ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
12-05-2025, 07:30
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  หลั่งเลือดแล้ว ....หรือจะต้องถึงนองเลือดอีกครั้ง (ขัดตาทัพ) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
หลั่งเลือดแล้ว ....หรือจะต้องถึงนองเลือดอีกครั้ง (ขัดตาทัพ)  (อ่าน 2250 ครั้ง)
oho
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 712


« เมื่อ: 28-05-2008, 10:24 »

หลั่งเลือดแล้ว หรือจะต้องถึงนองเลือดอีกครั้ง (ขัดตาทัพ) 
 
http://www.naewna.com/home.asp
 บทความนี้เขียนคืนวันจันทร์ กว่าจะตีพิมพ์ในวันพุธ บ้านเมืองจะเละไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

 หลังเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2550 สามวันต่อมาคือวันพุธที่ 26 "ตะพุ่นหญ้าช้าง" ได้แสดงความกังวลไว้ในคอลัมน์นี้ ด้วยบทความเรื่อง "ฟันธง: รัฐบาลกลียุค"

 ความวิตกในในบทความวันนั้นคือ "ขณะนี้การเมือง ติดล็อค จริงๆ เหมือนที่มีสำนวนไทยว่าไว้ว่า ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก วันนี้เห็นใครต่อใครชอบ ฟันธง ตะพุ่นหญ้าช้างขอ ฟันธง บ้างว่า การเมืองช่วงต่อไปนี้กำลังเข้าสู่ กลียุค จริงๆ"

 ไม่น่าเชื่อว่า เพียงแค่เดือนต่อมา

 * ประธานสภาผู้แทนราษฎร ถูก ใบแดง จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง

 * รองประธานสภาฯต้องรักษาการทุลักทุเลอยู่หลายเดือนกว่าจะได้ประธานสภาคนใหม่

 * รัฐบาลถูกขนานนามว่า รัฐบาลนอมีนี และสารพัดฉายาตั้งแต่เริ่มต้น

 * นายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้าสู่ตำแหน่ง โดยมีคำพิพากษาให้จำคุกโดยไม่รอการลงอาญาติดตัวมาด้วย

 * ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีนายกรัฐมนตรีถึง 2 คนเหมือนประเทศเพื่อนบ้านในยุคหนึ่ง

 * รัฐมนตรีมีปัญหาถูก ปปช. วินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง เพราะทำผิดรัฐธรรมนูญ 2 คน

 * รัฐมนตรีถูก คตส. ชี้มูลว่ากระทำความผิดอาญาเพราะออกสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยผิดกฎหมาย 3-5 คน

 * รัฐมนตรีถูกฝ่ายค้านยื่นประธานวุฒิสภาให้พิจารณาถอดถอนออกจากตำแหน่งอีก 1 คน

 * รัฐมนตรี คนหนึ่งอัปรีย์กินหัว เพราะปากอัปมงคล บังอาจจาบจ้วงเหนือหัวของคนไทยทั้งชาติ

 * และสมาชิกพรรคแกนนำรัฐบาลคนหนึ่งถูกคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นวินิจฉัยว่าได้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายสมาชิกอื่นในห้องอาหารสภา พร้อมกล่าวด่าทอผู้อื่นด้วยถ้อยคำที่ หยาบคายอย่างยิ่ง (จนไม่สามารถระบุคำด่าออกมาเป็นตัวหนังสือได้) .... ฯลฯ


 เมื่อรับตำแหน่งเพียงไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีผู้มีอัธยาศัยเริ่มต้นด้วยการทักทายนักข่าวว่า เมื่อคืนได้เสพเมถุนหรือเปล่า ?

 ต่อมานายกรัฐมนตรีกลายเป็นนักภาษาศาสตร์ออกมาเผยแพร่ คำหยาบวันละคำ และเป็นนักแปลภาษาที่ใช้คำว่า "มึง" กับสหประชาชาติได้ โดยอ้างเหตุผลเพราะในภาษาอังกฤษหมายถึง "You" ซึ่งไม่ใช่คำหยาบ จนคำว่ามึงๆ กูๆ ของนายกรัฐมนตรีกลายเป็นคำนิยมที่แพร่หลายทั่วไปในสังคม พร้อมกับเผยแพร่สารพัดคำรุนแรงอย่างเมามันต่อนักข่าวและสื่อมวลชนเมื่อถูกสัมภาษณ์ด้วยคำถามที่ไม่ถูกใจ เช่นย้อนถามนักข่าวว่า ถามทำหอกอะไร? จนเป็นตัวอย่างให้นักก่อกวนกลุ่มหนึ่งต่อต้านการสัมมนาของเหล่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยการเปิดกางเกงอวด เข็มหมุดเขลอะๆ ของตัวเองที่หน้าหอประชุมธรรมศาสตร์ โดยเข้าใจว่านั่นคือ หอก ตามรสนิยมของนายกรัฐมนตรี

 รองประธานสภาผู้แทนราษฎรท่านหนึ่ง ขณะทำหน้าที่ประธานที่ประชุมในสภาก็วินิจฉัยว่า คำว่า ถ่*** อนุญาตให้ใช้ว่ากล่าวผู้อื่นในที่ประชุมได้ ไม่ถือว่าเป็นคำหยาบ เพราะมีบัญญัติอยู่ในพจนานุกรมไทย จนคำมาตรฐานเดียวกัน เช่นคำว่า อุบาทว์ อัปรีย์ จั*** ถูกนำมาใช้ทั่วไปบนเวทีปราศรัยและในสังคม

 รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี สนุกสนานกับการโยกย้ายข้าราชการตามอารมณ์เกือบทั่วทุกหน่วยงาน จนในที่สุดเมื่อไม่รู้จะไปย้ายข้าราชการที่ไหนอีกแล้ว เลยหันไปช่วยกันย้าย ช้างไม้ ที่กระทรวงการคลัง เป็นที่เอิกเกริกครื้นเครง

 ผู้คนรู้สึกกันว่า หลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ภายใต้

 การบริหารของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้ วิปริตอาเพศเกิดขึ้นทั่วประเทศ วิกฤตการเมืองเกิดขึ้นพร้อมวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เกิดภาวะ ข้าวยากหมากแพง เดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ท่ามกลางความมุ่งมั่นของรัฐบาลเพียงประการเดียว คือการแก้รัฐธรรมนูญ

 ปัญหาสำคัญที่สุดขณะนี้ คือความพยายามดันทุรังแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ไขปัญหาการ ยุบพรรค และ ยึดทรัพย์ ซึ่งมีความชัดเจนว่าเป็นการพยายามเพื่อแก้ปัญหาของรัฐบาลและพวกพ้องอย่างแท้จริง

 จากเป้าหมายที่ต้องการแก้ไขมาตราสำคัญเพียงสองมาตรา รัฐบาลพยายามกลบเกลื่อนเจตนารมณ์ซ่อนเร้นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

 เพื่ออ้างอิงความชอบธรรมจากประชาชน นายกรัฐมนตรีถึงกับประกาศที่จะใช้งบประมาณถึง 2,000 ล้านบาททำประชามติ โดยเหตุผลว่า เพื่อตัดความรำคาญ

 และเพื่อหาแนวร่วมในการสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ จึงประกาศข้อบัญญัติระบุให้ พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่คำนึงถึงความแตกแยกทางศาสนา อันจะเป็นปัญหาใหญ่หลวงของประเทศชาติในวันข้างหน้า

 ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้เร่งรัฐนโยบายบ่อนการพนันเสรี และประกาศเพิ่มสลากกินแบ่งรัฐบาลอีก 8 ล้านฉบับ ประกาศเดินหน้าโครงการขายสลากด้วยเครื่องอัตโนมัติออนไลน์ และประกาศเดินหน้าโครงการหวยบนดิน เลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว

 มีผู้เสนอความเห็นว่า ในเมื่อจะบัญญัติให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว เพื่อให้สมกับรูปลักษณ์ของรัฐบาลนี้ น่าจะบัญญัติให้ บ่อนการพนัน การพนันฟุตบอล รวมทั้ง บ่อนไก่ สนามชนโค สลากกินแบ่ง และ หวยบนดิน เป็น ธุรกรรม ประจำชาติ ในรัฐธรรมนูญด้วยด้วย

 ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้เป็นปัญหาที่ ติดล็อค และมีเดิมพันสูง

 รัฐบาลนอมีนี ไม่มีทางถอยอีกแล้ว จำเป็นที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อความอยู่รอดของพรรคตนเอง และเพื่อการหลุดพ้นจากการยึดทรัพย์นับแสนล้านบาท

 ขณะเดียวกันผู้คัดค้านก็ไม่มีทางถอยอีกแล้ว เพื่อเหตุผลการ กู้ชาติ

 การชุมนุมของพันธมิตรฯที่สะพานมัฆวาน ฯ ประกาศเป็นการชุมนุมโดยไม่มีกำหนด

 รัฐบาลระดมสรรพกำลังทั้งตำรวจและพลพรรคลิ่วล้อในเสื้อแดง

 เพียงคืนแรกก็ หลั่งเลือด และบาดเจ็บไปหลายสิบคนแล้ว

 หรือจะต้องถึง นองเลือด อีกครั้ง จึงจะรู้สึกรู้สา

 รัฐบาลนอมินี กำลังนำประเทศชาติไปสู่ กลียุค จริงๆ


ตะพุ่นหญ้าช้าง 
 
วันที่ 28/5/2008

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: