ระหว่าง กาแฟดำ กับ นักวิชาการ น่าจะเชื่อใครมากกว่ากัน
โพสต์โดย :
ตามสั่ง ID # 685678 - โพสต์เมื่อ : 2008-05-12 17:06:26 _ แจ้งลบข้อความ
วันนี้คุณหยุ่น กาแฟดำ เขียนคอลัมน์ถึง อ.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ และ อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ที่เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงสื่อ และองค์กรวิชาชีพสื่อ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้หยุดพฤติกรรมยั่วยุ ปลุกปั่น โฆษณาชวนเชื่อ รวมทั้งเรียกร้องรักษามาตรฐานจรรยาบรรณทางวิชาชีพ ที่ต้องเคร่งครัดต่อหลักการ ความเที่ยงธรรม ไม่ให้กลายเป็นสื่อเป็นพิษ
คุณหยุ่น ก็เลยแสดงความคิดเห็นบ้างว่า
ผมเชื่อว่าคนข่าวอาชีพที่มุ่งมั่นทำหน้าที่ของตนอย่างสุจริตย่อมจะต้องขอบคุณสองอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เพิ่งออก\"จดหมายเปิดผนึก\" เตือนสื่อมวลชนว่ามีส่วนที่ต้องรับผิดชอบที่บ้านเมืองกำลังขัดแย้งทางการเมือง จนอาจจะกลายเป็นความรุนแรงทางการเมือง
เพราะสังคมไทยต้องการสื่อที่รับผิดชอบ และต้องช่วยกันวิพากษ์สื่ออย่างเข้มข้น...ที่สำคัญคือผู้วิพากษ์สื่อหรือที่เขาเรียกว่า media critics ในประเทศอื่นนั้นจะต้องทำอย่างชัดเจน แยกแยะ เป็นธรรม ต่อเนื่อง และไร้อคติเช่นเดียวกับที่คาดหวังจากสื่อด้วย
สื่อไม่มีอภิสิทธิ์เหนือสังคม เช่นเดียวกับที่นักวิชาการหรือคนอาชีพอื่นที่ต้องถูกวิจารณ์ได้ภายใต้จริยธรรมแห่งอาชีพเช่นกัน
เสียดายว่าอาจารย์ทั้งสองท่านไม่ได้ระบุว่าสื่อที่เป็นปัญหาในสายตาท่านนั้นเป็นสื่อไหนและควรจะแก้ไขอย่างไร
อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอาจารย์อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ แห่งคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนามนักวิชาการสันติวิธีทำจดหมาย \"เปิดผนึก\" ถึงผู้ประกอบวิชาชีพและองค์กรของสื่อมวลชนว่า
ขณะนี้มีร่องรอยว่าระบอบประชาธิปไตยของไทยกำลังเคลื่อนเข้าสู่อันตรายจากความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจทรุดลงเป็นความรุนแรง
และปัจจัยหนึ่งที่ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้คือสื่อมวลชน
จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้บอกว่าคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบสื่อที่ไม่รับผิดชอบกำลังส่งผลกร่อนทำลายประชาธิปไตยสังคมไทยใน 3 ทางคือ
1. สร้างความโกรธแค้นเกลียดชัง ปลุกปั่นสถานการณ์เสียเอง
2. โฆษณาชวนเชื่อ เป็นกระบอกเสียงของฝักฝ่ายทางการเมืองอย่างสุดหัวใจ ให้ร้ายใส่ความคู่ต่อสู้ด้วยเล่ห์เพทุบายสารพัด
3. ทั้งหมดนี้ ดำเนินไปขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพและองค์กรของสื่อมวลชนเฉยเมยต่อการละเมิดจรรยาบรรณสองประการข้างต้น หรือทำตัวลู่ตามลม เลือกปฏิบัติปกป้องเฉพาะพวก ลงโทษเฉพาะฝ่าย
สองอาจารย์ท่านสรุปว่าสิ่งที่หายไปในแวดวงสื่อมวลชนไทยที่ทำการทั้ง 3 ประการข้างต้นคือ \"มาตรฐานและจรรยาบรรณทางวิชาชีพ ที่ต้องเคร่งครัดกับหลักการ ความเที่ยงธรรม และความรับผิดชอบที่สูงกว่าประชาชนทั่วไปที่ไม่มีอำนาจสื่ออยู่ในมือ และสูงกว่ากระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายต่าง ๆ...\"
เป็นการแสดงจุดยืนของสองอาจารย์ที่วงการสื่อจะต้องนำมาพิจารณาอย่างรอบด้านและน้อมเคารพในความจริงจังและจริงใจในฐานะนักวิพากษ์สื่อที่ควรจะต้องมีจำนวนและความเข้มข้นมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป
จะเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งหากนักวิชาการที่ทำหน้าที่เป็น media critics จะช่วยกันวิเคราะห์และวิพากษ์สื่อสารมวลชนไทยอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง และนำมาเปรียบกับคนในอาชีพอื่น
เช่นอาชีพของนักวิชาการมหาวิทยาลัยที่ก็มีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกันเช่นที่สื่อมวลชนไทยได้แสดงออก...เพราะนักวิชาการหลายท่านก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็น \"กระบอกเสียงของฝักฝ่ายทางการเมืองอย่างสุดหัวใจ\" เช่นกัน
นักวิชาการจำนวนไม่น้อยก็อาจจะเข้าข่าย \"ทำตัวลู่ตามลม...เลือกปฏิบัติปกป้องเฉพาะพวก ลงโทษเฉพาะฝ่าย\" ได้อีกเหมือนกัน
บางครั้งสื่อมวลชนที่พยายามทำหน้าที่เป็นกระจกส่องความเห็นที่แปลกแยกในสังคมอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อความแตกแยก
แต่บางครั้งสื่อมวลชนที่พยายามรายงานข่าวให้รอบด้านก็อาจจะถูกมองว่า \"ไร้จุดยืน ลู่ตามลม\"
บางครั้งสังคมตั้งคำถามกับสื่อว่าเหตุไฉนจึงไม่ทำหน้าที่ \"พิทักษ์ความถูกต้อง\" และ \"ประณามความชั่วร้าย\"?
บ่อยครั้งเช่นกันที่สื่อถูกถามว่าระหว่างความดีกับความเลวนั้น สื่อที่อาสาทำความจริงให้ปรากฏจะ \"ขอยืนอยู่ตรงกลาง\" ได้กระนั้นหรือ?
และอีกบางครั้งสื่อมวลชนที่แสดงความเห็นโดยมีจุดยืนเด่นเช่นในบางประเด็นก็อาจจะถูกชี้นิ้วว่าเป็น \"เครื่องมือ\" ของกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม
ยามที่สื่อที่รับผิดชอบถูกคุกคามเสรีภาพในการแสดงความเห็น ยามที่สื่อพยายามปกป้องสิทธิของผู้คนในบ้านเมือง (รวมถึงนักวิชาการที่ต้องการแสดงความเห็นอันเป็นอิสระของตน) บ่อยครั้งสื่อก็พบว่านักวิชาการเหล่านั้นก็หลบหลีกที่จะออกมาแสดงจุดยืนของตนเพื่อรักษาเสรีภาพแห่งการแสดงความคิดเห็นเช่นกัน...
นักวิชาการมีสิทธิที่จะบอกว่า \"ผมไม่ขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้\" ในยามที่บ้านเมืองกำลังต้องการความเห็นเพื่อแสวงหาทางออก
แต่คนทำสื่อที่อยู่ในสนามข่าวที่เปรียบเสมือนเป็น \"หน่วยหน้า\" ที่ต้องเผชิญกับข่าวสารมากมายหลากหลายนั้นไม่มีสิทธิที่จะหลบหลีกเข้าถ้ำเพื่อหลบพายุแห่งความขัดแย้ง เพื่อเอาตัวรอด ได้...เพราะนั่นจะเป็นความไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่
แน่นอน ในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือวิชาการหรือการเมือง ก็ล้วนมีผู้ที่สมควรจะถูกตั้งคำถามในเรื่องมาตรฐานแห่งจริยธรรมวิชาชีพ...
สื่อมีหลายประเภท เช่นเดียวกับที่นักวิชาการมาในหลายรูปแบบ...เหตุผลประการหนึ่งคือปรากฏการณ์การเมืองของสังคมที่ทำให้เกิดภาวะที่ผิดปกติในยามนี้
สื่อบางสื่อประกาศ เลือกข้าง อย่างชัดเจน...หากเขาแสดงตนอย่างชัดแจ้งเช่นนั้น ย่อมเป็นความโปร่งใสที่สังคมจะต้องตัดสินเขาด้วยเนื้อหาและสาระแห่งจุดยืนนั้น
สื่อที่มีวาระซ่อนเร้นแต่แฝงตัวอยู่ในคราบของ มืออาชีพ ต่างหากเล่าที่สมควรจะต้องถูกตรวจสอบและซักถามจากสังคม
โดยเฉพาะ สื่อเฉพาะกิจ ที่กลุ่มการเมืองใช้เงินและอิทธิพลของตนก่อตั้งขึ้นมาทำเป็น สื่อเสมือนจริง ทั้งๆที่เป็นเพียงกระบอกเสียงชั่วคราวของกลุ่มผลประโยชน์นั้นๆ เท่านั้นเอง
ท้ายที่สุดแล้ว สังคมจะตัดสินเองว่ารูปแบบการทำสื่อแบบใดเป็นสื่อที่เขาเชื่อถือได้ เพื่อนำไปประกอบวิจารณญาณของตนเอง และสื่อใดที่เขาอ่านเขาฟังเพื่อยืนยันความเชื่อของตัวเอง และสื่อใดที่เขาเสพเพื่อจะคิดแย้งและคัดค้าน
บางสื่อบอกชัดเจนว่าเขายืนอยู่ข้างไหน บางสื่อบอกว่าเขาเสนอเพียงความเห็นของฝ่ายต่างๆ โดยไม่บอกว่าเขาเห็นด้วยกับฝ่ายไหนหรือไม่
ไม่ต่างอะไรกับนักวิชาการที่แบ่งเป็นกลุ่มต่างๆได้ในลักษณะเดียวกัน
ท้ายที่สุดของที่สุดแล้ว สังคมจะตัดสินเองว่าจะเชื่อสื่อใดหรือนักวิชาการใด หรือเห็นว่าใครทำผิดจากมาตรฐานจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
สำคัญอยู่ที่ว่า เราแยกแยะคนเหล่านี้ออกจากคนส่วนใหญ่ในวิชาชีพนั้นหรือไม่
สำคัญว่าเราเอาข้อยกเว้นมาเป็นมาตรฐานหรือไม่?
แต่จะอย่างไรก็ตาม สื่อที่รับผิดชอบก็จะต้องปกปักรักษาเสรีภาพของนักวิชาการในอันที่จะวิพากษ์สื่อเพื่อรอบด้าน เป็นธรรมและต่อเนื่อง
ทำนองเดียวกับที่สื่อก็คาดหวังว่านักวิชาการจะออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องเสรีภาพแห่งความคิดเห็นอย่างเสรีของประชาชน (ซึ่งรวมถึงสื่อด้วย) ทั้งในยามสงบและยามบ้านเมืองสับสนทางความคิดเช่นกัน
เพราะผมเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าสื่อมวลชนผู้รับผิดชอบ และทำหน้าที่ตามกรอบจรรยาบรรณก็สวมวิญญาณแห่ง นักสินติวิถี เช่นกัน
**********************
สิ่งที่ 2 อาจารย์ว่า น่ะไม่จริงหรือครับ
มีคนติงน่ะไม่ดีหรือ หรือจะให้เออออตามกัน
แล้วอย่างนี้ สื่อจะน่าเชื่อถือหรือครับ
โพสต์โดย : tot (บุคคลนิรนาม)
IP : 58.97.35.116
ID # 734316 - โพสต์เมื่อ : 2008-05-12 17:14:01 _ แจ้งลบข้อความ แก้ไข
ไอ้หัวล้านขายชาติ
โพสต์โดย : wikko
ID # 734323 - โพสต์เมื่อ : 2008-05-12 17:18:19 _ แจ้งลบข้อความ
สันติวิถี ห่าไรหยุ่น เองหนะคิดว่าตัวเองเป็น Rain Maker
คิดว่าคนเขาไม่รู้ทันเอ็ง รึหยุ่น?
ระวังนะ หยุ่น เด๋วมีหนังสือ รู้ทันหยุ่น ออกวางตลาดหรอก
จริงอยู่เอ็ง ไม่ถึงกับบ้าเลือด แต่อย่าเหลิงอำนาจ เพราะมันไม่ได้ลึกอย่างที่ เอ็ง ตั้งใจ
โพสต์โดย : wikko
ID # 734325 - โพสต์เมื่อ : 2008-05-12 17:20:05 _ แจ้งลบข้อความ
คน ที่จะย้อน งาบเอ็ง
หนึ่งใน ร้อย ก้อมี ชื่อ *****
โพสต์โดย : reader (บุคคลนิรนาม)
IP : 58.8.109.121
ID # 734386 - โพสต์เมื่อ : 2008-05-12 17:57:24 _ แจ้งลบข้อความ แก้ไข
kun suthichai you do the best in your professional....i wish thai land have more and more people like you.
kun suthichai you love this land....you never cheat people....you report only the facts happen in this world.
kun suthichai go onchun your honest job....before you die you will be proudchu in your honest to this country.
thanks kun suthichai
http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=685678อ่านกระทู้นี้ แล้วน่าจะเข้าใจได้ว่า
บางคนโพสต์กระทู้/คคห. ก็ไม่อ่านเนื้อหาในกระทู้ก่อนแสดงความคิดเห็น....
เห็นชื่อ'กาแฟดำ' ด่าก่อนได้เลย......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า