ไพร่อุปถัมภ์? 06 มิ.ย. 2008 - 18:28:35 น. : ผู้อ่าน 89 คน - ตอบ 1 คน วิวาทะระหว่าง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ คุณจักรภพ
เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องการบรรยายที่สมาคมผู้
สื่อข่าวต่างประเทศของคุณจักรภพ เรื่องการเมืองการปกครองของไทย ซึ่งเรื่องนี้
เกิดมาเป็นเวลาเกือบปีแล้ว ซึ่งเป็นการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ หัวหน้าพรรค
ประชาธิปัตย์ ได้กล่าวหาว่า หมิ่นเบื้องสูง และได้เสนอให้นายกรัฐมนตรีปลดออก
จากตำแหน่ง ซึ่งคุณจักรภพได้ตอบโต้ว่าเป็นคำแปลอย่างมีอคติ และท้าให้ออก
โทรทัศน์ชี้แจงต่อประชาชนพร้อมกัน ซึ่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับคำท้า
พร้อมกับกล่าวตอบโต้ที่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 ว่า
นายจักรภพได้บรรยายถึงสาระหลัก คือ ประชาธิปไตย ไม่ก้าวหน้าเพราะระบบ
อุปถัมภ์ ความหมายคือ นายจักรภพต้องการสื่อว่าอย่างไร เห็นครั้งแรกแล้วไม่น่า
เชื่อว่านายจักรภพจะเป็นคนมุ่งมั่นต่อต้านระบบอุปถัมภ์ เพราะนายจักรภพไม่เคย
พูดหรือมีพฤติกรรมต่อต้านระบบอุปถัมภ์ แต่ที่ทำให้นายจักรภพนั่งในที่มีความสุข
เพราะได้ระบบอุปถัมภ์ แต่บังเอิญเป็น ระบบไพร่อุปถัมภ์ หรือ ระบบอุปถัมภ์สามานย์
ที่สุด ที่บางคนกล่าวว่า ถ้าไม่เลือกผมไม่ต้องเอางบประมาณ เหล่านี้นายจักรภพ
ไม่เคยต่อต้าน แต่นายจักรภพกลับอ้างว่าต่อต้านขุนนาง เป็นการยืนยันอะไรบาง
อย่างหรือไม่ ตรงนี้ไม่ทราบ (เดลินิวส์ หน้า 2: 29 พฤษภาคม 2551)
นับว่าเป็นวาทกรรมที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยได้ยินจากนักการเมืองผู้นี้ เพราะ
โดยปกติจะเป็นคนพูดเฉียบคมและสุภาพ สมกับที่เป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัย
Oxford และมาจากชาติตระกูลที่ดี แต่จากถ้อยแถลงดังกล่าว ทำให้มองเห็นทัศน-
คติแท้ของนักการเมืองผู้นี้ และเป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายยิ่งต่อระบอบประชาธิปไตย
คำถามก็คือว่า ทำไม คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงได้กล่าวคำรุนแรงขนาดนี้ เพราะคำ
ว่า ไพร่ ในที่นี้ คงหมายความถึงใครอื่นไม่ได้ นอกจาก ประชาชน เพราะในระบอบ
ประชาธิปไตย เสียงจากประชาชนเท่านั้นที่จะทำให้ใครได้หรือไม่ได้อำนาจรัฐ ปัจเจก-
บุคคลอื่นใดไม่สามารถทำได้ หรือในสายตาหัวหน้าพรรคการเมืองท่านนี้ ประชาชนที่
สนับสนุนพรรคพลังประชาชนคือ ไพร่
ไพร่ คือบุคคลที่ต้องใช้แรงงานรับใช้มูลนาย (เจ้านาย) แต่ไม่เป็นสมบัติของมูลนาย
เหมือนทาส (ทาสเป็นสมบัติของเจ้านายเหมือนวัว ม้า) ใน พระอัยการบานแผนก
(กฎหมายเกี่ยวกับไพร่ ในกฎหมายตราสามดวง) ระบุว่า ผู้หญิงอยู่ในฐานะไพร่มาแต่
กำเนิด โดยจะถูกแบ่งเป็นลูกหมู่เมื่ออายุ 9 ปี (อัญชุลี สุสายัณห์: 69) ส่วนไพร่ผู้ชาย
มีสภาพไม่ต่างกัน แต่จะ ขึ้นแรงงานเมื่ออายุ 1618 ปีโดยประมาณ ทั้งหมดทำงาน
รับใช้มูลนายตลอดไปจนชราและเกษียณอายุ
ระบบไพร่สมัยรัตนโกสินทร์ มี 3 จำพวก คือ 1. ไพร่หลวง 2. ไพร่สม 3. ไพร่ส่วย
ไพร่หลวง จะสังกัดตามกรมกองต่างๆ รับใช้เจ้ากรม เจ้ากอง ซึ่งเป็นมูลนาย หาก
มูลนายคนเก่าเสียชีวิต ก็จะขึ้นกับมูลนายคนใหม่ต่อไป ไพร่หลวงจะเข้าเดือนราชการ
เป็น 3 ผลัด คือ เข้าเดือนราชการ 1 เดือน ออก 2 เดือนทำงานให้ตัวเอง เวียนกันไป
ตลอดปี ไพร่หลวงบางคนที่ต้องขายตัวเองเป็นทาสนายเงิน จะต้องทำงานหนักอีก
หลายเท่า คือ เข้าเดือนราชการ 1 เดือน และทำงานให้นายทาส 1 เดือน พร้อมกับ
ทำงานให้ตัวเองอีก 1 เดือนสลับกันไป
ไพร่สม หมายถึงไพร่ส่วนตัวของมูลนาย ขึ้นทะเบียนด้วยการสักเลกเป็นหมวดหมู่
และรับใช้เจ้านายในสังกัด เช่น สร้างบ้าน ทำนาให้ เป็นต้น
ไพร่ส่วย คือ ไพร่หลวงและไพร่สม หากแต่บ้านอยู่ไกลไม่สามารถมาทำงานให้มูลนาย
ได้จึงต้องส่งส่วย เช่น ส่งข้าว วัว ควาย ของมีค่า มาให้ตามแต่มูลนายจะต้องการ
การขึ้นทะเบียนไพร่ ทำด้วยการสักเลก คือ เอาเหล็กแหลมแทงตามรอยหมึกที่เขียน
ไว้เป็นอักษร ที่บอกชื่อเมือง ชื่อมูลนายต้นสังกัด
ความลำบากยากเข็ญของไพร่ ได้บรรยายไว้ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนหนึ่ง
กล่าวว่า
ฝ่ายท้าวพระยาเป็นใหญ่ ก็กะเกณฑ์พลไพร่ให้เรียกหา
ไม่ได้ผัวเกาะตัวลูกเมียมา บ้างตีด่าจ้างไสให้ไปทัพ
บ้างจัดหาข้าวของมากองไว้ หอกดาบปืนไฟไห้เสร็จสรรพ
ช้างม้าวัวควายอเนกนับ กองต่างวางลำดับกระบวนไป
การเลิกไพร่ เริ่มในปี พ.ศ.2440 โดยมีการแก้ไขระเบียบในกรมพระสุรัสวดี ซึ่งมีมา
ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เกี่ยวกับหน้าที่ควบคุมกำลังคน การฟื้นฟูทหาร
หน้า โดยให้เข้าควบคุมกำลังคน แทนที่จะให้มูลนายควบคุม และพระราชบัญญัติ
เกณฑ์แรงงาน พ.ศ.2443 โดยให้ค่าจ้างแรงงานแก่ผู้ถูกเกณฑ์แรงงาน และออก
พระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร โดยให้ชายไทยอายุตั้งแต่ 18-60 ปี ไปเป็นทหาร
ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ทำให้ระบบมูลนายไพร่หมดไปจากสังคมไทย
เป็นเวลาเกือบ 105 ปีแล้ว ที่คนไทยได้พ้นจากสังคม ศักดินาทาส และได้พัฒนาตัว
เองมาอยู่ในสังคมประชาธิปไตยที่ทุกคนมีศักดิ์ศรี มีอิสรภาพและเสรีภาพเท่าเทียมกัน
ตามกฎหมาย มีสิทธิ หน้าที่ และมีอำนาจในการเลือกสรรใครก็ได้ที่เห็นว่าจะสามารถ
มาทำหน้าแทนตัวเองได้ และใครก็ได้ที่เห็นว่ามีความสามารถมาเป็นผู้นำชาติ ซึ่งนี่ก็
คือ อำนาจของประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งก็เป็นนักการเมืองอาชีพ และเป็นคนที่มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำ
ประเทศ ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ก็ต้องไปกราบไหว้ขอคะแนนจากประชาชน และ
ประชาชนก็ให้การสนับสนุนมาตลอด ถึงแม้ไม่มีคะแนนเสียงพอที่จะเป็นรัฐบาล แต่
นั่นคือเสียงที่มีค่าและจากใจของประชาชน ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับเสียงสนับสนุนพรรค
พลังประชาชน จนทำให้ คุณจักรภพ เพ็ญแข นั่งในที่ที่มีความสมสุขในพรรคพลัง-
ประชาชน เพราะฉะนั้น การประณามเสียงประชาชนว่าเป็น ไพร่อุปถัมภ์ ไพร่อุปถัมภ์
สามานย์ที่สุด ของ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงเป็นทัศนคติอันตรายยิ่งในระบอบ
ประชาธิปไตย เพราะเท่ากับว่า เขา
1. ไม่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย
2. ไม่เคารพอำนาจอธิปไตยของปวงชน
3. ดูหมิ่นประชาชนผู้เลือกนักการเมืองว่าเป็นพวก ไพร่
นักการเมืองไทยมีสิ่งซึ่งต้องยึดมั่นและหวงแหนมากที่สุด นอกเหนือจากสถาบัน คือ
ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ก็คือ ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งก็คือระบอบที่เคารพ
สิทธิเสรีภาพ และอำนาจอธิปไตยของปวงชน
หากนักนักการเมืองคนใดมีทัศนคติต่อประชาชนว่าเป็นคนด้อยค่า ไร้ความรู้ เป็นแค่
ไพร่สนองตัณหาของมูลนาย ซึ่งก็คือ นักการเมืองเท่านั้น นับว่าเป็นทัศนคติที่ทำลาย
ปรัชญาประชาธิปไตยที่อันตรายยิ่งหรือ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ดีมีสุขทุกวันนี้ ไม่มาจากประชาชน หากแต่มาจาก
ระบอบ อำมาตยาธิปไตยอุปถัมภ์ เท่านั้น
ผู้เขียนได้แต่ภาวนาว่า สิ่งที่ผู้เขียนเข้าใจคำว่า ไพร่อุปถัมภ์ ที่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชา-
ชีวะ พูดออกมานี้ จะเป็นการเข้าใจผิดของผู้เขียนเองต่อทัศนคติของนักการเมืองท่าน
นี้เท่านั้นผศ.ดร.ศิลป์ ราศี มหาวิทยาลัยศรีปทุมhttp://www.prachatouch.com/content.php?id=5619