มันก็แค่สื่อเชลียร์ รัฐบาล ดีๆนั่นละ
หมาที่ไหนก็ทำได้ ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย ...
ทำแล้ว มีแต่คนในรัฐบาลสนับสนุน ...
"
คำพิพากษาของศาล เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ที่ตัดสินลงโทษจำคุก สนธิ ลิ้มทองกุล 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา 
และลงโทษจำคุก ขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิกาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 1 ปี ได้ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล ว่าเป็นพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงของชาติ และความสามัคคีของคนในชาติ ไว้ดังนี้
..พฤติการณ์แห่งคดีเห็นว่าจำเลยที่ 1 (สนธิ ลิ้มทองกุล) กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ (ทักษิณ ชินวัตร) เป็นลำดับ มีการเปิดประเด็นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้มุ่งพิสูจน์ความจริงตามหลักนิติธรรม บางครั้งปล่อยให้เป็นที่สงสัยกำกวม เร่งเร้าให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคม ก่อให้เกิดความครอบงำบิดเบือนเนื้อหาข้อมูล ทำให้ขาดดุลความจริง หวังมุ่งสร้างกระแสเพื่อโค่นล้มโจทก์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไม่ใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญขณะนั้นกำหนด การกระทำดังกล่าวกระทบโครงสร้างทางสังคมครั้งใหญ่ เกิดความขัดแย้งอย่างมาก ระหว่างผู้ที่สนับสนุนโจทก์กับฝ่ายตรงข้ามโจทก์ ต่างมุ่งห้ำหั่นล้างผลาญกันทุกวิถีทางสถานภาพของสังคมไทยเกิดความสูญเสีย ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
ทางนำสืบจำเลยที่ 1 และพฤติการณ์การกล่าวปราศรัยของจำเลยที่ 1 ตามวัตถุพยานของจำเลยที่ 1 ก็ดี การแต่งการของจำเลยที่ 1 ไม่ว่าสีของเสื้อที่ใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตัวอักษรที่หน้าอกเสื้อคำว่าเราจะสู้เพื่อในหลวง ก็ดี ล้วนพยายามสร้างภาพของโจทก์ และผู้สนับสนุนโจทก์ ให้มีภาพยืนอยู่ตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามสร้างภาพของจำเลยกับพวกให้อิงแอบแนบชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูล เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กับพวก ไม่จงรักภักดี ทำตัวเสมอพระมหากษัตริย์ หรือไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ เป็นการแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีบางส่วน ให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ
การที่จำเลยที่ 1 พยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพ เทิดทูนสูงสุดของประชาชนทุกหมู่เหล่า มาเป็นเครื่องมือในการกำจัดโจทก์กับพวก ในทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล หรือคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป จึงไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1..
การที่ศาลชี้ให้เห็นว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ พฤติ การณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง จึงต้องลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล และคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป ย่อมจะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลที่พึงปรารถนาของสังคมไทยหรือไม่ และ สื่อในเครือผู้จัดการ ทั้ง 4 ชนิดดังที่ จักรภพ เพ็ญแข นำมากล่าวอ้าง ว่าเป็นสื่อที่ทำให้สังคมขาดดุลความจริง เป็นสื่อที่ประชาชนควรจะนับเป็นสื่อที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอีกหรือไม่
ความเที่ยงตรง ความเป็นกลาง ความเป็นธรรม ของสนธิ ลิ้มทองกุล และสื่อเครือผู้จัดการ มีหรือไม่ ย่อมจะพิสูจน์ได้จากคำพิพากษาของศาล อยู่แล้ว
แน่นอนว่า การอภิปรายของจักรภพ เพ็ญแข ย่อมจะสร้างความไม่พอใจให้แก่สนธิ ลิ้มทองกุล และลิ่วล้อบริวาร ที่ยังคงทำหน้าที่ผลิตข้อมูลข่าวเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อกันอย่างขันแข็ง และเผยแพร่ผ่านสื่อ 4 ชนิดที่มีอยู่ในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย จึงทำให้รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ที่ออกอากาศทางเอเอาทีวี เมื่อคืนวานนี้ ต้องเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาอย่างฉับพลันทันด่วน เพื่อตอบโต้การอภิปรายของจักรภพ เพ็ญแข แบบลุกลี้ลุกลน และประกาศขึ้นบัญชีดำ จักรภพ เพ็ญแข เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของ สื่อเครือผู้จัดการ ผ่านปากของปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ และ สโรชา พรอุดมศักดิ์ สองศิษย์เอกของสนธิ ลิ้มทองกุล
ไม่น่าแปลกใจที่ ลิ่วล้อบริวารของ สนธิ ลิ้มทองกุล จะต้องออกมาโต้แทน เถียงแทน ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่งที่ถูกกรีดซ้ำย้ำลงบนแผลเดิม ที่ประมุขแห่งเครือผู้จัดการ เพิ่งถูกศาลพิพากษาจำคุกมาหมาดๆ แถมยังถูกตอกย้ำว่าเป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมเป็นอัน ตรายร้ายแรงแก่ประเทศชาติ และไม่ควรเอามาเป็นเยี่ยงอย่าง"