ประวิตร โรจนพฤกษ์
ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น
๑.
สังคมที่ทุกคนต้องพูด เห็น เหมือนกันไปหมด
และไม่ต้องการตั้งคำถาม ได้ยินคำถาม ฟังคำตอบ หรือแม้กระทั่งตั้งคำถามไม่ได้
คงมิอาจเรียกว่าเป็นสังคมมนุษย์ได้
เพราะการตั้งคำถามเป็นคุณลักษณะที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง
ของการเป็นมนุษย์
๒.
ผมฝัน ว่าตนเองหลงหลุดไปในเมืองลับแล ที่ผู้คนเชื่อว่า
เมืองตนนั้นแปลกแตกต่าง มีเอกลักษณ์วิเศษพิสดารกว่าที่อื่น และรักสันติ
แต่ ณ เมืองนั้นผมเห็นผู้คนถูกปลุกระดมจนบ้าคลั่ง
ไล่ล่าฆ่าคนที่เห็นต่างอย่างกระหายเลือด
๓.
สื่อกระแสหลักจำนวนมากในไทยเลือกที่จะเซ็นเซอร์ตัวเอง
พวกเขามิเพียงละเลยหน้าที่ที่จะเป็นเวทีเปิดของความเห็นต่าง
ให้มีโอกาสแลกเปลี่ยนโต้เถียงอย่างสันติ
มิหนำซ้ำ ยังนิ่งดูดายกับการที่สื่อเครือข่ายพันธมิตรฯ
พยายามเรียกร้องให้มีการกดทับ ปราบปราม หรือทำร้าย
ต้องขอออกตัวว่าที่มาพูดที่นี่ไม่ได้มาในนามหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น แม้ว่าผมจะทำงานอยู่ที่นั่น และสิ่งที่ผมจะเสนอก็อาจจะต้องหรือต่างกับความเห็นของคนในหนังสือพิมพ์บ้างก็แล้วแต่
ประเด็นนี้เตรียมมาอ่านเป็บบทความสั้นๆ ขอตั้งชื่อบทความว่า "คำถามต่อสังคมที่มิต้องการคำถาม"
....ไม่ว่าผู้ฟังจะเห็นด้วย หรือไม่กับนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง กรณีนายโชติศักดิ์ ผู้ไม่ยอมยืนระหว่างเปิดเพลงสรรเสริญฯ ในโรงหนัง ได้ก่อให้เกิดการตั้งคำถามในสังคมว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับสถาบันกษัตริย์ในปัจจุบัน
ปฏิกิริยามีทั้งเห็นใจ ชื่นชม รวมถึงโกรธแค้น เกลียดชัง และต้องการทำร้ายหรือแม้กระทั่งประชาทัณฑ์เข่นฆ่านายโชติศักดิ์
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในจังหวะที่สถาบันกษัตริย์กำลังถูกนำมาอ้าง เพื่อผลประโยชน์ในการต่อสู้ทางการเมือง โดยกลุ่มที่เรียกตนเองว่า "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" และสื่ออย่าง ASTV นสพ.ผู้จัดการ วิทยุผู้จัดการ อย่างที่ท่านผู้ฟังได้ฟังตอนต้น หรือที่ถูกเรียกขานนามว่าเป็น ดาวสยามยุคใหม่ หรือเรียกว่า ดาวสยามยุคดิจิตอลอาจจะดีกว่า
ก่อนอื่นผู้พูดอยากให้พิจารณาข้อเท็จจริงบางประการ เช่น นายโชติศักดิ์กับเพื่อนหญิง หลังจากที่ไม่ยืน ถูกทำร้ายร่างกายในโรงหนัง และตัวนายโชติศักดิ์เองเป็นผู้โทรศัพท์ เรียกให้ตำรวจเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ และการฟ้องเกิดขึ้นหลังจากที่นายโชติศักดิ์ไม่ยอมถอนฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายแก่นายนวมินทร์ นายโชติศักดิ์เท่าที่ผมทราบ ไม่ใช่สมาชิก นปก. หรือ นปช. และก็ไม่สู้จะชื่นชอบนายทักษิณ ชินวัตร
แต่ก็มิวายที่สื่อที่ไร้ความรับผิดชอบอย่าง นสพ.ผู้จัดการและ ASTV พยายามที่จะจับแพะชนแกะ ปลุกผีให้ผู้คนคลุ้มคลั่งเกลียดชังนายโชติศักดิ์ และถึงแม้นายโชติศักดิ์จะได้เขียนจดหมายร้องเรียนพยายามอธิบายตนเองแก่ นสพ.ผู้จัดการ แต่ก็ดูเหมือนจะมิได้รับแม้กระทั่งโอกาส ที่จะมีพื้นที่ชี้แจงความเห็นต่างและจุดยืนตัวเองใน นสพ. ฉบับนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาถึงความเห็นทำนองต้องการประชาทัณฑ์ หรือแม้กระทั่งฆ่านายโชติศักดิ์นั้น ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบาก หรือแม้กระทั่งความล้มเหลวของสังคมไทย ที่จะถกพูดหรือตั้งคำถามเรื่องสถาบันกษัตริย์อย่างปกติ โดยมิต้องกระหายเลือด ขาดสติหรือเอียงไปทางขั้วใดขั้วหนึ่งอย่างสุดกู่
สังคมที่คนเห็นต่างมิสามารถ แม้เพียงแต่จะมีที่ยืน (หรือที่นั่งในกรณีนี้) หรือตั้งคำถามโดยข้อเขียนหรือการกระทำ แถมยังถูกทำให้เป็นอาชญากรทั้งทางกฎหมายและสังคม และโดยที่น่ากลัวกว่านั้น คือ ผู้คนจำนวนมิน้อยกลับเห็นชอบและชื่นชม คำถามคือ ควรเรียกสังคมเช่นนี้ว่าสังคมอะไร?
การตั้งคำถาม หากกระทำมิได้กับบางเรื่อง ย่อมต้องมีผลต่อทักษะในการตั้งคำถามเรื่องอื่นๆ ในชีวิตด้วย และมีผลต่อระดับสติปัญญา ความเข้าใจรับรู้ของผู้คนในสังคมนั้น
สื่อกระแสหลักจำนวนมากในไทยเลือกที่จะเซ็นเซอร์ตัวเองเกี่ยวกับกรณีข่าวนี้ ซึ่งรวมถึง นสพ.เดอะเนชั่น พวกเขามิเพียงละเลยหน้าที่ที่จะเป็นเวทีเปิดของความเห็นต่างอันมีอยู่หลากหลาย ซึ่งเป็นธรรมดาปกติของสังคมมนุษย์ ให้มีโอกาสแลกเปลี่ยนโต้เถียงอย่างสันติ มิหนำซ้ำ ยังนิ่งดูดายกับการที่สื่อเครือข่ายพันธมิตรฯ พยายามเรียกร้องให้มีการกดทับ ปราบปราม หรือทำร้าย และไม่เปิดให้พื้นที่ความเห็นหรือคำถามต่างๆ ที่แตกต่างมีที่ทาง
สังคมที่ทุกคนต้องพูด เห็น เหมือนกันไปหมด และไม่ต้องการตั้งคำถาม ได้ยินคำถาม ฟังคำตอบ หรือแม้กระทั่งตั้งคำถามไม่ได้ คงมิอาจเรียกว่าเป็นสังคมมนุษย์ได้ เพราะการตั้งคำถามเป็นคุณลักษณะที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งอย่างหนึ่งของการเป็นมนุษย์
สังคมที่ขาดความหลากหลาย หรือทำลายความหลากหลาย ย่อมมิต่างอะไรจากพืชไร่เชิงเดี่ยวที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ความเสี่ยงสูง แมลงลงทีเดียวอาจกวาดกินพืชจนหมดไร่ได้ เช่นนี้เปรียบได้กับสังคมที่ผู้คนถูกบังคับให้คิดเห็นไปในทางเดียวกันหมด
แน่นอนวัฒนธรรมอุปถัมภ์ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกอบอุ่นผูกพัน ประชาชนจำนวนหนึ่งจึงรู้สึกโกรธแค้น และอาฆาตนายโชติศักดิ์ เพราะรู้สึกถูกละเมิด แต่ความอาฆาต หรือแม้กระทั่งความกระหายเลือด คือด้านมืดของวัฒนธรรมอุปถัมภ์
การเขียนข้อความด่าทอนายโชติศักดิ์ทางเว็บ การแสดงความเห็นทำนองเดียวกันทางวิทยุอย่างที่ได้รับฟังมา โดยไม่พยายามโต้เถียงต่างมุม คือความล้มเหลวของผู้คนในสังคมที่จะเผชิญหน้ากับความต่างด้วยเหตุผลและสติอย่างสันติ
หลายคนโพสต์ข้อความในเว็บไซต์ประชาไท หรือฟ้าเดียวกัน ฯลฯ ว่านายโชติศักดิ์ ไม่ใช่คนไทยบ้าง ควรไปอยู่พม่า เขมร หรือจีนบ้าง บางคนเรียกโชติศักดิ์เป็น "โชติสัตว์" ดั่งมิใช่มนุษย์ เหล่านี้คือการสร้าง "ความเป็นอื่น" และทำลายความเป็นมนุษย์ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนที่อยากทำร้ายร่างกายนายโชติศักดิ์ไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป และผู้คนเหล่านี้จะได้สามารถกระทำรุนแรงต่อนายโชติศักดิ์เยี่ยงสัตว์ได้
เรื่องทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วในเมืองไทยในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 หรือในตะวันตก ยุคยุโรปตอนกลางหรือยุคมืดที่ผู้คนที่ถูกกล่าวหา หรือไม่ยอมเชื่อคริสต์ศาสนาถูกเข่นฆ่า
หรือนี่คือสังคมไทย สังคมพุทธที่มี "ความสงบ" อยู่บนพื้นฐานของการกดขี่โดยคนหมู่มาก ลิดรอนมิให้คนจำนวนหนึ่งที่เห็นต่างสามารถคิดและตั้งคำถามกับสังคม และเป็นสังคมที่มิต้องการคำถามหรือคำตอบหรือคำอธิบายใดๆ อย่างแท้จริง
ป.ล. เมื่อคืนวันก่อนผมฝัน ว่าตนเองหลงหลุดไปในเมืองลับแล ที่ผู้คนเชื่อว่า เมืองตนนั้นแปลกแตกต่าง มีเอกลักษณ์วิเศษพิสดารกว่าที่อื่น และรักสันติ แต่ ณ เมืองนั้นผมเห็นผู้คนถูกปลุกระดมจนบ้าคลั่ง ไล่ล่าฆ่าคนที่เห็นต่างอย่างกระหายเลือด ชายคนหนึ่งถูกเตะทุบตีครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนสิ้นลมหายใจ
ผู้คนสงสัยว่า ทำไมเหยื่อไม่ยอมประพฤติปฎิบัติเหมือนคนส่วนมาก และเขาไม่กลัวคุกกลัวตะราง หรือแม้กระทั่งห่วงชีวิตตนเองหรืออย่างไร เขาคงกลัวคุก แต่เขาคงทนคุกแห่งสามัญสำนึกที่ถูกผู้คนและสังคมยัดเยียดให้เขาต่อไปไม่ไหวกระมัง
ในเมืองลับแลนี้ การไล่ล่าฆ่าผู้เห็นต่างเกิดขึ้นเป็นระยะๆ จนในที่สุดผู้คนที่เห็นต่างหมดไปจากสังคม และผู้คนในเมืองลับแลก็มิต้องคิดแลกเปลี่ยนความเห็นหรือถกเถียงประเด็นอะไรกันอีกต่อไป เพราะทุกคนคิดเห็นเหมือนกันไปหมดแล้ว
มันเป็นฝันร้ายที่ดูเสมือนจริงยิ่งนัก แต่หลังจากตื่นขึ้น ข้าพเจ้าก็ตระหนักว่าบางครั้ง โลกแห่งความจริงมันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าฝันร้ายเสียอีก และคุณจะตื่นขึ้นก็ไม่ได้อีกต่างหาก หลายคนจึงยอมอยู่ในโลกแห่งฝันร้ายต่อไป