รายงาน-"เลี่ยงบาลี"-แก้ไขรธน.
ข้อสรุป...ของหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล6 พรรค ที่ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นเรื่องของ "สภา" ไม่เกี่ยวกับ "รัฐบาล" นั้น
เป็น"การเลี่ยงบาลี เพื่อปัดให้พ้นตัว"
เพราะการให้สภาเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ไม่ต่างหรือเท่ากับ "รัฐบาล" เป็นผู้เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเอง
เนื่องจากเสียงข้างมากที่ยึดครองสภาอยู่ในขณะนี้ก็คือ เสียง ส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาล 6 พรรคนั่นเอง
โดยมี2 วิธีการ
วิธีแรกคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ล่ารายชื่อ ส.ส.ซีกรัฐบาลและ ส.ว.เพื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ
วิธีที่สองใช้ร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 (คปพร.) ที่มีประชาชนเข้าชื่อ 1.5 หมื่นคน ซึ่งมีการยื่นไว้ต่อรัฐสภา
คปพร.ก็ไม่ใช่ใครอื่นเพราะเป็นคนของเครือข่ายแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) และกลุ่มคนรักทักษิณ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามคาดว่าน่าจะใช้วิธี ส.ส. ส.ว.เข้าชื่อเสนอญัตติมากกว่า ซึ่งตอนนี้วิปรัฐบาลก็เริ่มเดินหน้าแล้ว
เพราะหากใช้ร่างของคปพร.ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบรายชื่อประชาชนนาน ไม่ทันใจรัฐบาล
แต่ "ธง" ก็ยังเหมือนเดิมคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง คือการแก้ไขมาตรา 237 และมาตรา 309
โดย"มิได้นำพา" กับกระแสเรียกร้องจากสังคมทุกภาคส่วนรวมทั้งนักวิชาการและแพทย์อาวุโส ที่ว่าหากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องมี สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.3 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มิใช่ใช้แค่เสียงข้างมากในสภาที่มีแต่ฝ่ายการเมืองลากไปเท่านั้น
และหากมองไปถึงการวางตัวของ"พรรคพลังประชาชน "ที่ให้ นายชัยชิดชอบ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรก็จะทำให้เห็นชัดถึง "ธง" ที่ต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จโดยเร็วโดยไม่ต้องมี ส.ส.ร.3
เพราะกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้นจนจบคือ ตั้งแต่การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่รัฐสภา การนัดประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาวาระแรก วาระสอง วาระสาม ไปจนถึงกระบวนการก่อนนำร่างฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในแต่ละขั้นตอนก็คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะเป็น "ประธานรัฐสภา" โดยตำแหน่งนั่นเอง
ที่ผ่านมานายชัย ซึ่งเป็น "ประธานวิปรัฐบาล" ได้แสดงท่าทีสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีการยกร่างฯ โดยวิปรัฐบาล อย่างเต็มที่ชนิดสุดลิ่มทิ่มประตู
ดังนั้นหากมีนายชัย นั่งในตำแหน่งประธานสภา เชื่อขนมกินได้เลยว่า วาระต่างๆ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ได้รับญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ การบรรจุเป็นระเบียบวาระ การนัดหมายประชุมรัฐสภาให้ ส.ส.และ ส.ว.มาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาทั้ง 3 วาระ จะสะดวกราบรื่น ไม่มีสะดุดในทุกขั้นตอน
หันมาดูทาง"พรรคประชาธิปัตย์" เกี่ยวกับจุดยืนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ต้องบอกว่า น่าผิดหวัง
เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่มีมติออกมาให้ชัดเจน ว่าจะเอาอย่างไร
และเมื่อผลหารือของหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล6 พรรค ออกมาว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา
พรรคประชาธิปัตย์ก็ชะลอการประชุมกำหนดท่าทีเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปทันที โดยให้เหตุผลว่า เมื่อหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้มีมติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทางฝ่ายค้านก็ไม่มีเหตุที่ต้องประชุมกำหนดท่าทีเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นกัน
ซึ่งเป็นการชิงไหวชิงพริบทางการเมืองจนมากเกินงาม
ทั้งที่น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าการโยนเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญของหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลให้แก่สภา ผลก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลเป็นผู้เสนอแก้ไขเอง เพราะรัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภาอยู่แล้ว
อีกทั้งตอนนี้กระแสเรียกร้องของสังคมที่ให้มีส.ส.ร.3 ก็ดังเซ็งแซ่อยู่แล้ว
หากพรรคประชาธิปัตย์มีมติว่า พร้อมเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อให้มี ส.ส.ร.3 เชื่อได้เลยว่าจะได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว.อีกจำนวนไม่น้อย ในการร่วมลงชื่อเสนอญัตติด้วย
เพราะการเสนอญัตติให้มีการแก้ไขมาตรา291 เพื่อให้มี ส.ส.ร.3 เป็นวิธีหนึ่งที่พอจะหยุดยั้ง มิให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านสภาฉลุย
เนื่องจากเมื่อญัตติแก้ไขมาตรา291 เข้าไปสู่การพิจารณาของรัฐสภา จะเกิดกระแสเรียกร้องจากสังคมช่วยหนุนส่งให้มี ส.ส.ร. 3 ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ที่จะยกมือเป็น "ฝักถั่ว" ผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
อีกทั้งยังเป็นทางเลือกให้แก่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยหากต้องการเอาใจออกห่างจากพรรคพลังประชาชน โดยยกมือสนับสนุนญัตติให้มี ส.ส.ร. 3 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
กรณีนี้จะต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการรอเพียงยกมือไม่เห็นด้วยในสภาแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเท่ากับไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะมีแต่ "แพ้" กับ "แพ้" เนื่องจากเสียงในสภาสู้กันไม่ได้
ที่สำคัญ..การมีส.ส.ร.3 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นหนทางเดียวที่พอมองเห็นในขณะนี้ว่า จะช่วยดับวิกฤติการเมือง ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
http://www.komchadluek.net/2008/05/14/x_pol_k001_202016.php?news_id=202016