ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
26-04-2024, 00:30
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  สกู๊ป-'บิ๊กจิ๋ว'เปิดโปง'ขบวนการ'ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า'สร้างเงื่อนไขก่อสงครามกลาง 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
สกู๊ป-'บิ๊กจิ๋ว'เปิดโปง'ขบวนการ'ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า'สร้างเงื่อนไขก่อสงครามกลาง  (อ่าน 2285 ครั้ง)
กะโหลกหนา
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 17-05-2008, 08:55 »

สกู๊ป-'บิ๊กจิ๋ว'เปิดโปง'ขบวนการ'ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า'สร้างเงื่อนไขก่อสงครามกลางเมือง

มติชน     วันที่ 16 พฤษภาคม 2551 - เวลา 21:14:19 น. 

......http://www.matichon.co.th/news_title.php?id=2062

ข้อเท็จจริงซึ่งยกมาเพียงเล็กน้อยนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนไป พระมหากษัตริย์ไทยมิได้อยู่ในขบวนการเผด็จการ แต่ทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นขบวนการที่มีความเห็นว่า ในสภาวการณ์เช่นนี้สถาบันพระมหากษัตริย์จะมีความมั่นคงได้ ต้องเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ และประเทศชาติต้องมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ขบวนการเผด็จการในอดีตสมัยเท่านั้นสอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงไป แม้ขบวนการเผด็จการนั้นก็ไม่สอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ ซึ่งจะสอดคล้องก็แต่กับขบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น ใช่ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์จะสอดคล้องกับขบวนการเผด็จการก็หาไม่

ในปัจจุบันประเทศไทยครอบงำอยู่ด้วยขบวนการเผด็จการซึ่งยังคงรักษาระบอบเผด็จการไว้ เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา ระบอบเผด็จการรัฐประหารบ้าง จึงไม่สอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์

ดังนั้นขบวนการเผด็จการในปัจจุบันจึงเป็น 'ยาพิษ' แก่ราชการบัลลังก์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ เช่นเดียวกับขบวนการเผด็จการก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นยาพิษแก่ราชบังลังก์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมือนกัน
---------------------------------------------

อ่านแล้ว  ก็เข้าใจ สิ่งที่ท่านเขียนมา   จนถึง  ๔  ย่อหน้าสุดท้าย นี่แหละ

ความหมายที่ ท่านใช้ ว่า  พระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย  หมายความว่าอย่างไร

ปรมะ+อติ(ยิ่งใหญ่)+สิทธิราช ถ้าแปลตามความหมายแล้ว    ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ว่า หมายความว่าอะไร
แล้วบอกว่า  จึงจะเข้ากับ ระบอบ ปชต

แต่ว่า   ความเป็นจริงแล้ว   ปชต  เมืองไทย  ยังไม่ลงรากด้วยซ้ำ  ก็รู้ ๆ กันอยู่  ว่า
ซื้อเสียงขนาดไหน  อิทธิพล ขนาดไหน
แล้ว ท่านก็บอกว่า

สถาบันพระมหากษัตริย์จะมีความมั่นคงได้ ต้องเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ และประเทศชาติต้องมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย

------------------------------------------------
ไม่รู้เรื่อง  หรือ  เราโง่  ก็ไม่รู้  แต่  ไม่เห็น เป็นเหตุเป็นผล กันตรงไหน
แล้ว ก็บอกว่า  ต้องเปลี่ยน สถาบันกษัตริญ์ เป็น  ปริมิตาสิทธิราช   หมายความว่าไงแล้วต่างกันอย่างไรกับ
สมบูรณาญาสิทธิราช
---------------------------------------------------
ต่อมา พูดว่า  เผด็จการทหาร  เผ้ดจการรัฐสภา  แล้วก็ไม่สอดคล้อง กับ  ปริมิตาญาสิทธิราช
--------------------------------------------
แต่เห็นว่า  การเมืองไทย  ก็เผด็จการทหาร  ปชต ก็ครึ่งใบ  สลับไปมา หลายปี   พอ ปี ๔๐  หลัง นายกอานันท์
ด้วยทุนสามานย์ ของ ระบอบ ทักษิณ ทำให้ได้ เผด็จการ รัฐสภา  แล้วทหารก็ออกมา

(ยังจำได้ที่  พรรคไทยโกงไทย  รวบรวมเสียง ด้วยการ ซื้อพรรคเล็ก  พรรคน้อย พรรคกลาง  เข้าไป
เกิดอะไรขึ้นกับ พรรคพ่อใหญ่ จิ๋ว  เหลือ  ชิงชัย มงคลธรรม  อยุ่คนเดียว
เมื่อเวลาผ่านไป  ด้วยทุนอันมหาศาล  จากเงินมากมายได้จากการลดค่าเงินบาท ซึ่งเกิดขึ้นในสมัย ท่าน เอง ด้วยซ้ำ)

เมื่อ  ปชต  เมืองไทย กลายเป็น  รบ เผด็จการรัฐสภา   คมช  เข้ามา แทรกเพื่อไม่ให้ นองเลือด 

เผด็จการทหาร  ที่ผ่านมา  มาจาก  ปัญหาในสภา  ที่เป็น เผด็จการรัฐสภา  จนทำให้เกิดเงื่อนไข ในการทำรัฐประหาร ๑๙ กย
แต่ในทางปฏิบัติ  คมช  ได้กำเนินการในแนวทาง ของ ระบอบ ปชต  อย่างเต็มที่ และ ให้มีการเลือกตั้ง ตามระบอบ ปชต
จึงไม่อาจเรียกได้อย่าง เต็มถ้อยคำว่า เป็น เผด็จการรัฐประหาร (คมช หน่อมแน้ม)

และเพราะ สาเหตุที่ทับถม สังคมไทยมา ๖๐ กว่า ปี นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ระบอบ ปชต  ไม่อาจลงรากใน  สังคมไทยได้ แต่หนักกว่าเก่า  คือ ขนาดจะล้ม....

ก็ทำให้ได้ รบ ลูกกรอก  หรือ ชคม  ซึ่ง พวกนี้ ก็ หน้าหนา หน้าด้าน  อีกต่างหาก

หรือ  ทหารจะฟื้นชีพ เป็น เผด็จการทหาร
หรือ  พรรคลูกกรอก จะจะกลายเป็น  ลุกกลิ้ง  เป็น เผด็จการ รัฐสภา

--------------------  บอกตรง ๆ ว่า  อ่านแล้ว  ก็ คิด อย่างนี้  หากใครจะช่วยเปิด กระโหลก ก็ยินดี

เห็นท่านเขียนวนไปวนมา (เหมือนพุดเลย วนไปวนมา)
นักเลือกตั้ง  ก็คือ นักเลือกตั้ง  จะมาจาก  พ่อค้า นายทุน หรือทหารที่เข้ามาเล่นการเมือง
ในที่สุด กลายพันธ์เป็น นักเลือกตั้ง หมด  เห็นแก่ประโยชน์ตน มากกว่า ประโยชน์ชาติ

ปัจจุบัน  จึงมีเผด็จการรัฐสภา ที่มาจากนักเลือกตั้ง ( และอาจได้ พวกทหารบางกลุ่ม กลุ่มต่างๆ เป็น  ลิ่วล้อ ) 

คนเหล่านี้ จึงเป็น  ยาพิษ  ของ ปชช  ที่จงรักภักดี ต่อชาติ ศาสนา  และพระมหากษัตริย์





บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 17-05-2008, 12:22 »

พ่อใหญ่จิ๋ว มาแบบ ลับ ลวง หลอก และเพิ่มค่าตัว

 
บันทึกการเข้า

กะโหลกหนา
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 17-05-2008, 13:02 »

ตามอ่านหลายความเห็น  พอเข้าใจแล้ว

ที่แท้ ที่พูดทั้งหมด  วกไปวนมา  ศัพท์แสง  ก้เพียงเพราะ  เงิน มัน หญ่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ที่จะเห็นปรธโยชน์บ้านเมือง  อย่าได้หวัง

ก็แค่นั้น

ปรมะ+อติ+อาญาสิทธิ์   ศัพท์ท่าน  ปรมิตาญาสิทธิ์   <----------------------  โรคจิต

แบบนี้ไม่ต้องขึ้นศาล  ให้เสียเวลา   คมช  สามารถทำได้เลย

ก็อยากรู้ว่า  ทำไม  คมช  ไม่ทำ  น่าเสียดาย  ถ้าทำ  ก็ไม่ต้อง รบลูกกรอก  ชมค

บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 17-05-2008, 13:05 »

อ่านเต็มๆ ดีกว่านะ ค่อยๆ ทำความเข้าใจ
...............................................

สกู๊ป-'บิ๊กจิ๋ว'เปิดโปง'ขบวนการ'ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า'สร้างเงื่อนไขก่อสงครามกลางเมือง
มติชน     วันที่ 16 พฤษภาคม 2551 - เวลา 21:14:19 น.  
 
หมายเหต'มติชนออนไลน์'-เป็นเนื้อหาในหน้า 143-158 ในหนังสือ 'แนวทางประเทสไทย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี การต่อสู้เอาชนะภัยความมั่นคงของชาติ สงครามเปิดโปงขบวนการ ล้มปืน ล้ม ทุน ล้มเจ้า'ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งพิมพ์แจกจ่ายในงานวันเกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2551

**************************

ในบรรดาลักษณะมากหลายของคอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเองนี้ลักษณะเด่นที่สุดคือ 'เลิกล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข' ซึ่งเป็นลักษณะประการแรกของการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ใน พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495 และในปัจจุบันลักษณะนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของคอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเองคือ ถ้าชี้ว่าใครเป็นคอมมิวนิสต์ ก็หมายความว่า ผู้นั้นจะเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์และถ้ากล่าวหาว่าใครจะเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้นั้นเป็นคอมมิวนิสต์

เมื่อเป็นดังนี้ คอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเอง โดยเฉพาะในลักษณะที่ว่าจะเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นจึงไม่มีตัวตน เพราะว่า ด้านหนึ่ง คอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเองนี้ไม่ใช่ขบวนการคอมมิวนิสต์ตามความเป็นจริงหรือที่มีอยู่จริง

อีกด้านหนึ่งขบวนการปฏิวัติมีแต่เพียง 2 ขบวนการเท่านั้น คือขบวนการประชาธิปไตย และขบวนการคอมมิวนิสต์ เมื่อคอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเองไม่ใช่ขบวนการคอมมิวนิสต์ (ไม่ใช่ พคท.) แล้วก็ต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในขบวนการประชาธิปไตย

แต่ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ขบวนการประชาธิปไตยตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงมาจนถึงประชาชนไม่มีความมุ่งหมายจะเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจมีคนจำนวนน้อยนิดในขบวนการประชาธิปไตยที่มีความผิดพลาด โดยมีความคิดต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ดังกล่าวมาแล้ว ทั้งยังเป็นพวกที่ทำลายขบวนการประชาธิปไตยจากภายในอีกด้วย

ฉะนั้น ความผิดพลาดของคนจำนวนน้อยนิดจึงไม่ส่งผลสะเทือนทางร้ายแก่ขบวนการประชาธิปไตย ขบวนการประชาธิปไตยยังคงมั่นคงในความมุ่งหมายที่จะรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์

จึงเห็นได้ว่า การสร้างคอมมิวนิสต์ขึ้นมาให้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เป็นการสร้างขึ้นมาในอากาศโดยแท้ เป็นการสร้างความกลัวขึ้นมาให้กลัวกันเล่นเท่านั้นเอง

ฉะนั้น การพิจารณาคอมมิวนิสต์ว่า จะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่นั้น จึงไม่ใช่พิจารณาคอมมิวนิสต์ที่สร้างขึ้นมาในอากาศ คอมมิวนิสต์อย่างนั้นตัดทิ้งไปได้ แต่ต้องพิจารณาคอมมิวนิสต์ที่มีอยู่จริงๆ คือ พคท.

ตามทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ์-ลัทธิเลนิน ไม่มีกำหนดว่าให้พรรคคอมมิวนิสต์ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ทุกพรรคก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่า ประมุขของประเทศคอมมิวนิสต์จะเป็นพระมหากษัตริย์หรือไม่ใช่พระมหากษัตริย์

เมื่อ พ.ศ.2490 นายประพันธ์ วีรศักดิ์ โฆษกของพรรคคอมมิวนิตส์แห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์เป็นลายลักษณ์อักษรตีพิมพ์ในนิตยสาร 'มหาชน' ซึ่งเป็นออแกนของ พคท. เกี่ยวกับปัญหาพระมหากษัตริย์ไว้ว่า 'พคท.เป็นพรรคที่ยึดติดมติมหาชนต้องการพระมหากษัตริย์ พคท.ก็จะปฏิบัติตามมติมหาชนนั้น'

ต่อมามีกรรมการกรมการเมืองของ พคท. คนหนึ่งกล่าวว่า 'ถ้าระบบสังคมนิยมของประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเขาจะดีใจอย่างที่สุด'

เหล่านี้แสดงว่า พรรคคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะคือ พคท. ไม่ได้กำหนดไว้แน่นอนว่า ระบอบคอมมิวนิสต์ของเขาจะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศหรือไม่

อย่างไรก็ดี ความมุ่งหมายของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นดังที่คาร์ลมาร์กซ์ เขียนไว้ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ว่า ชาวคอมมิวนิสต์ไม่ต้องการจะปกปิดอำพรางทรรศนะและความมุ่งหมายของตน เขาประกาศอย่างเปิดเผยว่า ความมุ่งหมายของเขาจะบรรลุได้ ก็แต่โดยใช้กำลังโค่นระบบสังคมที่ดำรงอยู่เสียทั้งหมดเท่านั้น

พูดให้ชัดยิ่งขึ้นก็คือ ใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธโค่นระบบการปกครองที่ดำรงอยู่และสร้างระบบเผด็จการชนกรรมาชีพขึ้นแทน (สำหรับประเทศไทยโดยผ่านทางการเข้านำการปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชาติ และใช้ระบอบเผด็จการชนกรรมาชีพล้มล้างระบบเสรีนิยม และสร้างระบบสังคมนิยมขึ้นแทน นี่คือความมุ่งหมายของ พคท.)

ในการปฏิบัติให้บรรลุความมุ่งหมายเช่นนี้ แม้ว่า พคท.จะไม่มีความมุ่งหมายเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ และแม้ว่าผู้นำของ พคท. ยินดีจะให้พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศไทยสังคมนิยมก็ตาม

แต่การเปลี่ยนแปลงระบบสังคมนิยมอย่างรุนแรงตามความมุ่งหมายที่คาร์ลมาร์กซ์กล่าวไว้ จะไม่สามารถรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ได้ สถาบันพระมหากษัตริย์จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ และพระมหากษัตริย์คงจะไม่สามารถเป็นประมุขของประเทศที่มีการปกครองระบอบเผด็จการชนกรรมาชีพ

ฉะนั้น ถ้า พคท. ได้อำนาจในประเทศไทย ถ้าประเทศไทยเป็นคอมมิวนิสต์ สถาบันพระมหากษัตริย์คงจะถูกทำลาย

แต่ พคท.จะบรรลุความมุ่งหมายนั้นได้เขาจะต้องชนะสงครามไม่มีทางเลือกอย่างอื่นเลย ไม่ใช่ว่า ถ้าเขาแพ้สงครามแล้วจะเดินทางอื่นไปบรรลุความมุ่งหมายนั้นได้

แต่หลังจาก พคท. ทำสงครามมา 10 กว่าปี ก็แพ้สงครามโดยพื้นฐานเสียแล้ว ตามข้อสรุปของกองทัพเรื่องการปฏิบัติตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/23 เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2524 และถ้ากองทัพปฏิบัติตามคำสั่งนี้ให้ครบถ้วนต่อไปซึ่งจะทำให้ พคท. แพ้สงครามโดยสิ้นเชิง ทำให้ความมุ่งหมายของ พคท. พังทลายหมดสิ้น

แต่ในปัจจุบัน กองทัพแห่งชาติดำเนินการได้เพียงยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธของ พคท. เท่านั้น มิได้ดำเนินการเพื่อทำให้ความมุ่งหมายของ พคท. พังทลายหมดสิ้น จึงมีกลุ่มบุคคลผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีบุคคลหลายระดับได้ดำเนินการนำเสนอแนวคิดและแนวทางต่อฝ่ายต่างๆ ในสังคมเพื่อก่อสงครามประชาชนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

อาศัยปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของสังคมเป็นเงื่อนไข โดยแบ่งแยกการทำงานอย่างมีระบบ แบ่งกำลังการเคลื่อนไหวไปอยู่กับขั้วการเมืองที่ขัดแย้งกันทั้งสองขั้ว เข้าทำแนวร่วมกับฝ่ายต่างๆ ซึ่งปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านี้ได้สะท้อนธาตุแท้ของขบวนการผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ตามข้อตกลงลับๆ ก่อนเข้าร่วมเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยตามคำสั่ง 66/2523 ในอดีต

1) ชุบตัวในสถาบันวิชาการ

2) เข้าร่วมทำงานด้านเศรษฐกิจทุนนิยม

3) เข้าร่วมกับฝ่ายอำนาจรัฐ

4) ยุยงให้ฝ่ายอำนาจรัฐและนายทุนทำผิดให้มาก แล้วเข้าทำแนวร่วมกับคนชั้นสูง เช่น ฝ่ายรัฐบาลแล้วโดดเดี่ยวฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป้าหมายคือ 'ศักดินาล้าหลัง' และ 'ทุนนิยมสามานย์' แต่ไม่โจมตีพวกเดียวกัน หรือจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน

แม้ว่า จะอยู่คนละฝ่ายหรือคนละขั้วก็ตามเป็นไปในลักษณะ 'แยกกันเดินรวมกันตี' และกำหนดการต่อสู้แบบสงครามยืดเยื้อเพื่อสะสมกำลัง เพื่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในสังคม เพื่อให้มีเหตุผลข้ออ้างก่อ 'สงครามกลางเมือง' ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ในสถานการณ์นี้มีบุคคลหลายคนหลายฝ่ายตกเป็นเครื่องมือ และตกเป็นแนวร่วมของขบวนการบ่อนทำลายประเทศนี้อย่างไม่รู้ตัว และมีปรากฏให้เห็นเป็นลำดับความมุ่งหมาย พคท.ยังดำรงอยู่เพราะเป็นแนวคิดทางการเมือง แต่เป็นแนวคิดที่ไม่สอดคล้องกับสังคมไทย และมีแนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธเป็นแนวทางรุนแรง การกระทำใดที่นำไปสู่การเกิดกลียุคนองเลือด เป็นความมุ่งหมายและเป็นผลสัมฤทธิ์ของทฤษฎีแนวร่วมของขบวนการนี้ทั้งสิ้น

อีกขบวนการหนึ่งก็คือ ขบวนการเผด็จการ แบ่งอย่างกว้างๆ ขบวนการการเมืองของประเทศไทยมี 3 ขบวนการ คือ ขบวนการเผด็จการ ขบวนการประชาธิปไตย และขบวนการคอมมิวนิสต์

ขบวนการเผด็จการ คือขบวนการที่มีความมุ่งหมายจะรักษาระบอบการปกครองที่ดำรงอยู่ไว้ ซึ่งมีอยู่ 2 ระบอบสลับกัน คือ ระบอบรัฐธรรมนูญ และระบอบรัฐประหาร

ทั้ง 2 ระบอบแม้ว่า จะมีรูปแตกต่างกันแต่ก็มีเนื้ออย่างเดียวกัน คือ ระบอบหนึ่งใช้อำนาจโดยรัฐธรรมนูญ เรียกว่า ระบอบรัฐธรรมนูญหรือระบอบรัฐสภา

อีกระบอบหนึ่งใช้อำนาจโดยการยึดอำนาจ เรียกว่า ระบอบรัฐประหาร หรือระบอบประหาร แต่ทั้ง 2 ระบอบก็เป็นผู้แทนของคนส่วนน้อยอย่างเดียวกันโดยเฉพาะคือเป็นผู้แทนของผลประโยชน์ผูกขาดอย่างเดียวกัน

ดังนั้นทั้งอำนาจอธิปไตยของทั้ง 2 ระบอบเป็นของคนส่วนน้อยโดยเฉพาะเป็นของผลประโยชน์ผูกขาดอย่างเดียวกัน และดังนั้น 2 ระบอบจึงเป็นระบอบเผด็จการอย่างเดียวกันเรียกว่าระบอบเผด็จการรัฐสภา และระบอบเผด็จการรัฐประหาร

เมื่อเป็นดังนี้ พรรคการเมืองใด กลุ่มการเมืองใด องค์การการเมืองใด บุคคลการเมืองใด ตลอดจนมวลชนที่เดินตามจึงอยู่ในขบวนการเดียวกันคือขบวนการที่มีความมุ่งหมายจะรักษาระบอบเผด็จการการรัฐสภา หรือระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้ เรียกว่า ขบวนการเผด็จการ

ขบวนการประชาธิปไตยคือ ขบวนการที่ประกอบด้วยพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง องค์การการเมือง บุคคลการเมือง ตลอดจนมวลชนซึ่งก็มีความมุ่งหมายจะเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบเผด็จการไม่ว่า รูปใดๆ เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือทำการปฏิวัติประชาธิปไตย

ขบวนการคอมมิวนิสต์คือ พคท. และบุคคลหรือมวลชนที่เห็นด้วยกับนโยบายขั้นต่ำและขั้นสูงของ พคท. ขบวนการดังกล่าวนี้มีความมุ่งหมายจะเข้าไปนำการปฏิวัติประชาธิปไตย เพื่อพาไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยม เพื่อสร้างระบบสังคมนิยมและระบบคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย

ขบวนการเผด็จการเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝ่ายขวา ขบวนการประชาธิปไตยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝ่ายกลาง

ขบวนการคอมมิวนิสต์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝ่ายซ้าย

ฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง ฝ่ายซ้าย ดังกล่าวนี้ กำหนดจากขบวนการเมืองทั้งหมดในประเทศ คือรวมกันทั้งขบวนการเผด็จการ ขบวนการประชาธิปไตยและขบวนการคอมมิวนิสต์

แต่ทว่าในแต่ละขบวนการยังแบ่งออกเป็นฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และฝ่ายซ้าย คือในขบวนการเผด็จการมีฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และฝ่ายซ้าย ในขบวนการประชาธิปไตย มีฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และฝ่ายซ้าย และในขบวนการคอมมิวนิสต์ มีฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และฝ่ายซ้าย นัยหนึ่ง ฝ่ายขวา มีขวา มีกลาง และมีซ้าย ฝ่ายกลางมีขวา มีกลางและมีซ้าย และฝ่ายซ้ายก็มีขวา มีกลางและมีซ้ายอีกด้วย

ในประเทศไทยมีการปะปนทั้ง 3 สิ่ง เช่น เมื่อพูดถึงซ้ายก็ไม่จำแนกว่าซ้ายของเผด็จการ หรือซ้ายของประชาธิปไตย หรือซ้ายของคอมมิวนิสต์

นัยหนึ่งจำแนกว่าเป็นซ้ายของขวา หรือซ้ายของกลาง หรือซ้ายของซ้าย เป็นเหตุให้เอาคอมมิวนิสต์ไปปะปนกับประชาธิปไตยและเผด็จการ นักประชาธิปไตยบางส่วนถูกมองเป็นคอมมิวนิสต์ กระทั่งนักเผด็จการบางส่วนก็ถูกมองเป็นคอมมิวนิสต์

ทำให้คำว่า 'ซ้าย' หมายถึงคอมมิวนิสต์หรือเป็นพวกของคอมมิวนิสต์ ซึ่งแท้จริงแล้วซ้ายของเผด็จการ (ซ้ายของขวา) และซ้ายของประชาธิปไตย (ซ้ายของกลาง) นั้นเป็นคนละเรื่องกับคอมมิวนิสต์ และขบวนการสังคมนิยมในปัจจุบันซึ่งเป็นซ้ายในขบวนการประชาธิปไตย (เพราะมีแนวสังคมนิยมทางเศรษฐกิจ) ถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นต้น

แต่ตามความจริงของคนเหล่านี้แตกต่างจากคอมมิวนิสต์จนถึงรากเหง้า เช่น ชาวพรรคสังคมนิยมซึ่งเข้าไปอยู่กับชาวพรรคคอมมิวนิสต์ในป่าออกมาสารภาพว่ามีความแตกต่างทางความคิดอย่างแท้จริง

ฉะนั้น เมื่อแบ่งเป็นขวา กลาง ซ้าย ในขบวนการของชาติทั้งขบวนการแล้ว ซ้ายหมายถึงขบวนการคอมมิวนิสต์เท่านั้น ขบวนการสร้างนิยมอยู่ในขบวนการประชาธิปไตย และขบวนการสังคมนิยมบางขบวนการอาจอยู่ในขบวนการเผด็จการก็ได้ และเพราะขบวนการสังคมนิยมนั้นมีทั้งปฏิกิริยาและก้าวหน้า

ในที่นี้พูดถึงฝ่ายขวาในขบวนการของชาติทั้งขบวนการ ฉะนั้นจึงหมายความถึงขบวนการเผด็จการซึ่งส่วนสำคัญในปัจจุบันแบ่งออกเป็นฝ่ายที่นิยมระบอบเผด็จการรัฐสภา

ขบวนการเผด็จการที่นิยมระบอบเผด็จการรัฐประหาร คือ ขบวนการเผด็จการฝ่ายทหารเป็นส่วนสำคัญ ขบวนการเผด็จการที่นิยมระบอบเผด็จการรัฐสภา คือขบวนการเผด็จการที่เป็นพรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นสำคัญ

นี่เป็นขบวนการเผด็จการในปัจจุบันแต่เมื่อกล่าวในด้านที่เกี่ยวพันกับปัญหาความมั่นคงของชาติ เพื่อให้เข้าใจชัดเจนจำเป็นต้องย้อนไปกล่าวถึงขบวนการเผด็จการในอดีตบ้าง

ขบวนการเผด็จการในอดีตก่อน 24 มิถุนายน 2475 นั้นกุมอำนาจอธิปไตยภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นระบอบ 'สมบูรณาญาสิทธิราชย์' (Absolute Monarchy) ต่างกับขบวนการประชาธิปไตยในปัจจุบัน ซึ่งกุมอำนาจอธิปไตยภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นระบอบ 'ปริมิตาญาสิทธิราชย์' (Limited Monarchy) หรือระบอบ 'พระมหากษัตริย์รัฐธรรมนูญ'(Constitutional Monarchy)

ขบวนการเผด็จการในอดีต ซึ่งรักษาระบอบเผด็จการภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ในประวัติศาสตร์อันยาวนานเป็นขบวนการที่ส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นขบวนการเผด็จการที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน สถาบันของชาติจึงมีความมั่นคงโดยตลอด

จึงเห็นได้ว่าตั้งแต่ก่อนยุคสุโขทัยลงมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งยุครัตนโกสินทร์ ขบวนการเผด็จการเป็นขบวนการที่ส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด

ครั้นมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์ทางสังคมของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป ขบวนการเผด็จการกลายเป็นขบวนการที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน และเกิดขบวนการที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนขึ้นแทนนั่นคือ 'ขบวนการประชาธิปไตย'

การที่ขบวนการเผด็จการไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนนั้น ย่อมส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่สอดคล้องกับความต้องการประเทศชาติและประชาชนไปด้วย และการที่ขบวนการประชาธิปไตยจะส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงนั้นไม่สามารถจะทำได้ด้วยการส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์

แต่จะทำได้ด้วยวิธีการเดียวคือเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ (สถาบันพระมหากษัตริย์รัฐธรรมนูญ) และส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์นั้น

ฉะนั้นในยุคสมัยที่สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป โดยทางที่ทำให้ขบวนการเผด็จการไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนแล้วนั้น การที่ขบวนการประชาธิปไตยต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ จึงเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์

แต่ขบวนการเผด็จการเห็นว่า นั่นเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาต้องการจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้ต่อไป โดยเข้าใจผิดว่า นั่นคือการรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเขามองไม่เห็นว่าขบวนการเผด็จการ และสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนต่อไปแล้ว

พระมหากษัตริย์ไทยทรงมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมจึงทรงปฏิเสธขบวนการเผด็จการ และทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตยตั้งแต่สภาวการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นต้นมา ดังเช่นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำขบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยอันไพศาล ทำการปฏิรูปประชาธิปไตย (Democratic refrom) อย่างมโหฬาร ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตย (Democratic revolution) ในขั้นตอนสุดท้าย

ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นซึ่งพระราชประสงค์ส่วนหนึ่งก็คือ จะเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์นั่นเอง และนั่นคือวิธีการรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง

รัชกาลที่ 6 ทรงทำการปฏิรูปประชาธิปไตยต่อไป ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตยในที่สุดเช่นกัน และด้วยเหตุนี้เมื่อคณะ ร.ศ.130 ดำเนินการเพื่อปฏิวัติประชาธิปไตยจึงไม่ทรงเอาโทษในข้อหาว่าคิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย แต่เอาโทษเฉพาะในข้อหาว่า จะประทุษร้ายองค์พระประมุขเท่านั้น และเอาโทษสถานเบาเมื่อเปรียบเทียบกับข้อหาอันเป็นอันอุกฉกรรจ์ยิ่ง ซึ่งตามปกติต้องตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรทีเดียว

รัชกาลที่ 7 ทรงทำการปฏิวัติประชาธิปไตยด้วยพระองค์เอง โดยทรงช่วยเหลือสนับสนุนคณะราษฎรอย่างเต็มที่ และเมื่อคณะราษฎรจะเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการก็ทรงคัดค้านเต็มที่เช่นกันเมื่อคัดค้านไม่ไหวก็ทรงสละราชสมบัติและทรงฝากหัวใจของระบอบประชาธิปไตยไว้กับประชาชนว่า 'ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ผู้ใด คณะใด เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร์' ซึ่งจารึกอยู่ ณ ฐานพระราชอนุสาวรีย์หน้ารัฐสภา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน มีพระราชดำรัสในท่ามกลางกระแสเรียกร้องรัฐธรรมนูญอันไหลเชี่ยวในกรณี 14 ตุลาคม แก่รัฐมนตรีชุดนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อวันเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่วันที่ 16 ตุลาคม 2516 ว่า 'ต้องทำหน้าที่เพื่อบรรลุตามจุดประสงค์ให้สภาพการปกครองเข้าสู่สภาพปกติ ให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสภาพของประเทศ พระมหากษัตริย์ไทยทรงดำเนินการเพื่อประชาธิปไตยอันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตลอดมาจนถึงระบอบเผด็จการในปัจจุบัน'

พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตอบคณะเจ้านายและขุนนางตอนหนึ่งว่า 'เราขอให้ท่านทั้งปวงเข้าใจว่า เราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งต้องบีบคั้นให้หันลงมาทางกลางเหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินในยุโรป ซึ่งมีมาในพงศาวดาร และเพราะความเห็นความรู้ซึ่งเราได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินมาถึง 18 ปี ได้พบเห็น และได้เคยทุกข์ร้อนในการหนักการแรง การเผด็จการ ร้อนของบ้านเมือง ซึ่งมีอำนาจจะมากดขี่ประการใดทั้งได้ยินข่าวคราวจากเมืองอื่นๆ ซึ่งมีเนืองๆ มิได้ขาด แลการซึ่งเราได้ขวนขวายตะเกียกตะกายอยู่ในการที่เปลี่ยนแปลงมาแต่ก่อนจะมีเหตุบ่อยๆ ซึ่งเป็นพยานของเราที่จะยกขึ้นชี้ได้ว่า เราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเหมือนอย่างคางคกตกอยู่ในกะลาครอบที่จะพึงทรมานให้สิ้นทิฏฐิถือว่าตัวโตนั้นด้วยอย่างหนึ่งอย่างใดเลย'

และพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสนอต่อรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรตอนหนึ่งว่า 'ข้าพเจ้าเองได้เล็งเห็นอยู่นานแล้วว่า เมื่อประเทศสยามได้มีการศึกษาเจริญขึ้นมากแล้วประชาชนคงจะประสงค์ที่จะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองของบ้านเมืองเป็นแบบนี้ และตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รับสืบราชสมบัติจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ข้าพเจ้าก็ได้คิดการที่จะบันดาลให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้ และได้กล่าวถึงความประสงค์นั้นโดยเปิดเผยหลายครั้งหลายหน โดยเหตุนี้เมื่อคณะผู้ก่อการฯ ร้องขอให้ข้าพเจ้าเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าจึงรับรองได้ทันทีโดยไม่มีข้อข้องใจอย่างใดเลย'

ข้อเท็จจริงซึ่งยกมาเพียงเล็กน้อยนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนไป พระมหากษัตริย์ไทยมิได้อยู่ในขบวนการเผด็จการ แต่ทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นขบวนการที่มีความเห็นว่า ในสภาวการณ์เช่นนี้สถาบันพระมหากษัตริย์จะมีความมั่นคงได้ ต้องเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ และประเทศชาติต้องมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ขบวนการเผด็จการในอดีตสมัยเท่านั้นสอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงไป แม้ขบวนการเผด็จการนั้นก็ไม่สอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ ซึ่งจะสอดคล้องก็แต่กับขบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น ใช่ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์จะสอดคล้องกับขบวนการเผด็จการก็หาไม่

ในปัจจุบันประเทศไทยครอบงำอยู่ด้วยขบวนการเผด็จการซึ่งยังคงรักษาระบอบเผด็จการไว้ เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา ระบอบเผด็จการรัฐประหารบ้าง จึงไม่สอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์

ดังนั้นขบวนการเผด็จการในปัจจุบันจึงเป็น 'ยาพิษ' แก่ราชการบัลลังก์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ เช่นเดียวกับขบวนการเผด็จการก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นยาพิษแก่ราชบังลังก์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมือนกัน
---------------------------------------------

 

บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 17-05-2008, 13:14 »

สถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์

ถ้าให้ผมแปลแบบชาวบ้าน ๆ พ่อใหญ่จิ๋วบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่

ทำนองอธิบาย ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติย์ทรงเป็นองค์พระประมุข

หรืออีกนัยหนึ่งคือ พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของสังคม และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับระบอบรัฐสภา

นั่นคือ ข้อความในมาตรา 1-3  ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั่นแหละครับ

ย่อมแตกต่างจาก ระบอบสาธารณรัฐ หรือ ระบอบ ประธานาธิบดี

อ่านหมวด 1 หมวด 2 ในรัฐธรรมนูญ ก็จะเห็นความแตกต่างจาก ระบบสมบูรณาญาสิทธิราช และแบบประธานาธิบดีชัดเจน
บันทึกการเข้า

กะโหลกหนา
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 17-05-2008, 14:12 »

ปริมิตาญาสิทธิราชย์' (Limited Monarchy)

เพิ่งเห็นศัพท์ภาษาอังกฤษ  -------------  ท่านแปลตรงตัวเลยว่า  ปริมิต --  จำกัด  +อาญาสิทธิ์+ราชา
ตั้งแต่ ร.๕  ตามที่ ท่าน เขียน ก็คือ ได้ทรงจำกัดอำนาจกษัตริย์ ด้วยการ ....อย่างที่  คุณแคน  แปล ก็ได้

ทำนองอธิบาย ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติย์ทรงเป็นองค์พระประมุข

หรืออีกนัยหนึ่งคือ พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของสังคม และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับระบอบรัฐสภา

สรุป คือ พระมหากษัตริย์ ไทย เป็น ปชต  มานานแล้ว

แต่ คนสี่กลุ่ม  กับ ทุนสามานย์  กลับมีแนวคิดเป็น เผด็จการ ไม่ว่าจะเผด็จการทหารหรือ เผด็จการรัฐสภา


บันทึกการเข้า
กะโหลกหนา
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: 17-05-2008, 14:30 »

ขอต่อความคิด

เชื่อว่า  พวกอยากเป็น  เผด็จการ  สำหรับ แม้ว ก็ มองได้ ทางเดียว คือ

หนีคดี ความต่าง ๆ  ถ้า ปชช  ยอมให้ พวกมัน เป็น เผด็จการ แล้ว  ปชช  คนไทย  จะกลายเป็น ทาส

แบบ  ทาสในเรือนเบี้ยเลย

ดังนั้น  พวกที่คิด  ล้มเจ้านี่ ไม่มีอะไร  นอกจาก  อยากเป็น เจ้า เสียเอง

ส่วนพวกล้มปืน อาจจะเป็น พวกทุน   พวกล้มทุน  ก็อาจเป็น พวก  ปืน
ล้มกันเอง  (อันนี้ คิด ตลก ขำขำ )

แต่เชื่อไอ้พวกนี้ ไม่มีพวกไหนหรอก ที่เป็น  ปชต  ในที่สุด  ก็อยากมีอำนาจ เผด็จการ ทั้งนั้น
จึงเป็นเพียง  คำพูด ย้อมสี สร้างราคา ให้ตัวเอง ทั้งนั้น
คนพวกนี้  ก็คือพวก  หลงลาภ ยศฐา  บรรดาศักดิ์

ส่วนพวกเป็น นักวิชาการ  ก็พูดแบบไม่ต้องคิด สักแต่เรียน ทฤษฎี แต่ไม่ เข้าไปอยู่ในใจ จนเกิด ปัญญา
นักศึกษา ที่ไปเรียนด้วย ยังอ่อนต่อโลก  อาจถูกชักจูงไปได้ง่าย ๆ


บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 17-05-2008, 17:15 »

ปล่อยไปเดี๋ยวพวกนี้ก็ทะเลาะกันเองอยู่ดี

ถ้าเป็นทักษิณ ครองอำนาจ คงจะเป็นเผด็จการสุดๆ ยากที่ใครจะต้านได้

มาถึงตรงนี้ ยังไม่เห็นใครในกลุ่มนั้น กล้าทักท้วงทักษิณ มันก็หงอ ทักษิณอยู่ดี

คนไทยชอบทะเลาะอยู่แล้ว พอเปลี่ยนไปก็หาเรื่องทะเลาะกันแย่งอำนาจกันอีก...ไม่จบสิ้น
บันทึกการเข้า

กะโหลกหนา
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: 17-05-2008, 17:49 »

มีเผด็จการสุด ๆๆ  อยู่คนหนึ่ง  ที่เกือบครองโลกได้

ฮิตเลอร์ ไง  แม้โลกทั้งใบ จะเข้าสู่ทุกข์เข็ญ  แต่ เผด็จการ  ก็สิ้นชื่อ

เมืองไทย  อาจต้องเข้าสู่ สภาวะการ ต่อต้านเผด็จการ อย่างสุด ๆ  ก็ได้

ถ้าเลือกตั้งกี่ครั้ง ๆ   ก็ได้  แบบ รบ  ลุกกรอก  ชคม    คนไทย คงรับไม่ไหว

มีข่าวจาก นสพ ---------  (แต่กลับไปหาไม่เจอแล้ว)  ว่า  มีการส่งคนไปปลุกระดมตาม รง.
แต่ไม่เห็นมี ข่าว ในเวป  เลย  ก็ รออยุ่ว่า จะมีเอามาตั้งกระทู้  จริงเท็จแค่ไหน

บันทึกการเข้า
จิ๋ว เอ๋ย
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: 21-05-2008, 20:57 »

จิ๋ว .... เอากับเค้าด้วยเหรอ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: