ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ VS ระบอบสาธารณรัฐ ทัศนะวิจารณ์ ไชยันต์ ไชยพร
5 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 07:00:00
หากพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงเป็นประมุขของรัฐอีกต่อไปในประเทศที่เคยมี ก็หมายความว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองครั้งใหญ่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยการปฏิรูปหรือปฏิวัติรัฐประหาร
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ในโลกปัจจุบัน ระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีสองรูปแบบ นั่นคือ หนึ่ง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (ABSOLUTE MONARCHY) โดยพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชสิทธิและพระราชอำนาจในการเมืองการปกครองโดยสมบูรณ์ ทรงรวมศูนย์อำนาจบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการไว้ที่พระองค์ นั่นหมายความว่า พระองค์เป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นประมุขของรัฐบาลด้วย
สอง ระบอบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (CONSTITUTIONAL MONARCHY) เป็นระบอบที่พระราชสิทธิและพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ถูกกำหนดขอบเขตไว้โดยรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าเป็นประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ ก็มาจากการร่างของประชาชนผ่านตัวแทนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภาและสภาร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนรัฐบาลก็มาจากบุคคลที่ผ่านการเลือกตั้งเช่นกัน โดยนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่เป็นประมุขของรัฐบาล ส่วนตุลาการนั้น ตามหลักการแล้ว มีทั้งสองแบบคือ แบบที่เป็นข้าราชการประจำและแบบที่ผ่านการคัดสรรโดยกลุ่มบุคคลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปัจจุบันเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ได้แก่ บรูไน โอมาน ซาอุดีอาระเบีย และนครวาติกัน ส่วนประเทศอื่นๆ ที่เคยเป็นต่างก็พากันเคลื่อนตัวไปสู่ระบอบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เช่น มอร็อกโก ภูฏาน ส่วนเนปาล อย่างที่ทราบตามข่าวว่า เปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบสาธารณรัฐเลย ในขณะที่ประเทศลิกเตนสไตน์ หลังการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับมีการให้เพิ่มพระราชอำนาจกษัตริย์ของเขาให้มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
หากพระมหากษัตริย์ไม่ได้เป็นประมุขของรัฐอีกต่อไปในสังคมการเมืองไทย ก็หมายความว่า เราได้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ แล้วระบอบสาธารณรัฐที่ว่านี้มันเป็นอย่างไร
อธิบายอย่างง่ายๆ สาธารณรัฐในความเข้าใจปัจจุบัน คือ รัฐหรือประเทศที่ประมุขของรัฐไม่ใช่กษัตริย์ ที่สืบทอดการเป็นประมุขของรัฐทางสายโลหิต สาธารณรัฐ คือ รัฐที่ปวงชนล้วนๆ หรืออย่างน้อยส่วนหนึ่งของปวงชนล้วนๆ มีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครอง เมื่อประมุขของรัฐไม่ได้มาจากกษัตริย์ ประมุขของรัฐที่เป็นสาธารณรัฐจึงมาจากคนธรรมดา ได้มาจากการคัดสรรผ่านการเลือกตั้ง การเลือกตั้งอาจเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม เช่น สภาหรือคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทำหน้าที่เลือกประมุขของรัฐ
ในระบอบสาธารณรัฐ เรียกผู้ดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐว่า ประธานาธิบดี ประเทศต่างๆ ที่เป็นสาธารณรัฐได้กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี ที่ทำหน้าที่ประมุขของรัฐตั้งแต่ 4-6 ปีแล้วแต่ประเทศนั้นๆ บางแห่งกำหนดด้วยว่า จะเป็นได้ไม่เกินกี่สมัย
ความหมายของระบอบสาธารณรัฐ มีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เช่น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1649 สาธารณรัฐมักจะถูกเข้าใจว่าหมายถึง รัฐที่ไม่มีกษัตริย์ หรือรัฐที่อำนาจมาจากประชาชน และมีความหมายไปในทำนองเดียวกันกับคำว่า ประชาธิปไตย และตั้งแต่ปี ค.ศ.1787 นัยของคำว่า สาธารณรัฐ คือ รัฐที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชน และตัวแทนหรือบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ซึ่งตรงกันข้ามกับรัฐที่ปกครองโดยกษัตริย์
ตามข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ ระบอบสาธารณรัฐมีความหมายที่แตกต่างไปจากที่ใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเจ็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยโรมัน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดระบอบสาธารณรัฐ โดยในสมัยนั้น สาธารณรัฐหมายถึง ระบอบการปกครองที่ผสมผสานเอารูปแบบการปกครองสามรูปแบบเข้าด้วยกัน นั่นคือ ระบอบกษัตริย์ ระบอบอภิชน และระบอบประชาธิปไตย โดยมุ่งให้เกิดการประสานการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างอำนาจของกษัตริย์ ชนชั้นสูงและชนชั้นล่าง
เมื่อย้อนกลับไปดูการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบสาธารณรัฐของประเทศต่างๆ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราจะพบว่า สาธารณรัฐส่วนใหญ่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลสามประการ ประการแรกสุด คือ กษัตริย์บางพระองค์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ถูกมองว่าเป็นที่น่ารังเกียจ อย่างเช่น ในกรณีของฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ จีน รัสเซีย ออสเตรีย และเยอรมนี ประการที่สอง อดีตอาณานิคมต้องการประมุขของรัฐที่เป็นคนของตนเอง เช่น ในกรณีของสาธารณรัฐในเครือจักรภพ อันได้แก่ ไอร์แลนด์ ปากีสถานและแอฟริกาใต้ ประการที่สาม คือ อาณานิคมต้องการประกาศอิสรภาพจากเมืองแม่ เช่น สหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ อินโดนีเซีย พม่า และซาอีร์ (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นคองโก)
ล่าสุด ในบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ได้เกิดวิวาทะเกี่ยวกับประเด็นความต้องการเปลี่ยนแปลงจากระบอบกษัตริย์หรือระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (CONSTITUTIONAL MONARCHY) ไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ โดยเสนอว่า ไม่ต้องการมีกษัตริย์หรือตัวแทนกษัตริย์จากอังกฤษเป็นประมุขของรัฐ ต้องการยกเลิกพระราชอำนาจและการอ้างอิงต่อสถาบันกษัตริย์ในการใช้อำนาจอธิปไตยในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การเมืองเป็นของประชาชนชาวออสเตรเลียนโดยสมบูรณ์
ส่วนฝ่ายที่นิยมสถาบันกษัตริย์ในออสเตรเลียมีเหตุผลคัดค้านว่า ระบอบที่เป็นอยู่ของออสเตรเลียมีวิวัฒนาการมานานหลายศตวรรษจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะของการเป็นสาธารณรัฐอยู่แล้ว แต่เป็น สาธารณรัฐกษัตริย์ (MONARCHIC REPUBLIC) และได้สถาปนากลไก ตรวจสอบถ่วงดุลต่างๆ ภายในระบบการเมือง (BUILT-IN CHECKS AND BALANCES) ขึ้นมาแล้ว ซึ่งหากว่าระบบระบอบดังกล่าวยังสามารถทำงานและดำเนินไปได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปเปลี่ยนแปลง
สมมติว่า ประเด็นวิกฤติการเมืองไทยอันสืบเนื่องมาจาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรและพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชนยุติไป แต่ประเด็นที่วิกฤติกว่า คือ ประเด็นที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวไว้ในตอนท้ายสุดของบทสัมภาษณ์การวิเคราะห์การเมืองไทย พ.ศ.2551 ที่ลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2550 แต่ทางมติชนไม่ได้ลงไว้ ซึ่งอาจเป็นเพราะเนื้อที่จำกัด หรือด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบได้ !
http://www.bangkokbiznews.com/2008/05/05/news_254180.php