่ทำผิดและยังเป็นความผิดฐานกบฏอีกด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะได้ต่อสู้อย่างเต็มไม้เต็มมือ ไม่ต้องอาศัยลูกไม้ลูกมือออกมาโต้มาเถียงแทนเหมือนที่เป็นมา
แล้วก็จะได้สืบพยานกันอย่างเต็มรูปแบบ อย่างกว้างขวาง ในทุกประเด็นปัญหาที่มีการระบุถึงปฏิญญาฟินแลนด์
จะได้พิสูจน์กันว่ามีใครบ้างเดินทางไปที่ประเทศฟินแลนด์ แล้วไปตกลงวิธีการหรือแผนการในการปกครองประเทศไทยอย่างไร หรือว่าเป็นเรื่องที่แค่กุข่าวเอามันเท่านั้น
และจะได้พิสูจน์กันด้วยว่าข้อกล่าวหาในปฏิญญาฟินแลนด์แต่ละข้อนั้น รัฐบาลพรรคไทยรักไทยโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทำอะไรไปบ้างหรือไม่
เพราะถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำแต่ละข้อตามที่ระบุไว้ในปฏิญญาฟินแลนด์จริง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ไม่มีความผิดและจะชนะคดี เพราะได้เอาข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะมาตีแผ่ตามฐานะหน้าที่ของสื่อมวลชน
ถ้าพิสูจน์ไม่ได้และศาลเชื่อว่าหมิ่นประมาท นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็จะต้องติดคุกไม่เกิน 3 ปี
แต่ถ้าพิสูจน์ได้เช่นนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะแพ้คดีที่ฟ้อง และอาจแพ้คดีที่ถูกฟ้องข้อหากบฏด้วย ก็จะต้องติดคุกระหว่าง 10 ปีถึงตลอดชีวิต
ซึ่งจะเป็นการจบชีวิตทางการเมืองอย่างเด็ดขาดถาวรไปด้วยเลย
ดูลักษณะจากอัตราโทษแล้วก็ไม่ค่อยจะยุติธรรมเท่าไหร่ แต่นั่นเป็นเรื่องของประเภทความผิดที่กฎหมายระบุโทษไว้ จึงไปว่าอย่างไหนยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมไม่ได้
แต่การที่คนคู่นี้จะได้ต่อสู้กันโดยยุติธรรมในศาลสถิตยุติธรรมอย่างสมศักดิ์ศรีตัวต่อตัว และเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ชี้ขาดกันไปเลยว่าใครอยู่ใครไป ก็จะสมใจอยากของกองเชียร์
ในระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ใครก็ใครที่ใจไม่สู้จริง เอาแต่ตะโกนปาวๆ โกหกชาวบ้านว่าพร้อมจะเผชิญหน้า จึงไม่มีโอกาสได้เผชิญหน้ากัน
แต่วันนี้โอกาสเผชิญหน้ากันโดยยุติธรรม ต่อหน้าศาลยุติธรรมมาถึงแล้ว และไม่มีใครขัดขวางไว้ได้อีกแล้ว
ขออย่างเดียวเท่านั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่าเพิ่งไปชิงถอนฟ้องเสียก่อนที่ศาลจะไต่สวนมูลฟ้องก็แล้วกัน
นี่จึงเป็นโอกาสดีอย่างยิ่ง ดังนั้นใครที่เห็นด้วยก็ต้องช่วยกันเชียร์ให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อสู้คดีและฟ้องคดีตามที่กล่าวมานี้
ดีไม่ดีก็ไม่ต้องพึ่งศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความฐานะความชอบด้วยกฎหมายของตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป เพราะไม่ใครก็ใครต้องติดคุกกันไปข้างหนึ่ง และต้องจบชีวิตทางการเมืองตามไปด้วย
พวกลูกหาบและกองเชียร์ของทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ต้องเครียด ดังนั้นใครที่ไม่ใช่หน้าตัวเมียก็ต้องมาเชียร์ให้ต่อสู้กันในลักษณะนี้ ย่อมดีกว่าที่เป็นมาแน่!
ถ้าจะให้ดี ต้องถ่ายทอดสด
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9490000071508