กกต. เสียงแตก คดีสมัคร ลูกจ้างหรือรับจ้าง ระบุไม่มีอำนาจ
วินิจฉัยเรื่อง รธน.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว. ระบบสรรหา ยื่นเรื่อง
ร้องเรียนให้ กกต. ตรวจสอบคุณสมบัติของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
กรณีจัดรายการ ชิมไป บ่นไป ทาง ททบ.5 และรายการยกโขยง 6 โมงเช้า ซึ่ง
อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นผลให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงนั้น
มีรายงานว่า ภายใน กกต. มีความเห็นแตกออกไปอย่างน้อย 2 ทางในกรณีสิทธิ
ในการยื่นเรื่องดังกล่าวต่อ กกต. โดยแนวทางแรกเห็นว่า นายเรืองไกร สามารถ
ร้องต่อ กกต. ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ที่ระบุว่า นายกรัฐมนตรีและ
รัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งใด ในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดย
มุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใดมิได้ ซึ่งการ
ส่งเรื่องมายัง กกต.นั้น อาจทำให้ กกต. ส่งเรื่องการสิ้นสุดของการดำรงตำแหน่ง
รัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคท้าย ที่ระบุว่า ให้
คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม มีฝ่ายที่เห็นว่า นายเรืองไกร ไม่สามารถใช้ช่องทางมาร้องเรียน
กกต. เรื่องคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีได้เอง แต่ต้องใช้สิทธิ์ของความเป็นสมาชิก
วุฒิสภา ตามมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญ ที่ระบุให้สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อย
กว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา เข้าชื่อร้องต่อ
ประธานวุฒิสภาว่า สมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งนั้นสิ้นสุดลง ซึ่งฝ่ายที่
เห็นว่า นายเรืองไกร ใช้ช่องทางในการร้องเรียนไม่ถูกต้อง เชื่อว่ากรณีดังกล่าว
อาจส่งผลให้ กกต. ไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยได้ และ กกต. ไม่มีอำนาจส่งเรื่องไป
ยังศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคท้ายที่ให้ กกต. เป็นผู้ส่งเรื่อง
ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะยังไม่มีการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91
นอกจากนั้นยังเห็นว่า กกต. ไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ แต่อำนาจ
ของ กกต. เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. มาตรา 10 (10) ที่
ระบุว่าให้ กกต. มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัย
ชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรม-
นูญเพียง 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ
เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2) พระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 3) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า
ด้วยการออกเสียงประชามติ 4) กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ
ผู้บริหารท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่เห็นว่า กกต. ไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องรัฐธรรมนูญนี้ แสดงความ
เห็นว่ากกต. อาจวินิจฉัยกรณีคุณสมบัติของนายสมัครได้ หากส่งเรื่องการร้องเรียน
มาตั้งแต่นายสมัคร ยังไม่ได้รับการรับรองให้เป็น ส.ส. เพราะ กกต. ยังสามารถใช้
อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง
ส.ว. ในการตรวจสอบคุณสมบัติได้ แต่หลังจากนายสมัครได้รับการรับรองเป็น ส.ส.
แล้ว การจะถอดถอนหรือตรวจสอบควรจะเป็นเรื่องของรัฐสภา เว้นแต่ยื่นเรื่องมาถึง
กกต. ก่อนที่นายสมัครจะได้รับการรับรองเป็น ส.ส. และ กกต. ยังสืบสวนสอบสวน
เรื่องค้างอยู่ จึงจะสามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรค
ท้ายที่ให้ กกต. เป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วย
ทั้งนี้ฝ่ายที่เห็นว่าการตรวจสอบคุณสมบัติของนายสมัคร ไม่ใช่เรื่องของ กกต. ยัง
เห็นว่ากรณีการร้องเรียนดังกล่าว ผู้ร้องอาจจะต้องไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะองค์กรตรวจสอบตามรัฐธรรม-
นูญ มาตรา 62 ที่ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิติดตามและร้องขอให้มีการตรวจสอบการ
ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของ
รัฐ
ซึ่งการร้องเรียนต้องร้องต่อองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐหรือหน่วยงาน
ของรัฐ เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกตัวอย่างเช่น
ควรร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ว่าการกระทำของนายสมัครอาจเข้าข่ายทุจริตหรือไม่ ซึ่ง
การมาร้องต่อ กกต. นั้นอาจทำให้เรื่องตกไป ด้วยเหตุว่า การยื่นเรื่องไม่ถูกต้อง แม้
เนื้อหาตามข้อเท็จจริงอาจจะสามารถถอดถอนตำแหน่งของนักการเมืองได้ก็ตาม
http://www.prachatai.com/05web/th/home/12263
ยื่นไม่ถูกที่ ไม่ถูกเวลา ก็อาจใช้การไม่ได้นะจ๊ะ
ยื่น "หลัง" จากเป็น สส. ก็ไม่เกี่ยวกับ กกต. ที่มีหน้าที่พิจารณาเฉพาะกรณี "ก่อน"
ยื่นให้ "พ้น" จากการเป็นรัฐมนตรี หรือยื่นถอดถอน ต้องไปยื่นในสภา
หรือไม่งั้นก็กับ ปปช. ข้อหาทุจริตต่อหน้าที่ เลย
ว่าแต่ ตำแหน่ง สว. ลากตั้ง นี้ ทั่นได้แต่ใดมา
ใช่เพราะว่า เคยทำเรื่องจ่ายภาษีที่พ่อยกหุ้นให้ อันโด่งดัง นั่นหรือเปล่า
วานบอก