ดำเนินคดีอาญา"เสรี" หมิ่นกษัตริย์

ดำเนินคดีอาญา"เสรี" หมิ่นกษัตริย์ นายกฯเซ็นเพิ่มข้อหา

หลักฐานมัดแน่น ในที่ประชุมบช.ก. สั่งสอบวินัยเพิ่ม เข้าข่าย"มิบังควร"

นายกฯสั่งตำรวจพิจารณาดำเนินคดีอาญา เสรีพิศุทธ์ คดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ หลังกก.สอบวินัยร้ายแรงพบหลักฐาน เสรีพิศุทธ์ แสดงความคิดเห็นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมิบังควร ในการให้โอวาทตำรวจที่กองบัญชาการสอบสวนกลาง มีบันทึกหลักฐานทั้งภาพนิ่ง-ภาพเคลื่อนไหว ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินคดีตามมาตรา 112 ข้อหาหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังให้สอบวินัยร้ายแรงเพิ่มเติมกรณีไม่ไปถวายอารักขาวันที่ในหลวงเสด็จออกจากร.พ.ศิริราช ไม่ไปร่วมพิธีสวนสนามราชวัลลภ แต่ไปเปิดสถานบริการนวดเพื่อสุขภาพแทน ไม่ไปร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ที่ตึกสันติไมตรี และพูดจาบางประการในห้องทำงานขณะดูโทรทัศน์

เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งให้ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร. เพิ่มเติมอีก ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ได้สั่งการคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 34/2551 ให้แจ้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้พิจารณาดำเนินคดีกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี"

ในหนังสือคำสั่งดังกล่าวระบุว่า ตามที่คณะกรรม การสอบสวนวินัยร้ายแรงชุดของนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ทำการสอบสวนกรณีที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเรื่องการเช่ารถยนต์รถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมูลค่า 9.8 พันล้านบาท, การใช้ถ้อยคำมิบังควรในหนังสือราชการ (ควายหรือเปล่า), และการแต่งตั้งโยกย้ายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งเมื่อวันที่ 29 ก.พ.2551 ซึ่งในท้ายคำสั่งระบุว่า ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า กรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงในเรื่องอื่น นอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งนี้หรือกรณีการสอบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการตำรวจผู้อื่น และคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาเบื้องต้นแล้วเห็นว่า ข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนร่วมกระทำการในเรื่องที่สอบสวนนั้นอยู่ด้วยให้ประธานกรรมการรายงานมาโดยเร็ว

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 34/2551 สอบสวนแล้วระยะหนึ่งพบว่า ในอดีตที่ผ่านมาพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์มีการกระทำที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เหมาะสม และมิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หลายเรื่อง ซึ่งพยานผู้กล่าวหาได้กล่าวอ้างไว้ อาทิ การที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ซึ่งมีตำแหน่งผบ.ตร. มีหน้าที่อารักขาความปลอดภัยแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่กลับเพิกเฉยต่อภารกิจ โดยตลอดเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร และประทับรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค.2550 ถึง 7 พ.ย.2550 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้เดินทางไปร.พ.ศิริราชแค่เพียงครั้งเดียว และวันที่เสด็จ พระ ราชดำเนินกลับ มีข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนเฝ้าฯ ส่งเสด็จเป็นจำนวนมาก แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไม่ได้มาร่วมส่งเสด็จ ทั้งๆ ที่ดำรงตำแหน่งผบ.ตร. มีหน้าที่สำคัญในการถวายอารักขาความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2550 พล.ต.อ.เสรี พิศุทธ์ปฏิเสธที่จะร่วมงานพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ เพื่อถวายพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ที่ลานพระราชวังสวนดุสิต ทั้งที่ เลขาธิการพระราชวังได้มีหนังสือแจ้งให้มาปฏิบัติหน้าที่ กอปรกับกองบัญชาการทหารสูงสุดก็มีหนังสือเชิญมาด้วยเช่นกัน แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กลับเลือกไปงานแสดงความยินดีกับนายบุญยงค์ กมลเลิศวรา สมาชิก "กลุ่มเพื่อนเสรี" ที่เปิดสถานบริการนวดเพื่อสุขภาพแห่งใหม่ และร่วมพิธีแต่งงานของบุคคลอื่น

และในวันที่ 3 ธ.ค. 2550 สำนักงานข้าราชการพลเรือน เชิญพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์มาร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงเข้าร่วม แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไม่ไปร่วมพิธีด้วยตนเอง สั่งให้รองผบ.ตร.ไปร่วมงานแทน อ้างว่าติดภารกิจต้องเป็นประธานในพิธี แต่ปรากฏว่าวันเวลาดังกล่าว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไม่ได้เป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อเป็นข้า ราชการที่ดีและพลังแผ่นดินที่จัดขึ้นในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมีหลายครั้งที่คณะกรรมการสอบ สวนวินัยร้ายแรงพบข้อมูลว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์แสดงความคิดเห็นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างไม่สมควร มิบังควร ไม่ว่าจะเป็นช่วงในการให้โอวาทข้าราชการตำรวจจำนวนมากที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2551 โดยมีการบันทึกหลักฐานทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวตลอดจนคำให้การของพยานบุคคล นอกจากนี้เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2549 ยังได้กล่าวถ้อยคำบางประการ ขณะนั่งดูโทรทัศน์เสนอข่าวพระราชดำรัส ต่อหน้าบุคคลอื่น โดยมีพยานให้การยืนยัน เหล่านี้คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงชี้ว่าน่าจะเชื่อมโยงกับการใช้ถ้อยคำ "ควายหรือเปล่า"

ในคำสั่งดังกล่าว นายกรัฐมนตรีสั่งการคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ในข้อกล่าวหาใหม่ทุกกรณีข้างต้น และเฉพาะในกรณีที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวในที่ประชุมบช.ก. เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2551 มีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่าอาจเข้าข่ายการกระทำผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงยังมีรายงานความคืบหน้าการสอบสวนในประเด็นอื่น ดังนี้ 1.กรณีถูกกล่าวหากรณีเช่ารถบรรทุกและรถตู้โดยสาร ซึ่งใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 9.8 พันล้านบาท โดยมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต และเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ 2535 ทำให้ราชการเสียหาย ซึ่งสอบสวนแล้วพบว่าเรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้องที่ต้องทำการสอบสวน รวมทั้งพยานหลักฐานเอกสารต่างๆ จำนวนมาก ปัจจุบันอยู่ระหว่างเร่งรัดการสอบสวน

2.กรณีถูกกล่าวหาใช้ถ้อยคำมิบังควร "ควายหรือเปล่า" ในการขอให้งดแข่งขันกีฬาภายในตร. เนื่องจากเป็นช่วงไว้ทุกข์แด่สมเด็จพระเจ้าเจ้าพี่นางเธอฯ นั้น สอบสวนแล้วพบว่าการแข่งขันกีฬาย่อมมีกองเชียร์ มีพิธีปิด-เปิด และมีงานเลี้ยงแสดงความยินดี รื่นเริง และการสอบสวนยังพบพฤติกรรมของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์หลายอย่างตามที่กล่าวมาตอนต้น ส่อถึงความไม่บังคับและอาจเข้าข่ายความผิดอาญามาตรา 112 จึงเสนอให้ตร.ดำเนินการ

3.กรณีออกคำสั่งแต่งตั้งนายตำรวจระดับพ.ต.อ.ตำแหน่งผกก.ฝ่ายปฏิบัติการที่ 1-10 ในสังกัดบช.ก. โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นเหตุให้ในราชการได้รับความเสียหาย คณะกรรมการสอบสวนแล้วพบว่า ยังมีกรณีที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับรองผบก.-ผบ.หมู่ในบช.อื่นที่เกี่ยวพันกับกรณีอีก

วันเดียวกัน ที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ถนนบรมราชชนนี กทม. นายสิทธิชัย หอมศิริวรรณ ทนายความรับมอบอำนาจจากพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น., พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วยผบ.ตร., พล.ต.ท.ธีรเดช รอดโพธิ์ทอง จเรตำรวจแห่งชาติ (สบ8), บริษัท ข่าวสด จำกัด, นายฐากูร บุนปาน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาน.ส.พ. ข่าวสด, บริษัท มติชน จำกัด และนายสุวพงศ์ จั่นฝังเพชร บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาน.ส.พ.มติชน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร เรียกค่าเสียหายจำนวน 100 ล้านบาท

สืบเนื่องจากกรณีที่จำเลยที่ 1-3 เข้าให้ถ้อยคำกับนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุดในฐานะประธานคณะกรรมสอบสวนวินัยร้ายแรงโจทก์ โดยกล่าวหาว่าโจทก์ไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่อารักขาขณะเสด็จฯ กลับจากโรงพยาบาลศิริราช และไม่เข้าร่วมงานราชวัลลภ ต่อมาจำเลยที่ 4-7 นำมาตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ข่าวสดและมติชน โดยศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีดำหมายเลขที่ 2313/2551 และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 21 ก.ค. เวลา 09.00 น.

นอกจากนี้นายสิทธิชัยยังได้รับมอบอำนาจจากพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพล.ต.ท.วัชรพล ประสานราชกิจ ผู้ช่วยผบ.ตร. และโฆษกตร. บริษัท ข่าวสด จำกัด และนายฐากูร บุนปาน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาน.ส.พ.ข่าวสด เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท กรณีที่จำเลยที่ 1 ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทำนองว่าโจทก์พ้นตำแหน่งผบ.ตร.ตั้งแต่วันที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งปลดออกจากราชการ ทั้งที่จริงแล้วโจทก์ยังเป็นผบ.ตร.จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากยังไม่มีพระบรมราช โองการปลดออกจากตำแหน่ง โดยจำเลยที่ 2-3 นำมาเผยแพร่ในน.ส.พ.ข่าวสด โดยศาลรับคำฟังไว้เป็นคดี ดำหมายเลขที่ 2314/2551 และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์วันที่ 28 ก.ค. เวลา 09.00 น.(จากข่าวสด)