ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
28-04-2024, 13:24
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดวิกฤติอาหารโลกขึ้นมา.... 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดวิกฤติอาหารโลกขึ้นมา....  (อ่าน 1624 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 15-06-2008, 13:03 »

คิดใหม่ทำใหม่สยบวิกฤติอาหารจีน


:ปักกิ่ง - วิกฤติอาหารโลกในช่วงหลายปีต่อจากนี้ มีแนวโน้มที่จะทรุดหนักลงกว่าระดับปัจจุบัน เหตุโดนซ้ำเติมจากความต้องการธัญพืชของแดนมังกรเพิ่มสูงขึ้น

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : แผ่นดินใหญ่มีพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรคิดเป็นสัดส่วนเพียง 7% ของพื้นที่เพาะปลูกทั่วโลก จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะผลิตอาหารได้เพียงพอสำหรับจำนวนประชากรในประเทศ ที่คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของประชากรทั่วโลก

แม้รัฐบาลแดนมังกร จะนำนโยบายลูกคนเดียวเข้ามาใช้ แต่ด้วยจำนวนประชากรที่มากถึง 1,300 ล้านคน ทำให้จีนยังต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของเด็กเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยังส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ส่งผลต่อเนื่องไปถึงความต้องการธัญพืช เพื่อเป็นอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ นโยบายพึ่งพาตัวเอง ก็ขึ้นถึงขีดจำกัดเป็นเวลานานมาแล้ว โดยที่ผ่านมา จีนเคยสามารถสำรองธัญพืชได้เพียงพอสำหรับการบริโภคตลอดทั้งปี แต่ปัจจุบัน แดนมังกรสามารถเก็บสำรองผลผลิตรายปีได้เพียง 30-40% เท่านั้น และแนวโน้มสำหรับการสำรองในอนาคตก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก ด้วยบางพื้นที่ของประเทศ เก็บเกี่ยวพืชผลได้น้อยลงอย่างมาก เพราะปัญหาขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรที่เรื้อรังมาเป็นเวลานาน

สภาวะโลกร้อน ยังเป็นปัจจัยเสริมที่เข้ามาซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่ให้ย่ำแย่ลงไป และจะยิ่งทำให้ผลผลิตการเกษตรท้องถิ่นลดน้อยลงอย่างหนัก

เลสเตอร์ บราวน์ ผู้ก่อตั้งสถาบันนโยบายโลก ในกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐ ชี้ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ จีนอาจต้องรุกเข้าไปในตลาดโลก เพื่อมองหาธัญพืชจำนวนมาก เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วในกรณีของถั่วเหลือง

ช่วงทศวรรษ 90 บราวน์เคยทำให้รัฐบาลกรุงปักกิ่งออกอาการหัวเสียมาแล้ว เกี่ยวกับหนังสือที่เขียนขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า "ใครจะเลี้ยงจีน" แต่วันนี้ แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์แดนมังกร ก็ยังต้องมาปรึกษาเขาเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิกฤติอาหารของประเทศ และสถาบันสังคมวิทยาของจีนก็ยกให้บราวน์เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์

ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ เตือนด้วยว่า ปริมาณธัญพืชสำรองของจีนลดลงจนถึงระดับที่ถ้าลดลงอีก ก็จะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดแคลนขึ้นมา ซึ่งไม่ปีใดก็ปีหนึ่ง จีนจะต้องเข้าไปซื้อธัญพืชจากตลาดโลก

"หากจีนต้องนำเข้าธัญพืชเพียง 10% ของปริมาณธัญพืชที่มีอยู่ ก็จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตลาดโลก" บราวน์ระบุ

อย่างไรก็ดี แดนมังกรถือเป็นสาเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อวิกฤติอาหารที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกในขณะนี้

" จีนเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างน้อยที่สุดก็เพิ่งจะปีที่แล้ว ถือเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการผลิตเอทานอลในสหรัฐ" บราวน์อธิบาย พร้อมอ้างว่า การขยายตัวด้านการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดวิกฤติอาหารโลกขึ้นมา

ปัจจุบัน แผ่นดินใหญ่มีความต้องการธัญพืชสำหรับเป็นอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นปีละราว 2 ล้านตัน ขณะที่สหรัฐ มีความต้องการธัญพืชสำหรับผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้นถึง 20 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่ง ของธัญพืชที่ต้องจัดหาเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับความต้องการของทั่วโลก หลีกเลี่ยงการเกิดวิกฤติอาหารในขณะนี้


บราวน์แนะว่า วิธีการแก้ไขสถานการณ์ระยะสั้น คือ ทั่วโลกพร้อมใจกันลดการผลิตเอทานอล โดยชี้ว่า การดำเนินการเช่นนี้ จะสร้างความแตกต่างขึ้นมาอย่างมาก และสามารถทำได้รวดเร็ว แต่ในระยะยาวนั้น จำเป็นต้องแนวคิดใหม่ๆ เข้ามาใช้ รวมถึงการดำเนินมาตรการที่เข้มงวด เพื่อปกป้องสภาพอากาศโลก

ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ เชื่อว่า วิกฤติอาหารในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวเหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษก่อนๆ แต่มีความแตกต่างออกไปอย่างมาก โดยในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา ประชากรโลกบริโภคธัญพืชมากกว่าจำนวนที่ผลิตได้ และปริมาณธัญพืชสำรองของโลกก็ลดลงอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ที่บราวน์ เตือนว่า เป็นภาวะตึงตัวด้านอาหารของโลก

ช่องว่างด้านการจัดหา และความต้องการ ยังทำให้ราคาอาหารในระยะยาว จะปรับตัวสูงขึ้นไปอีก โดยข้อมูลจากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ราคาอาหารขยับขึ้นเฉลี่ย 83% ขณะที่ราคาข้าวสาลีเพียงอย่างเดียว พุ่งไปถึง 181%

"การเพิ่มกำลังผลิตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากขึ้น ช่วงเวลาแห่งการมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 2 หรือ 3 เท่า จบลงไปแล้ว" บราวน์ระบุ

นอกจากนี้ ระดับน้ำใต้ดินของจีน ประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่สุดของโลก ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งบ่อน้ำบาดาลแห่งต่างๆ ก็กำลังแห้งลง และปัญหาโลกร้อนก็ทำให้แผ่นน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยละลาย และระเหยไปแล้วเร็วกว่าที่คาดไว้

แผ่นน้ำแข็งเหล่านี้ ถือเป็นแหล่งน้ำหลัก ในการเติมเต็มน้ำในแม่น้ำเหลือง และแม่น้ำแยงซี ในช่วงฤดูร้อน

"สิ่งที่เกิดขึ้นกับการไหลของแม่น้ำเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูก โดยราว 80% ของพื้นที่เกษตรในจีน ต้องพึ่งพาระบบชลประทาน" บราวน์อธิบาย

ปัจจุบันโลกยังค่อนข้างประมาทในเรื่องปริมาณน้ำที่มีอยู่ เพราะคิดว่ามีอยู่อย่างเหลือเฟือ โดยวิธีเดียวที่จะแก้ไขได้ คือ การตั้งราคาน้ำให้แพงขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญรายนี้ ชี้ว่า หากมีการขึ้นราคาน้ำ ก็จะสามารถทำให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

บราวน์เตือนว่า แม้จะนำเทคโนโลยีด้านการเกษตรใหม่ๆ เข้ามาใช้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในแผ่นดินใหญ่ได้ เพราะชาวนาฐานะร่ำรวยของแดนมังกรล้วนแต่มีปริมาณผลผลิตในระดับเดียวกับคู่แข่งจากญี่ปุ่นแล้ว 

แต่เรื่องข้างต้นไม่ได้เป็นข่าวร้ายเพียงข่าวเดียวเท่านั้น โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ ระบุว่า ทุกครั้งที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1 องศา ผลผลิตข้าวสาลี ข้าว และข้าวโพด ก็จะลดลง 10% ทั้งผลศึกษาด้านสภาพอากาศเมื่อเร็วๆ นี้ ของรัฐบาลจีน บ่งชี้ว่า จะเกิดภัยแล้งในพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ ส่วนทางตอนใต้ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วม

ผลศึกษาดังกล่าว ระบุด้วยว่า ในช่วงระหว่างปี 2573 และ 2593 ผลผลิตธัญพืชของจีนจะลดลงมากถึง 10%

ที่ผ่านมา บรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชี้ว่า โลกจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซต้นเหตุการเกิดภาวะเรือนกระจกให้ได้มากถึง 80% ภายในปี 2563 หากต้องการยุติภาวะโลกร้อน แต่จนถึงขณะนี้ บรรดานักการเมืองยังคงไม่เต็มใจ ที่จะทำข้อตกลงลดการปล่อยมลพิษดังกล่าว ให้ได้ 50% ภายในปี 2593

"ความท้าทายสำหรับเราในขณะนี้ คือการสร้างเศรษฐกิจพลังงานใหม่อย่างรวดเร็ว" บราวน์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่โลกจำเป็นต้องร่วมมือกันเช่นนี้ ปัญหาขาดแคลนอาหารกลับทำให้ระบบการเมืองย่ำแย่ลง โดยประเทศผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่ อย่างรัสเซีย และอาร์เจนตินา ต่างจำกัดปริมาณการส่งออกของแต่ละประเทศ เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคาในบ้านเกิด

ขณะที่จีนก็กำลังหาทางซื้อ หรือเช่าที่ทำการเกษตรในพม่า คาซัคสถาน รัสเซีย และบราซิล เพื่อเพิ่มผลผลิตธัญพืชของตัวเอง โดยมีอินเดีย เกาหลีใต้ อียิปต์ และลิเบีย เดินตามไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งแต่ละประเทศต่างๆ ต้องการสร้างความมั่นคงให้สถานการณ์อาหารในประเทศ ผ่านการทำสัญญา หรือการจัดหาแบบ 2 ฝ่าย

"ผมเริ่มสงสัยว่า โลกจะสามารถรับมือกับสาเหตุพื้นฐาน ของปัญหาต่างๆ อย่างสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และรวมพลังกันได้หรือไม่" บราวน์ระบุ
ส่งต่อให้ผู้อื่น  พิมพ์ข่าวหน้านี้ บันทึกข่าวลงเครื่อง 


http://www.bangkokbiznews.com/2008/06/15/news_267002.php



รัฐบาล' ลูกกรอก' จะต้องเลิกความคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เพื่อป้องกัน'นายใหญ่'ไม่ให้ถูกลงโทษคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงต่าง ๆ....

หันมาให้ความสนใจการกินอยู่ของคนไทย การผลิต
และราคาเกษตรกรรมไทยอย่างเร่งรีบ

ราคาพืชผลทางเกษตรทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตามความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นและความขาดแคลน
เนื่องจากเปลี่ยนผืนดินเกษตรเพื่อการบริโภค
เป็นพื้นที่การเกษตรสำหรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพนั้น...

แต่ชาวนาขายข้าวไม่ได้ราคาตาม รัฐบาลต้องประกันราคาข้าว
รัฐบาลควรจะติดตามสถานการณ์และตรวจสอบว่า
ชาวนาไทยขายข้าวไม่ได้ราคาเพราะอะไร
ทั้งที่ราคาชาวต่างประเทศซื้อข้าวจากประเทศไทยราคาสูงขึ้น... Exclamation


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
Familie
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 369



« ตอบ #1 เมื่อ: 15-06-2008, 13:18 »

นั่นนะสิครับ ผมยังสงสัยอยู่ว่า
ข้าวในประเทศและตลาดโลกราคาขยับขึ้นจนแพงหูฉี่
แต่ทำไมชาวนาไทยขายไม่ได้ราคาตามตลาด
ถึงกับรัฐบาลต้องลงมาประกันราคาข้าว....งง
บันทึกการเข้า


บรรพบุรุษ ของไทย แต่โบราณ      ปกบ้าน ป้องเมือง คุ้มเหย้า
เสียเลือด เสียเนื้อ มิใช่เบา           หน้าที่เรา รักษา สืบไป
ลูกหลาน เหลนโหลน ภายหน้า      จะได้มี พสุธา อาศัย
อนาคต จะต้องมี ประเทศไทย       มิยอมให้ ผู้ใด มาทำลาย
ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #2 เมื่อ: 15-06-2008, 13:44 »



ไม่อยากจะเชื่อเลยนะค่ะ ว่าโอกาสเรามีแบบนี้ แต่ผู้นำที่เราได้ก็ "มิได้นำพา" ไม่แปลกหรอกว่าเราจะจนต่อไป เพราะความเห็นแก่ตัวของคนที่คนส่วนใหญ่ของประเทศเลือกไปบริหาร เลือกคนแบบไหนก็สะท้อนคุณภาพของคนส่วนใหญ่ประเทศได้ดีนัก ตอนนี้ยังรู้สึกว่าตัวเอง "เลว" ไปด้วยเลยนะ รู้สึกกลมกลืนมากเลยตอนนี้
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #3 เมื่อ: 15-06-2008, 15:21 »

รัฐบาลลูกกรอกจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้อีกกี่น้ำก็ไม่ทราบนะคะ  Yell Mr. Green Yell

ที่เห็นฝีมือจนน่าทึ่งก็เห็นมีแต่ใช้เล่ห์กลอุบายทุกวิถีทางที่จะแก้ปัญหาให้นายใหญ่เท่านั้น เรื่องอื่น ๆ สอบตกเกือบหมด

ความจริงสิ่งที่รัฐบาลนี้ (พรรคพลังประชาชน) ต้องเร่งทำก็คือ การปฏิบัติตามแผนแม่บท “ยุทธศาสตร์ข้าวไทย” ที่ รัฐบาลขิงแก่ ทิ้ง ไว้ให้ ซึ่งว่ากันว่าเป็นยุทธศาสตร์ข้าวที่ดีที่สุด เพื่อพัฒนาการปลูกข้าวที่ยั่งยืน เพิ่มผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น 20% จาก 439 กก.ต่อไร่ เป็น 529 กก.ต่อไร่ ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะดีกว่า

อ้างอิง http://thairath.co.th/news.php?section=society03&content=91072

เมื่ออำนาจทุน จะเทกโอเวอร์ชาวนาไทย [26 พ.ค. 51 - 16:39]
 
ก็เป็นความแปลกใหม่ที่น่าตื่นตะลึง เมื่อจู่ๆก็มีข่าวในหน้าหนังสือ พิมพ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำเพื่อนเศรษฐี กลุ่มใหญ่ที่เป็นแขกอาหรับซาอุดีอาระเบียไปเยี่ยมชมหมู่บ้านอนุรักษ์ ควายไทย ที่อำเภอศรีประจันต์ สุพรรณบุรี โดยมี นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย อดีตรัฐมนตรีเกษตรฯ ให้การต้อนรับ

เนื้อข่าวบอกว่า มหาเศรษฐีน้ำมันซาอุกลุ่มนี้สนใจจะมาลงทุนปลูก ข้าวในเมืองไทย โดยจ้างชาวนาไทยปลูกในราคาไร่ละ 5,000 บาท

ยิ่งได้รับคำยืนยันจากนายประภัตรว่า กลุ่มนักธุรกิจซาอุเห็นว่าข้าวไทยมีชื่อเสียงคนรู้จักทั่วโลก ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า หากมีการจัดการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การผลิตจนถึงการส่งออก มีการมองลู่ทางไว้แล้วจะตั้งบริษัทชื่อ “รวมใจชาวนา” เพื่อลงทุนอย่างเป็นระบบแล้วด้วย ข่าวนี้จึงไม่ใช่ข่าวโคมลอย

แต่นายประภัตรไม่ได้บอกว่า “บริษัทรวมใจชาวนา” มีใครถือหุ้นอยู่ด้วย

หลังจากข่าวนี้ออกไปแล้วก็มีเสียงคัดค้านมากมาย เช่น คุณสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการ มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ บอกว่า อาชีพทำนาปลูกข้าว เป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทย จึงไม่เคยคิดว่าจะมีใครไปดึงต่างชาติมาทำ

แต่วันนี้ก็มีแล้ว

ผมเห็นด้วยกับ คุณสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีเกษตรฯ ที่ออกมาประกาศต่อต้านโครงการนี้จนถึงที่สุด การเกษตรถือเป็นวัฒนธรรมของชาติ

ที่ผมเป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือ “พันธุ์ข้าวไทย” หลายร้อยพันธุ์ที่เป็นลิขสิทธิ์ ของคนไทยทั้งชาติ โดยเฉพาะ “ข้าวหอมมะลิ” ที่เป็นข้าวพันธุ์สุดยอดหนึ่งเดียวในโลก ในที่สุดก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของนายทุนต่างชาติก็ได้

เมื่อปี 2547 องค์การสหประชาชาติ ได้จัดให้มี ปีข้าวสากล ขึ้นเป็นปีแรก ให้คำขวัญข้าวว่า Rice is Life ข้าวคือชีวิต เพราะประชากรโลกกว่าครึ่งที่กินข้าว

“ชาวนาไทย” แม้จะยากจนข้นแค้นมาตลอดชาติ เพราะไม่ได้รับการเหลียวแลพัฒนาจากรัฐบาล แต่ก็ได้รับการยกย่องให้เป็น “กระดูกสันหลังของชาติ” ไม่มีชาวนา คนไทยก็อยู่ไม่ได้ ประเทศไทยก็อยู่ไม่ได้

ทุกชาติที่ปลูกข้าว ต่างก็ยกย่องชาวนาในฐานะที่เป็นอู่ข้าวเลี้ยงคนในประเทศ จะทุ่มทุนอุ้มชาวนาในประเทศเขาทุกวิถีทาง

ไม่เคยมีชาติไหน คิดเอานายทุนต่างชาติไปเทกโอเวอร์ซื้อนาในชาติตัวเอง แล้วจ้างชาวนาในชาติเป็นคนปลูกข้าว เพื่อส่งออกไปป้อนให้ประเทศ “นายทุน” เสมือนหนึ่ง “ทาสปลูกข้าว” อย่างที่มีคนไทยบางคนคิดในวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเศร้าที่คิดไม่ถึง ไม่คิดว่าจะมีคนเทิดทูน “เงิน” เหนือจิตวิญญาณแห่งความเป็นชาติ

วันนี้เกษตรกรไทยที่เป็นชาวนา มีอยู่ประมาณ 3.7 ล้านครัวเรือน 20 กว่าล้านคน เท่ากับ 1 ใน 3 ของคนไทยทั้งประเทศ พื้นที่ทำนา 67 ล้านไร่ ถ้าชาวนาไทย 20 กว่าล้านคน ที่นาอีก 67 ล้านไร่ ต้องตกไปเป็นของต่างชาติ ชาวนาไทยเป็นเพียงลูกจ้างแขกอาหรับนํ้ามันรับจ้างปลูกข้าวให้เขาเอาไปส่งขายทั่วโลก

อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ผมนึกไม่ออกจริงๆ

ความจริงสิ่งที่รัฐบาลนี้ (พรรคพลังประชาชน) ต้องเร่งทำก็คือ การปฏิบัติตามแผนแม่บท “ยุทธศาสตร์ข้าวไทย” ที่ รัฐบาลขิงแก่ ทิ้ง ไว้ให้ ซึ่งว่ากันว่าเป็นยุทธศาสตร์ข้าวที่ดีที่สุด เพื่อพัฒนาการปลูกข้าวที่ยั่งยืน เพิ่มผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น 20% จาก 439 กก.ต่อไร่ เป็น 529 กก.ต่อไร่ ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะดีกว่า

นอกจากชาวนาไทยจะได้ลืมตาอ้าปากโดยไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างแขกซาอุแล้ว

ประเทศไทยก็ยังสามารถที่รักษาพันธุ์ข้าวไทยไว้ให้ลูกหลานต่อไป รักษาฐานะประเทศที่ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลกได้อีกด้วย.

"ลม เปลี่ยนทิศ"
 
 
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #4 เมื่อ: 15-06-2008, 15:25 »

ปัญหาหลักของประเทศจีน นับแต่โบราณกาล คือความอดอยาก

เมื่อคอมมิวนิสต์เถลิงอำนาจในจีนได้ สิ่งแรกที่ต้องทำเร่งด่วนคือ ทำอย่างไรให้คนจีนมีกิน ไม่อดตาย

แต่ในที่สุดจีนก็ทนความเย้ายวนของทุนนยิมสามานย์ไม่ได้  และถึงจีนจะเริ่มพัฒนาส้วมให้สะอาดขึ้น แต่ทั้งประเทศก็ตงลงไปในถังอุจจาระของทุนนิยมสามานย์เรียบร้อยแล้ว

รายได้ของประชากร เริ่มแตกต่างกันระหว่างคนเมืองและชนบท ความเป็นอยู่ของประชากรเริ่มแตกต่างกันมา มุมหนึ่งก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างสุดๆ แต่อีกมุมหนึ่งยังอยู่ในยุคมืด

คนชนบทหลั่งไหลเข้ามาในเมือง ทรัพยากรธรรมชาติถูกล้างผลาญในอัตรารวดเร็ว ความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ จำนวนโสเภณีและอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น และจีนก็เริ่มเน่า

อ้าว ชักไม่ตรงกับหัวข้อกระทู้แระ  

การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ หากมุ่งกระทำเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในระบบทุนนิยม รับรองค่ะว่าฉิuหายแน่นอน พืชผลทางการเกษตร ทำเท่าไหร่ก็สนองตอบความตะกละตะกลามพลังงานของทุนนิยมไม่พอค่ะ เราต้องล้างผลาญฮาหารสักเท่าไหร่ เพื่อให้เครื่องปรับอากาศในห้างสรรพสินค้าสักห้างหนึ่งทำความเย็นได้เพียงพอ  

มนุษย์คงต้องเลือกระหว่าง อดตายท่ามกลางหลังงานที่เหลือเฟือ  กับมีกินไม่อดตายภายใต้การใช้พลังงานอย่างประหยัดและคุ้มค่า

คนเลือกได้ ควายเดินตาม ค่ะ  

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: