ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-04-2024, 08:16
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ==คนจนอ่วม ให้ 'รถเมล์' ปรับราคา! อ้างนํ้ามัน== 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
==คนจนอ่วม ให้ 'รถเมล์' ปรับราคา! อ้างนํ้ามัน==  (อ่าน 1306 ครั้ง)
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« เมื่อ: 17-05-2008, 12:19 »

ผมคิดว่าเรื่องค่ารถเมล์นี้ สำคัญเร่งด่วนยิ่งกว่าราคาข้าวสารอีก

รถร้อนขึ้นจาก 3.50 บาท ก่อนวิกฤตน้ำมัน มาเป็น 8.50 บาท
และกำลังขอปรับเป็น 11 บาท นั่นคือประมาณ 3 เท่าตัว หรือ
300% ขณะที่ราคาข้าวสารขยับแค่ประมาณ 30%

ข้ออ้างทุกครั้งคืออ้างราคาน้ำมัน แต่ไม่เห็นมีการ บังคับสนับสนุน
รถเมล์/รถร่วม ให้เปลี่ยนไปใช้ NGV ที่ราคาถูกกว่าน้ำมัน 3 เท่า

ความจริงสามารถจะนำร่องปรับไปใช้ E85 (แอลกอฮอล์ 85% เบนซิน
15%) หรือ E95 (แอลกอฮอล์ 95% ดีเซล 5%) สำหรับรถเมล์/รถร่วม
ยังได้เลยด้วยซ้ำ ลดการใช้น้ำมันกันสุดๆ ให้เห็นเป็นตัวอย่างไปเลย



ขืนปล่อยให้เติมน้ำมันไปเรื่อยๆ ราคาก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ ..ตายพอดี

...

ถ้าจะอ้างว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะกรุงเทพฯ ก็คงอ้างไม่ได้ถนัด
เพราะคนที่อาศัย+ทำงานในกรุงเทพฯ คิดเป็นประมาณ 1 ใน 6
ของประชากรไทยทั้งประเทศ

เทียบกับข้าวถุงธงฟ้าทำแค่จังหวัดละ 3 พันถุงต่อรอบยังทำเลย
ทั้งมีมีคนสามารถซื้อข้าวถุงธงฟ้าได้แค่ไม่ถึง 1% เท่านั้น

คนเงินเดือนน้อยๆ จะจ่ายค่ารถมากกว่าค่าอาหารอยู่แล้ว!!!

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คนจนอ่วม ให้ 'รถเมล์' ปรับราคา! อ้างนํ้ามัน [17 พ.ค. 51 - 04:45]
http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=90078

ภาวะ ราคาน้ำมันที่แพงบ้าเลือดและส่งผลให้ ประชาชนคนไทยเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เนื่องจากสินค้าต่างๆ
รวมทั้งข้าวปลาอาหารพากันขึ้นราคาตามไปด้วยเป็นลูกโซ่ ทั้งค่าพาหนะรถโดยสารที่บรรดาผู้ใช้บริการอาจต้อง
ควักกระเป๋าจ่ายเพิ่ม เมื่อผู้ประกอบการรถร่วมโดยสารเข้าร้องกระทรวงคมนาคมขอปรับค่าโดยสาร เพราะไม่สามารถ
แบกรับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องได้แล้ว

ทั้งนี้ เมื่อตอนสายวันที่ 16 พ.ค. ผู้ประกอบการรถร่วมโดยสารทั่วประเทศ นำโดยนายฉัตรชัย ชัยวิเศษ นายกสมาคม
พัฒนารถร่วมเอกชน เข้าเรียกร้องต่อ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม ขอความชัดเจน ในการพิจารณาปรับขึ้น
ค่าโดยสาร หลังราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นต่อเนื่องสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ทำให้ผู้ประกอบการแบกรับภาระต้นทุนน้ำมันไม่ไหว
หยุดเดินรถไปแล้วถึง 30% ของรถโดยสารทั้งหมด โดยเฉพาะรถที่วิ่งในเส้นทางต่างจังหวัด ทั้งนี้ ต้องการให้รัฐบาล
แสดงความจริงใจ ในการพิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสาร หลังจากที่มีการยื้อเวลามานานกว่า 3 เดือน จึงเรียกร้องให้
กระทรวงคมนาคมพิจารณาอนุมัติปรับขึ้นค่าโดยสารในส่วนของรถ ร้อนอีก 2.50 บาท จากเดิม 8.50 บาท ขึ้นเป็น
11 บาท ส่วนรถปรับอากาศจะขอปรับขึ้นระยะละ 2 บาท
ส่วนรถร่วม บขส.จะขอปรับค่าโดยสารขึ้นอย่างน้อย 6 สตางค์/กม.
หากการเข้าหารือไม่ได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ จำเป็นจะต้องหยุดเดินรถทั้งหมด โดยเป็นรถร่วม ขสมก.ใน กทม. 10,000 คัน
รถร่วม บขส.ที่วิ่งระหว่างจังหวัดอีกกว่า 25,000 คันทันที และยังขอให้กระทรวงคมนาคมงดเก็บค่าตอบแทนส่วนแบ่ง
รายได้ของ ขสมก.ทั้งหนี้เก่าค้างชำระและการชำระค่าตอบแทนในปัจจุบัน เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ
ให้ยังสามารถประกอบกิจการต่อไป ได้

ด้านนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า จากที่ราคาน้ำมันดีเซลได้มีการปรับราคาอย่างต่อเนื่อง ยอมรับว่า
กระทรวงไม่ได้นิ่งนอนใจและหาแนวทางที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบ การรถโดยสารทั้งระยะสั้นและระยะยาวอยู่
เบื้องต้นเห็นด้วยที่จะให้ ขสมก. ปรับราคาค่าโดยสารให้กับรถร่วมโดยสาร ขสมก.และ รถ ขสมก. เพิ่มขึ้นอีก
1.50 บาท/คน/เที่ยว จะทำให้ราคาค่าโดยสารรถร้อนครีมแดง เป็น 8.50 บาท/คน รถครีมน้ำเงินเป็น 10 บาท/คน
ส่วนรถปรับอากาศ เห็นควรให้เพิ่มขึ้นช่วงละ 1 บาท จากเดิม 12-24 บาท เป็น 13-25 บาท
การที่ ขสมก.และ
ผู้ประกอบการรถร่วม ขสมก.จะปรับราคาค่าโดยสารเพิ่มขึ้นได้นั้น จะต้องให้ คณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง
ที่มีนายปิยะพันธ์ จัมปาสุต รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน ได้ประชุมในวันที่ 20 พ.ค. นี้ และมีมติอย่างเป็นทางการ
ออกมาก่อน สาเหตุที่เห็นด้วยให้ปรับค่าโดยสาร เนื่องจากเห็นว่าขณะนี้ราคาน้ำมันได้ปรับขึ้นมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
ประกอบกับรัฐบาลมีแนวทางเพิ่มค่าครองชีพให้กับข้าราชการและลูกจ้างไปกว่า 5-6% แล้ว จึงมองว่าการที่จะอนุมัติ
ให้ปรับค่าโดยสารรถเมล์ได้ ผู้ใช้บริการคงเข้าใจถึงความจำเป็นของผู้ให้บริการ

รมช.คมนาคมยังได้กล่าวถึงความคืบหน้า ในการแก้ไขปัญหาการขาดทุนสะสมขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
ว่า ได้มีการหารือร่วมกับนายพิเณศวร์ พัวพัฒนกุล ผอ.ขสมก. ถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการขาดทุนสะสม โดยเฉพาะ
การลดต้นทุนการเดินรถที่ใช้ราคาน้ำมันเป็นฐานการคำนวณต้นทุนการเดิน รถ ซึ่งทำให้ ขสมก.มีต้นทุนเดินรถสูงขึ้นตลอดเวลา
ประกอบกับสภาพรถส่วนใหญ่ของ ขสมก.เก่า มีอายุเฉลี่ยถึง 11-15 ปี ทำให้สิ้นเปลือง จึงได้สั่งการให้ ขสมก. เร่งจัดทำแผน
การเปลี่ยนรถโดยสาร จากรถร้อนมาเป็นรถปรับอากาศใหม่ทั้งหมด และเป็นรถที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวี เพื่อลดต้นทุน โดยให้ดำเนินการ
ได้ภายในเดือนกันยายนนี้

ทั้งนี้รถที่จะนำมาใช้นั้น นายทรงศักดิ์กล่าวว่า จะเป็นรถที่ ขสมก. เช่าแบบเหมาจ่ายจากเอกชนจำนวน 6,500 คัน จากเดิมที่
ขสมก.ให้บริการประชาชนปัจจุบัน 3,500 คัน มีเส้นทางบริการเพียง 115 เส้นทาง เมื่อปรับแล้วคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่า
300 เส้นทาง รถที่จะนำมาทดแทนนั้น จะให้บริการครอบคลุมทุกเส้นทาง ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อกระตุ้นให้ผู้โดยสาร
ที่มีอยู่ในทุกระบบการขนส่งกว่า 2 ล้านคน หันมาใช้บริการ ขสมก.มากขึ้น และ ขสมก.จะนำระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket)
มาใช้ เพื่อให้ผู้โดยสารสะดวกสบาย คาดว่าจะมีการจำหน่ายในราคา 30 บาท/คน/วัน ส่วนผู้ ประกอบการรถโดยสารร่วม ขสมก.นั้น
จะต้องปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ เช่น ซื้อรถพลังงานเอ็นจีวี ปรับปรุงการให้บริการ รวมถึงต้องร่วมกับ ขสมก.ในการใช้ตั๋วร่วมกับ
ขสมก. จะทำให้รายได้ของ ขสมก.เพิ่มขึ้นจากเดือนละ 500 ล้านบาท เป็น 900 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท
ระยะยาวเชื่อว่ารายจ่ายของ ขสมก.จะค่อยๆลดลง เพราะค่าใช้จ่ายด้านค่าซ่อมบำรุง ขสมก.ไม่เสีย เพราะเช่าจากเอกชนที่จะเป็น
ผู้รับผิดชอบทั้งหมด จะทำให้ ขสมก.บริหารจัดการองค์กรได้ โดยไม่พึ่งงบประมาณจากรัฐบาล ส่วนหนี้สะสมของ ขสมก.กว่า
40,000 ล้านบาทนั้น อาจเสนอให้ ครม.พักการชำระหนี้ไว้ก่อน เพื่อรอให้ ขสมก.มีรายได้และกำไรจากการเดินรถ แล้วจึงทยอย
ชำระ สำหรับแผนการเปลี่ยนรถโดยสารนั้น ขสมก.จะต้องนำเสนอต่อกระทรวงคมนาคมและ ครม.เพื่อให้พิจารณาเห็นชอบต่อไป

ด้านนายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับผู้ประกอบ การรถโดยสารว่า
ที่ประชุมเห็นว่าควรมีการปรับขึ้นค่าโดยสาร ตามที่ผู้ประกอบการร้องขอ เพราะภาระต้นทุนน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น โดยคณะกรรมการ
ควบคุมการขนส่งทางบกกลางจะประชุมเร่งด่วนในวันที่ 20 พ.ค.นี้ และจะมีผลประกาศใช้ภายใน 5 วัน หรือจากปกติที่จะประกาศ
ขึ้นภายใน 10 วันหลังมีมติ

ส่วนนายประสงค์ ตันมณีวัฒนา อธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการ
พิจารณาเกี่ยวกับเรือประจำทาง ว่า ขณะนี้น้ำมันอยู่ที่ 34-35 บาท/ลิตร เลยเกณฑ์ที่จะต้องปรับค่าโดยสารเรือ แต่หลังจาก
ที่มีการหารือร่วมกันกับผู้ประกอบการยังไม่ได้ข้อสรุป คาดว่าจะมีการประชุมร่วมกันปลายเดือน พ.ค. หรือต้นเดือน มิ.ย. นี้
เพื่อให้ได้ข้อยุติ สำหรับค่าโดยสารเรือนั้นต้องมีการพิจารณาปรับขึ้น แต่ต้องให้ผู้ประกอบการเรือรวบรวมรายละเอียดมาเสนอกรม
อีกครั้งเพื่อจะได้นำ มาพิจารณาให้เร็วที่สุด   ขณะนี้หากไม่มีการปรับค่าโดยสาร ผู้ประกอบการจะขาดทุนอยู่ที่ 7.30% ดังนั้น
การแก้ไขปัญหาเบื้องต้นจะต้องลดเที่ยวเดินเรือในชั่วโมงธรรมดาลง เพื่อลดต้นทุน ที่ผ่านมาพบว่าผู้โดยสารเรือลดลงอย่างต่อเนื่อง
การปรับค่าโดยสารก็ไม่สามารถทำให้มีกำไรมากเท่าไหร่ โดยอัตราค่าโดยสารเรือที่ผู้ประกอบการร้องขอปรับ เรือด่วนเจ้าพระยา
จะขอปรับขึ้นในอัตราระยะละ 2 บาท เรือโดยสารธรรมดาและเรือคลองแสนแสบ ปรับขึ้นอัตรา 1 บาท และเรือข้ามฟากปรับขึ้น
50 สตางค์ต่อเที่ยว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-05-2008, 12:28 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
Solidus
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,381



« ตอบ #1 เมื่อ: 17-05-2008, 12:30 »

จะใช้ดีเซลหรือ NGV ตั๋วก็ราคาเดียวกัน แถมตอนขึ้นราคาตั๋วดันขึ้นเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ต้นทุนต่างกัน พิลึกดีจริง ๆ
บันทึกการเข้า
BeastGuy
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 210


« ตอบ #2 เมื่อ: 17-05-2008, 12:34 »

กำลังรอรายได้เข้ากระเป๋าสี่เท่าอย่างที่เจ๊มิ่งบอกครับ
แต่ไม่รู้ว่ารายจ่ายสี่เท่ามันจะมาก่อนหรือเปล่า
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #3 เมื่อ: 17-05-2008, 12:39 »

จะใช้ดีเซลหรือ NGV ตั๋วก็ราคาเดียวกัน แถมตอนขึ้นราคาตั๋วดันขึ้นเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ต้นทุนต่างกัน พิลึกดีจริง ๆ

เรื่องนี้ทางผู้บริหารก็ควรออกมาอธิบายนานแล้วครับ
ใช้ NGV แล้วราคาก็ควรต่างกัน เพราะต้นทุนต่างกัน
ตอนนี้ยังอ้างค่าน้ำมันขึ้นราคาแบบเหมารวมอีก

เป็นเรื่องหนึ่งที่ประชาชนชาวกรุงเทพฯ น่าจะร่วมกัน
เรียกร้องให้มีคำอธิบายนะครับ

ผมจำได้ว่าเคยมีคนออกมาเปิดเผยต้นทุนที่แท้จริง
ของ ขสมก.ว่ามีการหมกเม็ด ถ้าผมหาเจอจะเอามา
ลงเพิ่มเติมในกระทู้นี้ครับ
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
แอ่นแอ๊น
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,591


"Angela Gheorghiu" My goddess


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 17-05-2008, 16:20 »

แอนเห็นรถร่วมบริการหลายคัน ติด NGV แล้วด้วยเหมือนกันค่ะ (รถไม่ใหม่ด้วยนะคะ) แต่เอามาเป็นข้ออ้างขึ้นราคาแบบนี้ ชาวบ้านตาย 
บันทึกการเข้า

       

"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
1ktip
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,457



« ตอบ #5 เมื่อ: 17-05-2008, 18:42 »

แอนเห็นรถร่วมบริการหลายคัน ติด NGV แล้วด้วยเหมือนกันค่ะ (รถไม่ใหม่ด้วยนะคะ) แต่เอามาเป็นข้ออ้างขึ้นราคาแบบนี้ ชาวบ้านตาย 

ข้ออ้างยอดนิยมก็คงเป็น นำรายได้มาเฉลี่ยให้กับรถรุ่นเก่า เป็นเทคนิคบริหารต้นทุน แยกหลายราคายุ่งยากต่อการบริหารจัดการ บลาๆๆ

สงสัยคนเมืองต้องหันมาปั่นจักรยานให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #6 เมื่อ: 17-05-2008, 21:02 »

เอาเขาพระวิหารไปแลกน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติเขมรมาสิ จะได้นั่งรถเมล์ถูกๆ 
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #7 เมื่อ: 17-05-2008, 21:19 »

ให้ไอ้แม้วมันเอาไปแลก ยังไงก็ต้องนั่งรถเมล์แพง เป็นลิ่วล้อยังไงหว่า ไม่รู้ว่านายมันโกง 
บันทึกการเข้า
so what?
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,729


« ตอบ #8 เมื่อ: 17-05-2008, 21:54 »

ใช่ครับ ค่ารถเมล์ขึ้นแล้วขึ้นเลย ข้าวสารแพงไม่อีกนานก็กลับมาถูกได้อีก

เมืองไทยปั่นจักรยานไปทำงานก็เสี่ยงโดนรถใหญ่บี้หัวตาย พอปั่นไปถึงก็ไม่รู้จะเอาไปจอดไว้ไหน เผลอก็โดนลักอีก จะย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงานก็ไม่รู้รายได้จะคุ้มค่าเช่าหรือเปล่า

ทั่นนายกเมถุนแสดงฝีมือช่วยคนกรุงที่เคยทุ่มล้านกว่าเสียงเลือกทั่นเป็นผู้ว่าหน่อยครับ ทำอะไรได้ก็ทำ เวลาเหลือไม่มากเพราะไอ้กุดเทศมันฮึ่มๆจะถีบท่านลงจากเก้าอี้อยู่วันสองวันนี้แล้ว   Mr. Green Laughing Mr. Green
บันทึกการเข้า
northstar
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 635


« ตอบ #9 เมื่อ: 18-05-2008, 09:29 »

ปั่นจักรยานไปทำงาน... แต่ต้องอาบน้ำก่อนเข้าทำงานนะ 
บันทึกการเข้า
มารร้ายพ่ายแพ้รัก
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 292



« ตอบ #10 เมื่อ: 18-05-2008, 10:11 »

ดีแฮะ ค่ารถขึ้น เพราะน้ำแพง แต่ปตท.กลับกำไร 2.6 หมื่นล้าน !!!



ปตท.เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/51 มีผลกำไรสูงถึง 2.61 ล้านบาท เติบโต 15.8% ธุรกิจน้ำมันฟาดเงินเข้ากระเป๋นกว่า 4.2 แสนล้านบาท ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนโกยกำไรเป็นกอบเป็นกำถึง 4 พันล้าน ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี-โรงกลั่น กำไรลดลง
       
       วันนี้ (15 พ.ค.) บริษัท ปตท จำกัด(มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยผลการเดเนินงานไตรมาสที่(Q) 1/2551 ของปตท.และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิจำนวน 26,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 3,560 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.8%
       
       โดยในช่วงไตรมาส 1/51 เครือ ปตท.มีรายได้จากการขายและการให้บริการ จำนวน 489,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2550 จำนวน 192,176 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 64.6% โดยรายได้จากการขายไตรมาส 1/2551 จำนวน 417,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 186,018 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 80.5%
       
       มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นและรายได้อื่นที่ไม่ เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 36,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จำนวน 3,937 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.0% ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียจำนวน 7,738 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก Q1/2550 จำนวน 561 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.8% กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 4,188 ล้านบาท ในขณะที่ในไตรมาส 1/2550 มีกำไรจากการอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ จำนวน 1,653 ล้านบาท
       
       ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจน้ำมัน มีรายได้จากการขายในไตรมาส 1/2551 จำนวน 417,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 186,018 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 80.5% โดยปริมาณขายในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 4,799 ล้านลิตร หรือคิดเป็น 33.1% จาก 14,496 ล้านลิตร หรือเทียบเท่า 1,013,100 บาร์เรลต่อวันใน ไตรมาส 1/2550 เป็น 19,295 ล้านลิตร หรือเทียบเท่า1,333,675 บาร์เรลต่อวันใน Q1/2551 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนปริมาณขายของการค้าสากล โดยเฉพาะน้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูป
       
       นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากราคาขายน้ำมันเฉลี่ยในไตรมาส 1/2551 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของการขายน้ำมันในประเทศและการค้าสากลตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น
       
       กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ รายได้จากการขายใน ไตรมาส 1/2551 เพิ่มขึ้นจำนวน 7,557 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.2% เนื่องจากปริมาณการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ (รวมก๊าซโซลีนธรรมชาติที่ได้จากหน่วยควบคุมจุดกลั่นตัวของก๊าซธรรมชาติ) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจำนวน 179 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (mmcfd) จาก 3,167 mmcfd ในไตรมาส 1/2550 เป็น 3,346 mmcfd ใน Q1/2551 (ที่ค่าความร้อน 1,000 บีทียูต่อ 1 ลูกบาศก์ฟุต) หรือเพิ่มขึ้น 5.7% เนื่องมาจากความต้องการใช้ก๊าซฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นของลูกค้าทุกกลุ่มยกเว้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
       
       นอกจากนี้ ปริมาณการขายผลิตภัณฑ์รวมของโรงแยกก๊าซฯ เพิ่มขึ้นจาก 867,917 ตันใน ไตรมาส 1/2550 เป็น 1,028,191 ตัน ในไตรมาส1/2551 (ไม่รวมการขาย LPG ที่ ปตท.ซื้อมาจากผู้ผลิตปิโตรเคมีประมาณ 53,239 ตัน ในไตรมาส 1/2550 และ 55,602 ตัน ใน ไตรมาส 1/2551 เพื่อนำมาขายต่อ) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 18.5% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ยกเว้นก๊าซโพรเพน ซึ่งนำไปใช้ในการผลิต LPG เพิ่มขึ้นตามความต้องการบริโภค LPG ในประเทศที่เพิ่มมากขึ้น
       
       ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งบริหารภายใต้บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP (ปตท.สผ.) ใน ไตรมาส 1/2551 ปตท.สผ. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท. มีรายได้จากการขาย 23,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,838 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 32.7% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 35.43 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบใน ไตรมาส1/50 เป็น 48.24 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบใน ไตรมาส 1/2551 ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น
       
       กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ในไตรมาส 1/2551 รายได้จากบริษัทย่อยกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีลดลงจาก ไตรมาส 1/2550 จำนวน 6,099 ล้านบาท หรือลดลง 40.8% สาเหตุหลักเนื่องจากเปลี่ยนแปลงสถานะของ PTTCH และ PPCL จากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วมของ ปตท. ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2550
       
       ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2551 บริษัทในเครือกลุ่มธุรกิจการกลั่นมีผลประกอบการลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าค่าการกลั่นของโรงกลั่นแบบ Complex (รวม Inventory gain) ของกลุ่ม ปตท. ใน ไตรมาส1/2551 จะเพิ่มขึ้นจาก 7.71 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน ไตรมาส 1/2550 เป็น 8.29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในไตรมาส 1/2551
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2008, 10:15 โดย มารร้ายพ่ายแพ้รัก » บันทึกการเข้า
เช็คบิล
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 580



« ตอบ #11 เมื่อ: 18-05-2008, 10:15 »

บ่นไปก็เท่านั้น กระแสใช้พลังงานทดแทนมีเกินกว่า 10 ปีแล้วแต่ภาครัฐ พวกสส.ที่เราเลือกเข้าไปนี่แหละ ตัวดีนัก รัฐไม่ออกมาเป็นแนวหน้า แล้วใครจะมีเงินทุนทำกันล่ะ

ก็ต้องโทษพวกเรากันเอง ที่เลือกสส. ห่วยๆ มาบริหารประเทศ ตั้งหลายปีดีดัก 
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: