"เบื้องหลังที่เลวร้ายของกลุ่มนายทุน+ธนาคารกรุงเทพฯที่ทำร้ายชาวนาไทย"
วิกฤตน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ฉุดดึงราคาสินค้าทั่วโลกให้สูงตามไปหมด
ข้าว ซึ่งเป็นสินค้าอย่างหนึ่ง ก็ต้องขยับขึ้นตามไป ประกอบกับความแปรปรวนที่รุนแรงของดินฟ้าอากาศจากภาวะโลกร้อน จึงได้เพิ่มความเสี่ยงในการลดลงอย่างฮวบฮาบของอุปทานข้าว ราคาข้าวในตลาดโลกจึงถูกหนุนให้สูง โอกาสลดต่ำลงเป็นไปได้น้อยมาก
นักวิชาการจากสถาบันวิชาการ TDRI ท่านหนึ่ง ที่เชี่ยวชาญด้านข้าวกล่าวว่า ข้าวจะมีระดับราคาที่สูงอยู่เช่นนี้ ไม่น้อยกว่า 2 ปี ราคาข้าวส่งออกปัจจุบันอยู่ในระดับ 1,200-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หรือ 38,100-41,275 บาทต่อตัน(อัตราแลกเปลี่ยน 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) แต่ราคาข้าวที่ชาวนาขายอยู่ที่ 12,000 บาทต่อตัน ราคาข้าวส่งออกจึงมีราคาสูงกว่าเกือบ 3 เท่าครึ่ง และมีส่วนต่างของราคาถึง 28,000 บาทต่อตัน
ประมาณการคาดว่า สามารถขายข้าวได้ไม่น้อยกว่า 9 ล้านตัน คิดเป็นเงินกำไรจากส่วนต่างนี้ไม่น้อยกว่า 252,000 ล้านบาท ซึ่งตกอยู่ในมือของนายทุน ผู้เกี่ยวข้องกับการส่งออกไม่กี่ราย
ส่วนชาวนาที่ต้องเสี่ยงทุกอย่าง ทั้งด้านต้นทุนการผลิต และดินฟ้าอากาศที่ไม่แน่นอน เสี่ยงไปตามยถากรรม มีเงินเหลือภายหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วอยู่เพียง 6,000 บาทต่อตัน คิดเป็นเงินโดยรวมที่ชาวนาหลายล้านคนได้รับ กว่า 54,000 ล้านบาท เทียบกันไม่ได้เลย กับนายทุนส่งออกใหญ่ 10 ราย ที่ได้กำไรหลายแสนล้านบาท เช่นนี้หรือคือความเป็นธรรม!!?
ทุกครั้ง เมื่อมีปัญหาราคาข้าว หรือสินค้าการเกษตรอื่นๆ ทั้งนักวิชาการ สื่อสารมวลชน พ่อค้า นักการเมือง มักท่องบทสวดแห่งกลไกตลาดเสรีของอุปสงค์อุปทาน โดยไม่ดูรายละเอียด หากตลาดในประเทศเป็นตลาดเสรีจริง เหมือนในตลาดโลกแล้ว ทำไมส่วนต่างของราคาข้าวส่งออก กับราคาข้าวที่ชาวนาขาย จึงมีราคาต่างกันลิบลับมากมายเกือบ 3 เท่าครึ่งเช่นนี้ ?
ปัญหาก็คือ กลไกตลาดข้าวภายในประเทศ เป็นตลาดเสรีจริงหรือ? ในสายการผลิตและจำหน่ายข้าว จะมีผู้ที่เกี่ยวข้องคือ ชาวนา โรงสี และพ่อค้าส่งออก ชาวนาผู้ผลิต มีจำนวนหลายล้านคน โรงสีขนาดกลางและขนาดย่อม ก็มีหลายร้อยแห่ง โรงสีขนาดยักษ์ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นโรงสีของผู้ส่งออก ที่มีอยู่ไม่กี่ราย ตามจำนวนผู้ส่งออกรายใหญ่
จากข้อมูลการส่งออกข้าวล่าสุด ในไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.)ของปี พ.ศ.2551
ผู้ส่งออก ...............ปริมาณ(ตัน)....... เปอร์เซ็นต์
1.นครหลวงค้าข้าว ........610,318 .......26.2
2.เอเชีย โกลเด้นไรซ์ ......512,648 .......22.0
3.พงษ์ลาภ ............303,050 .......13.0
4.ข้าวไชยการ ..........199,725 ....... 8.6
5.ซีพีอินเตอร์เทรด .......158,934 ....... 6.8
6.บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง ....152,563 ....... 6.5
7.ไรซ์แลนด์อินเตอร์เนชั่นแนล .113,635 ....... 4.9
8.กมลกิจ .............101,090 ....... 4.3
9.ไทยฟ้า (2511) .......99,680 ....... 4.3
10.ไทยมาพรรณ .........81,192 ....... 3.5
จำนวนผู้ส่งออกรายใหญ่ มีเพียง 10 ราย มี 5 รายใหญ่อันดับต้นๆ ที่ส่งออกรวมกันแล้วถึง 76.6% หรือกว่า 3 ใน 4 ของปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมด
สำหรับไตรมาสแรกของปี 2551 กลุ่ม 5 บริษัทนี้ ส่งออกไปรวม 1.78 ล้านตัน จากการส่งออกทั้งหมด 2.33 ล้านตัน และ 2 ใน 5 รายนี้คือ นครหลวงค้าข้าว และเอเชียโกลเด้นไรซ์ ซึ่งส่งออกเกือบครึ่งหนึ่งถึง 1.12 ล้านตัน!
กลุ่มผู้ส่งออกข้าวยักษ์ใหญ่ 5 รายนี้ เป็นหลักของสมาคมผู้ส่งออกข้าวต่างประเทศ เป็นทุนพาณิชย์ผูกขาดแบบพันธมิตรธุรกิจ หรือคาร์เทล (Cartel) ภายใต้การสนับสนุนทางการเงิน จากธนาคารพาณิชย์เก่าและใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ เป็นต้น
พวกนี้เป็นกลุ่มพ่อค้า และนายเงินเชื้อสายจีน ที่เกิดขึ้นและเติบโตภายใต้การอุปถัมภ์ของกลุ่มขุนศึก นับตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่อยมาจนปัจจุบัน เป็นกลุ่มทุนพาณิชย์การเงินผูกขาดเก่า ที่มีอิทธิพลครอบครองกำไรส่วนต่างของราคาข้าวนับแสนล้านบาท จากการส่งออกที่ได้รับประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ พวกเขาจึงต้องรักษาผลประโยชน์ในพกในห่อจนถึงที่สุด!
ส่วนกลุ่มโรงสีขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีอยู่ประมาณ 200-300 ราย ได้จัดตั้งสมาคมโรงสีข้าวของตนขึ้นใหม่ เช่น สมาคมโรงสีข้าวไทย เป็นต้น พวกนี้ไม่ใช่เครือข่ายของสมาคมโรงสีขนาดยักษ์ ที่เป็นของพ่อค้าส่งออกรายใหญ่ ได้เคยเคลื่อนไหวต่อสู้ เพื่อให้สามารถส่งออกข้าวเองได้ แต่ก็เป็นไปตามยถากรรม ขาดเงินทุนหมุนเวียน จนเป็น NPL กันเป็นส่วนใหญ่ ในเครดิตบูโร และธนาคารได้ใช้อ้างเพื่อไม่ยอมให้กู้อีก ถูกเบี้ยปรับที่โหดมากตามกฎหมายแพ่งโบราณเล่นงาน และอาจโดนคดีอาญาตามกฎหมายเช็คอีกต่างหาก จำต้องอยู่ภายใต้แอกอุปถัมภ์ของพ่อค้าส่งออกรายใหญ่ ที่ยืดเวลาจ่ายค่าข้าวให้โรงสีถึง 3 เดือน หากต้องการเร็ว ก็ต้องกู้เงินจากนายหน้ารวบรวมข้าว ของพ่อค้าส่งออกที่เรียกว่า “หยง” ในอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือน
กลุ่มโรงสี SMEs เหล่านี้จึงยากที่จะหลุดรอดจากข่ายใยแมงมุมนี้ไปได้ และไม่อาจมีศักยภาพที่เป็นกลไกถ่วงดุล การผูกขาดกับพ่อค้าส่งออกใหญ่ได้ เพื่อให้เกิดตลาดเสรี ในวงการข้าวได้โดยแท้จริง?
สมัยรัฐบาลทักษิณ ได้เคยสลายการผูกขาดยาง ของกลุ่มคาร์เทลยางภาคใต้ได้สำเร็จ จนทำให้ราคายางที่เคยต่ำกว่า 20 บาทต่อกิโลกรัม เขยิบเป็น 70 บาทต่อกิโลกรัม เหมือนในปัจจุบัน
แล้วเริ่มสลายกลุ่มคาร์เทลข้าวในลำดับถัดมา โดยหนุนกลุ่มบริษัทเพรสซิเด้นท์ อะกริ เทรด เข้ามาแทรก แข่งขันกับบล็อกพันธมิตรผูกขาดคาร์เทลข้าวนี้ แต่ก็ถูกต้านอย่างหนัก จากกลุ่มธนกิจคาร์เทลข้าว โดยบีบให้กลุ่มสหพัฒน์ฯ ถอนหุ้นออกจากบริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ จนขาดสภาพคล่องในช่วงประมาณปี 2548 ตอนเกิดกระแสการโค่นรัฐบาลทักษิณ ตามมาด้วยรัฐประหาร คมช.เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
กลุ่มเจ้าหนี้ ภายใต้การนำของธนาคารกรุงเทพ และไทยธนาคาร ซึ่งได้รับการประคบประหงม 18,000 ล้านบาท จากอดีตผู้ว่า ธปท. ได้ฟ้องคดีแพ่งและอาญา ต่อบริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ จนอาจจะล้มละลาย กลุ่มผู้ส่งออกข้าวจึงได้ผงาดขึ้นอย่างไร้คู่แข่ง ซ้ำยังแสดงความแข็งแกร่งนี้ จากการที่กลุ่ม 5 เสือส่งออก ได้รับการประมูลรับซื้อข้าวจากรัฐบาลทหาร คมช. เมื่อปลายปีที่แล้ว (2550) ขณะใกล้มีการเลือกตั้งใหม่ ด้วยราคาที่ต่ำ และต่ำกว่าที่รัฐบาลทักษิณขายให้แก่กลุ่มบริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ ในราคาประมาณ 6,000-7,000 บาทต่อตัน และเป็นการประมูลอย่างลุกลี้ลุกลนผิดปรกติ แล้วยังไม่เห็นมีสื่อไหนโวยวายว่า ทำให้ราคาข้าวในตลาดตกต่ำ
จากนั้นก็รีบขายส่งออกไปทันที ในไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค. 2551) จำนวน 1.78 ล้านตัน ในราคา 1,100-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ได้กำไรทันทีกว่า 70,000 ล้านบาท
เมื่อมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบรัฐบาลทักษิณ หวังช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาดี และไม่เสียโอกาสจากราคาข้าวที่สูงมากในตลาดโลก ได้พยายามจะสลาย กลุ่มผูกขาดการเงินคาร์เทลค้าข้าวเก่านี้อีกครั้ง โดยธนาคารกรุงไทยให้บริษัท สยามอินดิโก้ จำกัด ที่มีสายสัมพันธ์เดิม กับกลุ่มเพรสซิเด้นท์ฯ กู้ยืมเงินไปจ่ายเช็คเงินสดให้กลุ่มโรงสี SMEs 200 กว่าแห่ง เพื่อให้ไปซื้อข้าวจากชาวนา ในราคา 16,000 บาทต่อตัน ตามนโยบายรัฐบาล และให้กิจกรรมการค้านี้ ผ่านธนาคารกรุงไทยแต่ผู้เดียวโดยตรง ...
นี่นับเป็นกลยุทธ์แก้ปัญหา กลเกมกดราคาข้าวของชาวนา อันเป็นเหลี่ยมทางการเมือง ที่มุ่งโจมตีรัฐบาล ซึ่งได้ตั้งแนวต้านร่วม ไม่รับซื้อข้าวจากชาวนาของกลุ่มธนกิจคาร์เทลข้าวยักษ์ใหญ่ ที่อ้างว่า ทะเลมีมรสุม เรือไม่อาจรับสินค้าได้ จึงมีสต็อกข้าวอยู่เต็มในโกดัง
โรงสีเลยกลายเป็นเหยื่อ หรือ “แพะ” ที่ถูกโจมตีว่า เป็นตัวการกดราคาข้าวชาวนา
นี่คือตัวอย่างหนึ่งของความขัดแย้งที่รุนแรง จากการช่วงชิงผลประโยชน์อันมหึมา!
กลไกตลาดข้าวที่ผูกขาด และอิทธิพลของกลุ่มผูกขาดธนกิจคาร์เทลข้าวนี้ ย่อมไม่ใช่กลไกตลาดเสรี ดังเช่นในตลาดโลก ความหวังของชาวนาที่จะได้รับราคาข้าวที่สูง จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยง่าย ยังจะมีความยากลำบากรออยู่ข้างหน้า เพราะเดิมพันกันด้วยอำนาจรัฐ ในยุทธประชาธิปไตยครั้งใหม่ขณะนี้?
หมายเหตุ-TEN: ความเห็นของผมต่อบทความดังกล่าวคือ มีความคลาดเคลื่อนข้อใหญ่ในการคำนวณราคากำไรของผู้ส่งออกโดยนักวิชาการที่อ้างว่าเชี่ยวชาญจาก TDRI เช่นข้าวเปลือกหนึ่งตัน สีเป็นข้าวสารได้ประมาณ 650 กิโลกรัมเท่านั้นที่จะเอาไปใช้คำนวณ ไม่ใช่ 1000 กิโลกรัม เป็นต้น และในมุมมองต่อชาวนาซึ่งเก่งด้านการเพาะปลูก การเกษตร แต่เก่งด้านการค้า การเงิน การธนาคารน้อยกว่า โรงสี หยง และผู้ส่งออก จะต้องมีรัฐเข้ามาช่วยดูแล สร้างความสมดุลย์ เช่น การกำหนดราคาข้าวเปลือกที่เหมาะสมต่อสถานการณ์แล้วประกัน การจัดสรรเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ (เพื่อใช้หมุน ลงทุน หรือไม่ให้ถูกบีบในการต่อรอง) จนกระทั่งการจัดสรรสวัสดิการต่างๆ ทางอ้อม เป็นต้น...
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6632670/P6632670.htmlพิจรณาเอาเองนะครับ