ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 14:00
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  เช็กบิล'คตส.'ตอกลิ่มวิกฤติ/ตำรวจขอหมายจับ'สุนัย' 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
เช็กบิล'คตส.'ตอกลิ่มวิกฤติ/ตำรวจขอหมายจับ'สุนัย'  (อ่าน 1139 ครั้ง)
มารร้ายพ่ายแพ้รัก
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 292



« เมื่อ: 05-06-2008, 09:24 »

เช็กบิล'คตส.'ตอกลิ่มวิกฤติ/ตำรวจขอหมายจับ'สุนัย'

5 มิถุนายน 2551    กองบรรณาธิการ

ได้เวลาระบอบทักษิณเดินเครื่องล้างแค้น กองปราบฯ ออกหมายเรียก 11 คตส. ไปพบ 10 มิ.ย. โทษฐานเจาะอายัดทรัพย์สินแม้ว "สัก" ลั่นถึงออกหมายจับก็ไม่ไป

    ซัดใช้อำนาจบิดเบือนกฎหมาย  ร่อนหนังสือแก้ลำส่ง จม.ถึงศาลขอความยุติธรรม  จี้ "หมัก"  ช่วยดูแลลูกน้อง  ฟ้อง คมช.ถูกตามเช็กบิลแล้ว   ผงะ! ศาลออกหมายจับ "สุนัย มโนมัยอุดม" มือฟัน "ทักษิณ" ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซีแอสเสท
    เมื่อวันพุธ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ประชุมนัดพิเศษ  โดยมีนายนาม  ยิ้มแย้ม  คตส. เป็นประธาน เพื่อพิจารณากรณีที่กองบังคับการปราบปรามได้มีหนังสือหมายเรียก  คตส.ทั้ง  11  คน และนายมณเฑียร  เจริญผล  ฝ่ายกฎหมาย   สตง. ไปพบพนักงานสอบสวนเป็นครั้งที่  2  ในวันที่  10  มิถุนายน  2551 ซึ่งจะนำไปสู่การออกหมาย คตส. โดยใช้เวลาในการประชุมนานร่วม 3 ชั่วโมง
    ต่อมาเวลา  19.30  น. นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. แถลงว่า การประชุมนัดพิเศษสืบเนื่องจาก บริษัท สำนักงานกฎหมายนิติเอกราช จำกัด ได้ส่งหนังสือแจ้งมายัง คตส. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2550 เพื่อให้ยุติการละเมิดและให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัว  ที่ คตส.ได้มีมติอายัดแล้วนั้น  โดยระบุว่า  คตส.มีเจตนามุ่งหมายเจาะจง กลั่นแกล้ง เลือกปฏิบัติ  จนทำให้ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณเสียหาย  ซึ่ง คตส.เห็นว่าหนังสือดังกล่าวมีข้อความหมิ่นประมาทการปฏิบัติหน้าที่ของ  คตส. เพราะถูกตั้งขึ้นตามประกาศ  คปค. ฉบับที่  30 ซึ่งมีกฎหมายรองรับ จึงได้เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2550
    แต่ต่อมาสำนักงานกฎหมายนิติเอกราช  จำกัด ได้ดำเนินการแจ้งความกลับ คตส.ในข้อหาหมิ่นประมาททั้งที่รู้ว่ามิได้กระทำความผิดเกิดขึ้น เป็นเหตุให้ทางกองปราบปรามได้ออกหมายเรียก คตส.ครั้งที่ 1 ให้ไปพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 30 พฤษภาคม 2551 ซึ่ง คตส.ได้ส่งเอกสารพร้อมทั้งชี้แจงถึงอำนาจหน้าที่การปฏิบัติหน้าที่ของ คตส.ตามกฎหมายให้กองปราบทราบเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2551 กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน กรองปราบได้ออกหมายเรียกให้ คตส.ทั้ง 11 คน ไปพบพนักงานสอบสวนครั้งที่  2  ในวันที่  10   มิถุนายน  2551 ซึ่งจะนำไปสู่การออกหมายจับหาก คตส.ไม่ยอมไปพบพนักงานสอบสวน
    โฆษก  คตส. ระบุว่า  การปฏิบัติหน้าที่ของ  คตส.เกิดขึ้นตามประกาศ  คปค. ฉบับที่  30 ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของ  คตส.ทุกครั้งได้มีการชี้แจงเหตุผลการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย  และให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย   โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด ดังนั้นในที่ประชุมจึงมีมติทำหนังสือไปถึงนายสมัคร สุนทรเวช  นายกรัฐมนตรี กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่ที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่  คตส.  และผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งหรือมติของ คตส. เพื่อได้โปรดพิจารณาสั่งการ   และรักษาไว้ซึ่งความถูกต้อง พร้อมทั้งทำหนังสือถึงผู้บังคับการกองปราบปรามว่า  คตส.ทั้ง  11  คนจะไม่ไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก  แต่จะมีการนำส่งเอกสารหลักฐานมาประกอบการพิจารณาแทนการให้ปากคำด้วยวาจา  และจะได้ส่งพยานหลักฐานทั้งหมดต่อศาลที่มีอำนาจต่อไป  และขอให้ศาลแจ้งให้ผู้ถูกออกหมายทราบในกรณีที่มีการยื่นร้องขอออกหมายจับ   โดยจะแต่งตั้งทนายความเข้ามาซักถามความเห็นข้อเท็จจริงการกระทำหน้าที่ต่อไป เพราะ คตส.ไม่มั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน
    เขาบอกว่า   คตส.ยังทำหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อธิบดีผู้พิพากษาศาลกรุงเทพ  อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้  อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี  ผู้พิพากษาศาลพระโขนง  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดตลิ่งชัน  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครเหนือ  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงดุสิต   ผู้พิพากษาศาลแขวงพระนครใต้  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงธนบุรี  อธิบดีผู้พิพากษาภาค   1   เพื่อแจ้งให้ทราบว่าหากพนักงานสอบสวนมีคำร้องขอออกหมายจับ คตส.และพวก  ทาง คตส.มีความประสงค์ที่จะแต่งตั้งทนายความในชั้นไต่สวนคำร้องขอออกหมายจับของพนักงานสอบสวน  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมของคดีต่อไป  เนื่องจาก  คตส.ไม่มีความเชื่อมั่นในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่สอบสวน   จึงต้องขอข้อเท็จจริงให้ศาลมีอำนาจออกหมายอาญา เพราะไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนจะดำเนินการขอหมายที่ศาลใด
    โฆษก  คตส.กล่าวว่า คตส.ยังได้มีหนังสือถึง  พล.อ.วินัย  ภัททิยกุล  ปลัดกระทรวงกลาโหม  อดีตเลขาฯ  คมช.  พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตผู้ช่วย คมช. พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์  ผบ.สส. อดีตสมาชิก คมช. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. อดีตเลขาฯ คมช. พล.อ.อ.ชลิต  พุกผาสุข  ผบ.ทอ. อดีตรองหัวหน้า  คมช. พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. อดีตสมาชิก คมช.  และ พล.ต.อ.พัชรวาท   วงษ์สุวรรณ  ผบ.ตร.  กรณีที่  คตส.ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีหมิ่นประมาทของกองปราบปราม  เพราะตามประกาศ คปค.ที่ 30 ได้แต่งตั้ง คตส.ขึ้นมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย  ในการตรวจสอบการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ   แต่ขณะนี้   เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ใช้อำนาจบิดเบือนกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของ  คตส. เพื่อให้ทุกหน่วยงานได้รับทราบในการปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน   คตส.ยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่และยืนหยัดทำหน้าที่จนถึงนาทีสุดท้ายตามที่กฎหมายกำหนด
    ผู้สื่อข่าวถามว่า  การกระทำของกองปราบปราม  เป็นกระบวนการเช็กบิล คตส.หรือไม่  นายสักกล่าวว่า คงตอบไม่ได้  เพราะทุกคนก็คิดเอาเองได้  เนื่องจาก  คตส.ได้มีการแจ้งความต่อกองปราบปรามกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับ   พ.ต.ท.ทักษิณ  และครอบครัว  ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน  ขัดหมายเรียก  ไม่ให้ความร่วมมือกับ  คตส. แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบผลความคืบหน้าแม้แต่คดีเดียว  แต่เมื่อ  คตส.ถูกแจ้งกลับเจ้าหน้าที่กองปราบฯ กลับดำเนินคดีออกหมายเรียกถึง  2  ครั้ง  เพื่อจุดมุ่งหมายนำไปสู่การออกหมายจับในที่สุด  ดังนั้นสังคมจะเป็นผู้ตัดสิน    การปฏิบัติหน้าที่ต่อเจ้าพนักงาน  คตส.คงบอกไม่ได้ว่ามีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่
    วันเดียวกัน  ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้อนุมัติหมายจับ   นายสุนัย   มโนมัยอุดม  อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ   (ดีเอสไอ) ข้อหาหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการโฆษณา ขณะที่นายสุนัยกำลังดำรงตำแหน่ง  และได้แถลงข่าวกล่าวหา  พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าปกปิดการถือครองหุ้น ทำให้ได้รับความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียง
    ทั้งนี้  การออกหมายจับดังกล่าว  เนื่องจากว่าทางพนักงานสอบสวน  สภ.วังน้อย  จ.พระนครศรีอยุธยา   ได้ทำหนังสือเชิญตัวนายสุนัยเข้ารับฟังข้อกล่าวหา เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมถึง  3 ครั้ง แต่นายสุนัยไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน ทางพนักงานสอบสวนจึงขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    ส่วนนายศานิต   ร่างน้อย  อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการจัดเก็บภาษีจากนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา  ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากกรณีการซื้อขายหุ้นบริษัท  ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  มูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ว่าที่ผ่านมาบุคคลทั้งสองได้มีการส่งหนังสือมาถึงกรมสรรพากรเพื่อขอถอนการอายัดทรัพย์  พร้อมกับระบุให้ไปอายัดทรัพย์จากในส่วนที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้มีการอายัดไว้แทน   โดยตนได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ   ยืนยันว่าทางกรมสรรพากรคงไม่สามารถถอนการอายัดทรัพย์สินดังกล่าวได้ และต้องเดินหน้าเก็บภาษีตามกระบวนการต่อไป
    ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนรอเข้าพิจารณาในคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษี ซึ่งยอมรับว่าคงต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า  6  เดือน เพราะต้องมีขั้นตอนในการตอบสำนวนกันไปมา  อย่างไรก็ดี  ยืนยันว่าทางกรมสรรพากรก็ยังคาดว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีจากกรณีนี้ได้ จะชนะหรือไม่เราก็ต้องหวัง
    ส่วนกรณีที่มีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ  (คตส.)  นั้น   คิดว่าแม้ว่าหากผลสุดท้ายออกมาว่า คตส.ไม่มีอำนาจ  ก็คงไม่เกี่ยวข้องกัน   เนื่องจากกรมสรรพากรได้ประเมินภาษีในกรณีนี้ไปตามอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากรอยู่แล้ว
    ก่อนหน้านี้  กรมสรรพากรได้ดำเนินการอายัดทรัพย์ได้เพียงแค่ประมาณ  1,000  ล้านบาท  และไม่สามารถอายัดเพิ่มได้แต่อย่างใด  ต่อมานายพานทองแท้ได้ยื่นเรื่องฟ้องอธิบดีกรมสรรพากรและเจ้าหน้าที่สรรพากรภาค 1 และ 3  อีกหลายคน  โดยฟ้องนายศานิตเป็นการส่วนตัว  ฐานเลือกปฏิบัติในการประเมินเก็บภาษีในกรณีดังกล่าว  และฟ้องเจ้าหน้าที่สรรพากรภาค ฐานใช้อำนาจไม่ชอบไปยึดอายัดทรัพย์ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่  2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้เลื่อนไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ออกไป โดยนัดใหม่เป็นวันที่ 9 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
    วันเดียวกันนี้  นายศราวุธ  เมนะเศวต  เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า จะนำเรื่องที่นายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น     ยื่นร้องเรียนให้ไต่สวนข้อเท็จจริงนายสมัคร  สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นายชูศักดิ์ ศิรินิล  รัฐมนตรีประจำสำน้กนายกฯ และนายชัย ชิดชอบ  ประธานรัฐสภา ตลอดจน ส.ส.และ ส.ว.158 คน  เข้าชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญปี   2550  เป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ  เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 157 เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อหารือร่วมกันว่าจะมีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อไต่สวนหรือไม่ ในวันที่ 5 มิถุนายนนี้
    นายกล้านรงค์   จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ทราบเรื่องที่นายวีระยื่นร้องเรียนแล้ว  ขณะนี้อยู่ที่ขั้นตอนของสำนักเลขาธิการคณะกรรมการ  ป.ป.ช.ที่จะสรุปข้อมูลส่งให้คณะกรรมการ  ป.ป.ช.พิจารณาคำร้องต่อไป แต่จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนเบื้องต้นในเรื่องนี้หรือไม่นั้น คงต้องดูที่เนื้อหาคำร้องอีกครั้ง ตอนนี้คงตอบไม่ได้ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะมีการประชุมตามปกติวันที่ 5 มิถุนายนนี้
    ด้าน  ร.ต.อ.เฉลิม  อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวีระยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ไต่สวนข้อเท็จจริงการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  กรณีการต่อสัญญาการดำเนินการของสถานีโทรทัศน์ช่อง   3   และสถานีโทรทัศน์ยูบีซี  สมัยเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เมื่อปี 2535   ที่จะหมดอายุความในเดือนกรกฎาคมว่า  สมัยนั้นทำหน้าที่ประธานบอร์ด อสมท ช่วงนั้นสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 แพร่ภาพไม่ครบทุกพื้นที่ เป็นเหตุให้รับภาพช่อง 3 ไม่ได้ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น  จึงให้ไปหาวิธีให้สามารถรับสถานีโทรทัศน์ช่อง  9  ได้ทุกพื้นที่ ซึ่งก็ได้ให้การบ้านคณะกรรมการของ อสมท  ไปคิด  สุดท้ายบอกว่าได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 โดยช่อง 3  พร้อมจะออกเงินให้ช่อง 9 มาพัฒนาให้สามารถแพร่ภาพได้ทั่วประเทศ กว่า 100 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้ต่อเวลาเพิ่มสัญญาเดิม
    "พูดไปก็กระทบใจกัน  เป็นการเปิดศึก ไม่ดี  ทางช่อง 3 ให้ประโยชน์กับทางราชการมากกว่าที่ช่อง 7 ให้ประโยชน์กับทางราชการ ในเนื้อหาสาระที่คล้ายคลึงกัน แต่เป็นคนละเรื่อง  ผมไม่ได้รับผิดชอบช่อง 5  และช่อง  7 สุดท้ายผมไม่ได้ตัดสินใจ แต่เอาเรื่องเข้า ครม.พิจารณา ตอนนั้นจำได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลอยู่กับพรรคชาติไทย ผมเป็น  รมต.ประจำสำนักนายกฯ ไม่ได้เป็นคนอนุมัติ ครม.อนุมัติ พรรคประชาธิปัตย์เป็นคณะรัฐมนตรี  การอนุมัติเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแจ้งให้ทราบ แต่เพื่อพิจารณา ทุกคนแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง มีการสอบถามอย่างละเอียด สุดท้าย ครม.อนุมัติเป็นมติเป็นเอกฉันท์ ไม่มีใครพูดต่อท้าย ไม่มีรัฐมนตรีคนไหนไม่เห็นด้วย" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว และว่า เรื่องนี้มั่นใจว่าชี้แจงได้  เพราะไม่ใช่คนอนุมัติ การที่นำเสนอ ครม.ก็มีเหตุผล ที่ประชุม ครม.ขณะนั้นทาง ปชป.ก็มีแต่ระดับบิ๊กๆ นั่งอยู่ด้วยกัน
    เมื่อถามว่า  หากสอบสวนพบว่าผิดจริง จะมีการสอบสวน ครม.ชุดนั้นใช่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า  ไม่อยากพูดเดี๋ยวหาว่าไปชวนเพื่อนมาเดือดร้อนด้วย ตนมั่นใจว่าสิ่งที่ทำไปถูกต้องแน่นอน เพราะประเด็นปัญหาปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบมันต้องไม่ชอบและทุจริตอย่างไร  ไปแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ควรได้อย่างไร  เพราะสตางค์แดงเดียวก็ไม่ได้มาเป็นผลประโยชน์ส่วนตน  แล้วจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้อย่างไร.

ที่มา


มันเล่นกันแล้วกระบวนการตัดตอนเพื่อช่วยลูกพี่เหลี่ยมเริ่มแล้ว แบบนี้พันธมิตรคงต้องสู้ไม่ถอยแแน่ ๆ รัฐบาลเล่นขุดหลุมฝังตัวเองแท้ ๆ  คอยดูคืนวันศุกร์ - เสาร์ นี้ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน รับรองคนตรึมกว่าศุกร์ - เสาร์ที่ผ่านมาชัวร์!
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: