กลุ่มนักวิชาการ 137 คนลงชื่อประกาศเจตนารมณ์ ไปให้พ้นการเมืองแบบสองขั้ว พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แบบยกเครื่องทั้งฉบับ โดยให้มีการตั้ง สสร. จากทุกภาคส่วน เข้ามาดำเนินการ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ก็ไม่อยากจะทับถมอะไร เพราะดูจากรายชื่อแต่ละรายแล้ว ส่วนใหญ่ก็หลงกล เผด็จการศักดินา ไปผสมโรงในเกมส์ทำลายล้างกันทางการเมืองด้วย เป็นการพิสูจน์ได้ประการหนึ่งว่า การศึกษาไม่ได้ช่วยยกระดับ สติและปัญญา ให้เกิดในหมู่ชนชั้นปัญญาชนไทยได้เลย กว่าจะกลับตัว พลิกสถานการณ์ได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตก เสียรังวัดกันไปหลายชั่วโคตร แต่ก็ยังคงมีนักวิชาการ บางตัว ที่ยังสมองหมา ปัญญาหยาบ กลัวเสียฟอร์ม ยังคงแถเถือกไปอย่างหน้าด้านๆ สนับสนุนเผด็จการศักดินา อย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งๆที่คนไทยเกือบต้องฆ่ากันนองเลือด เพราะแผนการณ์อันชั่วร้ายของพวกมัน
นักวิชาการ 137 คน ขอเสนอหลักการสำคัญ 4 ประการของการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ดังต่อไปนี้
ประการแรก การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเป็นการนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ มิใช่เป็นเพียงการแก้ไขในมาตราหนึ่งมาตราใดเท่านั้น
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะโครงสร้างของรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน ใช้คอนเซปท์ กรุงศรีฯ ระแวงไพร่ ไม่ไว้ใจชนชั้นรากหญ้า ว่าจะมีสติปัญญา พอที่จะกำหนดทิศทางประเทศได้หรือไม่ ไม่ไว้ใจว่าจะเลือกนักการเมืองที่ ถูกต้องตรงใจชนชั้นศักดินาหรือไม่ โดยเฉพาะ กลุ่มการเมืองที่ ชนชั้นศักดินา ไม่ปลื้มเข้ามาปกครองประเทศ ด้วยสาเหตุใดไม่เป็นที่แน่ชัด ยังคลุมเครือมาจนถึงบัดนี้
ประการที่สอง ต้องมีการตั้งคณะทำงานหรือสภาร่าง รัฐธรรมนูญอิสระที่ประกอบ ไปด้วยตัวแทนจากกลุ่ม องค์กรต่างๆ เข้ามาเป็นองค์ประกอบ สภาร่างรัฐธรรมนูญต้อง มิใช่เป็นองค์กรของข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจ นักการเมือง หากต้องประกอบไปด้วยกลุ่มคนอันหลากหลายทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เพศและชาติพันธุ์ที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย
ประเด็นนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงเสนอขึ้นมาแบบ Fake เป็นข้อเสนอที่ดัดจริต กระแดะไปตามกระแส ทั้งๆที่รู้ว่า ร่างกันขึ้นมาแล้ว พอบรรดาชนชั้นศักดินา ไม่พอใจเกิดความขัดแย้งขึ้นมา ก็ชี้ชวนให้ทหารออกมาฉีกทิ้งอีก ก็เพียงแค่ยึดเค้าโครงเดิมของ ฉบับปี 2540 ไว้เป็นสรณะ ก็พอแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นจะตายอะไร ต่อให้ยกโคตรเหง้าภาคประชาชน มาร่วมด้วยช่วยร่างก็ไม่ช่วยให้ ชนชั้นศักดินา มันมอง ชนชั้นรากหญ้า (ไพร่อุปถ้มป์) ไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรอก
ประการที่สาม ในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ ต้องเปิดให้กับการมีส่วนร่วม จากประชาชนในการแสดงความคิดเห็น ผลักดัน แลกเปลี่ยน ข้อมูลและความต้องการ ของแต่ละกลุ่มให้เป็นไปอย่างเสรี และกว้างขวางที่สุด เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เกิดขึ้นจากฐานของสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ด้วยบรรยากาศของสังคม ที่เป็นประชาธิปไตยและการเปิดพื้นที่ให้กับทุกฝ่าย ให้สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ สื่อมวลชนทุกประเภท
นี่ก็เป็นความกระแดะ สืบเนื่องมาจากประการที่สองนั่นเอง เมื่อไหร่นักวิชาการมันจะเลิก Fake เสียทีก็ไม่ทราบ ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามันเกิดความขัดแย้งระหว่าง ชนชั้นศักดินา บางกลุ่มกับตัวบุคคลคือ ดร.ทักษิณ เพียงเท่านี้แหละ แล้วเขาก็หาทางวางแผนกำจัด ไม่เห็นจะต้องไปยกเมฆ อะไรมาสาธยายให้เปลืองค่าน้ำค่าไฟ ชาวบ้านเขารู้เช่นเห็นชาติกันทั้งประเทศ แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยัง Fake ไม่เลิกอีกหรือ ?
ประการที่สี่ หลังจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เสร็จสิ้นลงต้องเปิดให้มีการลงประชามติ โดยไม่มีการแทรกแซงจากทุกฝ่าย เช่นครั้งที่ผ่านมา
ประการนี้ชัดเจน และตรงไปตรงมาที่สุด เพราะได้แสดงว่า การลงประชามติ ครั้งที่ผ่านมา มีการแทรกแซงจากชนชั้นปกครอง ผู้มีอำนาจ ทำให้ผลประชามติ เกิดผลที่เบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงอยู่พอสมควร
นักวิชาการจำนวน 137 คน ดังมีรายชื่อข้างท้ายนี้ จึงใคร่ขอเรียกร้องสังคมไทยให้ร่วมกันกดดันให้เกิดกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามหลักการ 4 ข้อข้างต้น เพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญโดยกระบวนการที่สันติ เพื่อสร้างรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจในระบอบประชาธิปไตย และทำให้สังคมไทยหลุดพ้นจากสภาวะตีบตันทางการเมืองโดยเร็วที่สุด
(รายชื่อไปอ่านกันเอาเองที่นี่)