คิดใหม่ทำใหม่สยบวิกฤติอาหารจีน
:ปักกิ่ง - วิกฤติอาหารโลกในช่วงหลายปีต่อจากนี้ มีแนวโน้มที่จะทรุดหนักลงกว่าระดับปัจจุบัน เหตุโดนซ้ำเติมจากความต้องการธัญพืชของแดนมังกรเพิ่มสูงขึ้น
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : แผ่นดินใหญ่มีพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรคิดเป็นสัดส่วนเพียง 7% ของพื้นที่เพาะปลูกทั่วโลก จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะผลิตอาหารได้เพียงพอสำหรับจำนวนประชากรในประเทศ ที่คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของประชากรทั่วโลก
แม้รัฐบาลแดนมังกร จะนำนโยบายลูกคนเดียวเข้ามาใช้ แต่ด้วยจำนวนประชากรที่มากถึง 1,300 ล้านคน ทำให้จีนยังต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของเด็กเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยังส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ส่งผลต่อเนื่องไปถึงความต้องการธัญพืช เพื่อเป็นอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ นโยบายพึ่งพาตัวเอง ก็ขึ้นถึงขีดจำกัดเป็นเวลานานมาแล้ว โดยที่ผ่านมา จีนเคยสามารถสำรองธัญพืชได้เพียงพอสำหรับการบริโภคตลอดทั้งปี แต่ปัจจุบัน แดนมังกรสามารถเก็บสำรองผลผลิตรายปีได้เพียง 30-40% เท่านั้น และแนวโน้มสำหรับการสำรองในอนาคตก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก ด้วยบางพื้นที่ของประเทศ เก็บเกี่ยวพืชผลได้น้อยลงอย่างมาก เพราะปัญหาขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรที่เรื้อรังมาเป็นเวลานาน
สภาวะโลกร้อน ยังเป็นปัจจัยเสริมที่เข้ามาซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่ให้ย่ำแย่ลงไป และจะยิ่งทำให้ผลผลิตการเกษตรท้องถิ่นลดน้อยลงอย่างหนัก
เลสเตอร์ บราวน์ ผู้ก่อตั้งสถาบันนโยบายโลก ในกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐ ชี้ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ จีนอาจต้องรุกเข้าไปในตลาดโลก เพื่อมองหาธัญพืชจำนวนมาก เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วในกรณีของถั่วเหลือง
ช่วงทศวรรษ 90 บราวน์เคยทำให้รัฐบาลกรุงปักกิ่งออกอาการหัวเสียมาแล้ว เกี่ยวกับหนังสือที่เขียนขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า "ใครจะเลี้ยงจีน" แต่วันนี้ แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์แดนมังกร ก็ยังต้องมาปรึกษาเขาเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิกฤติอาหารของประเทศ และสถาบันสังคมวิทยาของจีนก็ยกให้บราวน์เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์
ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ เตือนด้วยว่า ปริมาณธัญพืชสำรองของจีนลดลงจนถึงระดับที่ถ้าลดลงอีก ก็จะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดแคลนขึ้นมา ซึ่งไม่ปีใดก็ปีหนึ่ง จีนจะต้องเข้าไปซื้อธัญพืชจากตลาดโลก
"หากจีนต้องนำเข้าธัญพืชเพียง 10% ของปริมาณธัญพืชที่มีอยู่ ก็จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตลาดโลก" บราวน์ระบุ
อย่างไรก็ดี แดนมังกรถือเป็นสาเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อวิกฤติอาหารที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกในขณะนี้
"
จีนเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างน้อยที่สุดก็เพิ่งจะปีที่แล้ว ถือเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการผลิตเอทานอลในสหรัฐ" บราวน์อธิบาย พร้อมอ้างว่า การขยายตัวด้านการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดวิกฤติอาหารโลกขึ้นมา
ปัจจุบัน แผ่นดินใหญ่มีความต้องการธัญพืชสำหรับเป็นอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นปีละราว 2 ล้านตัน ขณะที่สหรัฐ มีความต้องการธัญพืชสำหรับผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้นถึง 20 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่ง ของธัญพืชที่ต้องจัดหาเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับความต้องการของทั่วโลก หลีกเลี่ยงการเกิดวิกฤติอาหารในขณะนี้ บราวน์แนะว่า วิธีการแก้ไขสถานการณ์ระยะสั้น คือ ทั่วโลกพร้อมใจกันลดการผลิตเอทานอล โดยชี้ว่า การดำเนินการเช่นนี้ จะสร้างความแตกต่างขึ้นมาอย่างมาก และสามารถทำได้รวดเร็ว แต่ในระยะยาวนั้น จำเป็นต้องแนวคิดใหม่ๆ เข้ามาใช้ รวมถึงการดำเนินมาตรการที่เข้มงวด เพื่อปกป้องสภาพอากาศโลก
ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ เชื่อว่า วิกฤติอาหารในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวเหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษก่อนๆ แต่มีความแตกต่างออกไปอย่างมาก โดยในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา ประชากรโลกบริโภคธัญพืชมากกว่าจำนวนที่ผลิตได้ และปริมาณธัญพืชสำรองของโลกก็ลดลงอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ที่บราวน์ เตือนว่า เป็นภาวะตึงตัวด้านอาหารของโลก ช่องว่างด้านการจัดหา และความต้องการ ยังทำให้ราคาอาหารในระยะยาว จะปรับตัวสูงขึ้นไปอีก โดยข้อมูลจากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ราคาอาหารขยับขึ้นเฉลี่ย 83% ขณะที่ราคาข้าวสาลีเพียงอย่างเดียว พุ่งไปถึง 181%
"การเพิ่มกำลังผลิตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากขึ้น ช่วงเวลาแห่งการมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 2 หรือ 3 เท่า จบลงไปแล้ว" บราวน์ระบุ
นอกจากนี้ ระดับน้ำใต้ดินของจีน ประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่สุดของโลก ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งบ่อน้ำบาดาลแห่งต่างๆ ก็กำลังแห้งลง และปัญหาโลกร้อนก็ทำให้แผ่นน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยละลาย และระเหยไปแล้วเร็วกว่าที่คาดไว้
แผ่นน้ำแข็งเหล่านี้ ถือเป็นแหล่งน้ำหลัก ในการเติมเต็มน้ำในแม่น้ำเหลือง และแม่น้ำแยงซี ในช่วงฤดูร้อน
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับการไหลของแม่น้ำเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูก โดยราว 80% ของพื้นที่เกษตรในจีน ต้องพึ่งพาระบบชลประทาน" บราวน์อธิบาย
ปัจจุบันโลกยังค่อนข้างประมาทในเรื่องปริมาณน้ำที่มีอยู่ เพราะคิดว่ามีอยู่อย่างเหลือเฟือ โดยวิธีเดียวที่จะแก้ไขได้ คือ การตั้งราคาน้ำให้แพงขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญรายนี้ ชี้ว่า หากมีการขึ้นราคาน้ำ ก็จะสามารถทำให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บราวน์เตือนว่า แม้จะนำเทคโนโลยีด้านการเกษตรใหม่ๆ เข้ามาใช้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในแผ่นดินใหญ่ได้ เพราะชาวนาฐานะร่ำรวยของแดนมังกรล้วนแต่มีปริมาณผลผลิตในระดับเดียวกับคู่แข่งจากญี่ปุ่นแล้ว แต่เรื่องข้างต้นไม่ได้เป็นข่าวร้ายเพียงข่าวเดียวเท่านั้น โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ ระบุว่า ทุกครั้งที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1 องศา ผลผลิตข้าวสาลี ข้าว และข้าวโพด ก็จะลดลง 10% ทั้งผลศึกษาด้านสภาพอากาศเมื่อเร็วๆ นี้ ของรัฐบาลจีน บ่งชี้ว่า จะเกิดภัยแล้งในพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ ส่วนทางตอนใต้ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วม
ผลศึกษาดังกล่าว ระบุด้วยว่า ในช่วงระหว่างปี 2573 และ 2593 ผลผลิตธัญพืชของจีนจะลดลงมากถึง 10%
ที่ผ่านมา บรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชี้ว่า โลกจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซต้นเหตุการเกิดภาวะเรือนกระจกให้ได้มากถึง 80% ภายในปี 2563 หากต้องการยุติภาวะโลกร้อน แต่จนถึงขณะนี้ บรรดานักการเมืองยังคงไม่เต็มใจ ที่จะทำข้อตกลงลดการปล่อยมลพิษดังกล่าว ให้ได้ 50% ภายในปี 2593
"ความท้าทายสำหรับเราในขณะนี้ คือการสร้างเศรษฐกิจพลังงานใหม่อย่างรวดเร็ว" บราวน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่โลกจำเป็นต้องร่วมมือกันเช่นนี้ ปัญหาขาดแคลนอาหารกลับทำให้ระบบการเมืองย่ำแย่ลง โดยประเทศผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่ อย่างรัสเซีย และอาร์เจนตินา ต่างจำกัดปริมาณการส่งออกของแต่ละประเทศ เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคาในบ้านเกิด
ขณะที่จีนก็กำลังหาทางซื้อ หรือเช่าที่ทำการเกษตรในพม่า คาซัคสถาน รัสเซีย และบราซิล เพื่อเพิ่มผลผลิตธัญพืชของตัวเอง โดยมีอินเดีย เกาหลีใต้ อียิปต์ และลิเบีย เดินตามไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งแต่ละประเทศต่างๆ ต้องการสร้างความมั่นคงให้สถานการณ์อาหารในประเทศ ผ่านการทำสัญญา หรือการจัดหาแบบ 2 ฝ่าย "ผมเริ่มสงสัยว่า โลกจะสามารถรับมือกับสาเหตุพื้นฐาน ของปัญหาต่างๆ อย่างสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และรวมพลังกันได้หรือไม่" บราวน์ระบุ
ส่งต่อให้ผู้อื่น พิมพ์ข่าวหน้านี้ บันทึกข่าวลงเครื่อง
http://www.bangkokbiznews.com/2008/06/15/news_267002.phpรัฐบาล' ลูกกรอก' จะต้องเลิกความคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เพื่อป้องกัน'นายใหญ่'ไม่ให้ถูกลงโทษคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงต่าง ๆ....
หันมาให้ความสนใจการกินอยู่ของคนไทย การผลิต
และราคาเกษตรกรรมไทยอย่างเร่งรีบ
ราคาพืชผลทางเกษตรทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตามความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นและความขาดแคลน
เนื่องจากเปลี่ยนผืนดินเกษตรเพื่อการบริโภค
เป็นพื้นที่การเกษตรสำหรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพนั้น...
แต่ชาวนาขายข้าวไม่ได้ราคาตาม รัฐบาลต้องประกันราคาข้าว
รัฐบาลควรจะติดตามสถานการณ์และตรวจสอบว่า
ชาวนาไทยขายข้าวไม่ได้ราคาเพราะอะไร
ทั้งที่ราคาชาวต่างประเทศซื้อข้าวจากประเทศไทยราคาสูงขึ้น...