ตามที่มีความพยายามนำกรณี ขายหุ้นโรงไฟฟ้าราชบุรี ไปเปรียบเทียบกับกรณีขายหุ้น ปตท. และ ขายหุ้น กฟผ.
โดยอ้างประเด็นสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ในโรงไฟฟ้าราชบุรีเพียง 45% ว่าไม่ถึงครึ่งไม่เหมาะสมนั้น
เรื่องขายหุ้น กฟผ. ประเด็นที่คัดค้านกันไม่ใช่เรื่องรัฐยังถือหุ้นใหญ่หรือเปล่า แต่อยู่ที่ "จำเป็น" ต้องเข้าตลาดหุ้นหรือเปล่า
และควรแล้วหรือที่เอาผลประโยชน์จากเขื่อนของรัฐ และสายส่งไฟฟ้าที่เวนคืนที่ดินประชาชนนับหมื่นกิโลเมตรไปขายรวมด้วย
ส่วนเรื่อง กฟผ. ถือหุ้น ratch 45% ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอำนาจบริหารเด็ดขาด
---------------------------------------------------------------------------------
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรก บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง
ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 652,500,000 หุ้น (45.00%)
2. กลุ่มบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) 217,400,000 หุ้น (14.99%)
3. สำนักงานประกันสังคม 42,025,600 หุ้น ( 2.90%)
4. ธนาคารออมสิน 38,000,000 หุ้น ( 2.62%)
5. อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวร์รันส์ 20,798,600 หุ้น ( 1.43%)
6. เชส นอมินีส์ ลิมิเต็ด 19,299,690 หุ้น ( 1.33%)
7. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. 18,286,800 หุ้น ( 1.26%)
8. Investor Bank and Trust Company 15,051,799 หุ้น ( 1.04%)
9. เอชเอสบีซี กรุ๊ป 13,189,200 หุ้น ( 0.91%)
10. สเตท สตรีท แบงก์ แอนด์ ทรัสต์ คัมปานี 11,258,000 หุ้น ( 0.78%)
รวมจำนวนหุ้นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรก 1,047,809,689 หุ้น (72.26%)
ข้อมูลจาก : เว็บไซด์ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
http://www.ratch.co.th/th/main_prf.htm?mnl=th/menu_th_pf_frame.htm&ctl=th/prf_shrehdr_th_content.htm---------------------------------------------------------------------------------
จะเห็นว่าด้วยโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ ratch แม้ กฟผ. ถือหุ้น 45% แต่ถือว่ามีอำนาจบริหารจัดการเด็ดขาด
สังเกตว่าต่อให้รวมหุ้นจากผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ถึง 10 เข้าด้วยกันก็จะมีหุ้นเพียง 27.46%
หรือหากผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 คือ บ้านปู ต้องการลงทุนครอบงำกิจการ ratch โดยสามารถซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อย
ทั้งหมด 27.74% ก็ยังมีหุ้นรวมได้เพียง 42.73% และต่อให้รวมหุ้นในมือ AIA เข้ามาอีกก็ยังเป็น 44.16% น้อยกว่า กฟผ.
จึงอาจกล่าวได้ว่า กฟผ. ยังมีอำนาจบริหารแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
การนำโรงไฟฟ้าราชบุรีเข้าตลาดหุ้นครั้งนั้น เกิดขึ้นเนื่องจาก กฟผ. ต้องการนำเงินที่ได้ไปขยายระบบสายส่งไฟฟ้า
ในระหว่างเกิดวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยขณะนั้นไม่สะดวกอย่างยิ่งในการค้ำประกันเงินกู้
โดยที่ระบบสายส่งไฟฟ้าเป็นภาระหน้าที่ของ กฟผ. ต้องลงทุนเอง 100% โดยตรง ในขณะที่ระบบผลิตไฟฟ้าเป็นกิจการ
ที่สามารถให้เอกชนลงทุนได้ 100% อยู่แล้ว กฟผ. จึงไม่จำเป็นต้องรักษาสัดส่วนการถือหุ้นทั้งหมด เพียงรักษาอำนาจ
การบริหารกิจการไว้ก็พอ
และท้ายที่สุดแล้วเงินที่ กฟผ. ได้รับจากการแปรรูป ratch ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาจากการขายหุ้นเพิ่มทุน
ข้อมูลที่เผยแพร่กันบางครั้งบอกแต่เพียงว่า กฟผ. ได้รับเงินจากการเพิ่มทุนรวม 16,000 ล้านบาท
โดยที่บางครั้งไม่ได้บอกว่าในนั้นรวมเงินเพิ่มทุนจาก กฟผ. เองไว้ด้วยกว่า 7,000 ล้านบาท
เงินส่วนใหญ่มาจาก บมจ. ราชบุรีโฮลดิ้ง กู้เงินธนาคารไทย 8 แห่งรวม 44,000 ล้าน และได้จากหุ้นเพิ่มทุนให้เอกชน
จริงๆ เพียงไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท การแปรรูป ratch จึงทำให้ กฟผ. ได้รับเงินไปขยายระบบสายส่งไฟฟ้าที่ต้องลงทุน
100% เป็นเงินมากกว่า 50,000 ล้านบาท และยังคงรักษาอำนาจการบริหารใน ratch ได้ด้วย..