OREC เส้นทางปีศาจหรือนักบุญโดย ปราโมทย์ วานิชานนท์
นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทยhttp://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act03160551&day=2008-05-16§ionid=0130ความคิดที่จะรวมตัวกันของกลุ่มประเทศผู้ผลิตข้าวในแถบภาคพื้นเอเชียอันได้แก่ เวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน จีน และไทย ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกรวมกันได้ 23 ล้านตันข้าวสาร จากปริมาณการค้าในตลาดโลก 29 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 79 โดยมีการกล่าวขานกันว่าจะเป็น OREC (Organization of Rice Exporting Countries) นั้น
แนวคิดดังกล่าวเกิดจากคำถามในเชิงหาทางออกเมื่อราคาข้าวในตลาดโลกตกต่ำและส่งผลกระทบไปถึงชาวนาที่ต้องประสบกับการขาดทุนจากการปลูกข้าว จนเกิดเป็นภาระของรัฐบาลแต่ละประเทศตลอดมา จึงได้มีการอ้างอิงรูปแบบอย่างของการรวมตัวกันในกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันของโลกที่เรียกว่า OPEC (Organization of Petroleum Exporting Countries)
บทเรียนในอดีตเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา สมัย ดร.อดิศัย โพธารามิก เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการตั้งประเด็นเช่นเดียวกันนี้และทำกันอย่างก้าวหน้าถึงขั้นจัดให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีของประเทศผู้ผลิตข้าวในกรุงเทพมหานคร โดยมีไทย เวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน และจีน
แต่ในที่สุดก็ล้มเหลว
เพราะภายหลังจากการประชุมรัฐมนตรีจากอินเดียได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า อินเดียจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดราคาข้าว ในลักษณะที่เป็น Cartel กล่าวคือ เป็นการรวมกลุ่มเพื่อกำหนดราคาข้าวในตลาดโลก ซึ่งเป็นประเด็นที่เสี่ยงต่อการละเมิดกฎกติกาของโลก ซึ่งสังคมโลกไม่ยอมรับ เพราะจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชากรโลกที่อดอยาก ซึ่งต้องพึ่งพาอาหารจากประเทศผู้ผลิตข้าว และอาจจะเลยเถิดไปถึงภาพพจน์ของประเทศว่าไม่มีมนุษยธรรม
เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ท่านมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงข่าวว่าจะมีการหารือกับรัฐมนตรีพาณิชย์จากอินเดียในประเด็นเรื่อง OREC และนายกรัฐมนตรีไทยก็ออกมาสำทับ พร้อมกับเสนอความคิดไปไกลถึงความร่วมมือกับลาว กัมพูชา เวียดนาม และไทย
แต่ยังไม่ทันสิ้นกระแสเสียงของนายกรัฐมนตรีไทย รัฐมนตรีเวียดนามก็ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อระหว่างประเทศว่า เวียดนามยังไม่มีความก้าวหน้าในการหารือกับไทยในลักษณะที่ทางฝ่ายไทยคาดหวัง
เมื่อไม่มีข่าวตอบรับจากอินเดีย ประกอบกับข่าวปฏิเสธจากเวียดนาม ก็คงประเมินสถานการณ์ได้ว่า OREC โดยนัยที่พูดถึงก็คงเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ล้มเหลวเหมือนเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
ในคราวใดที่สถานการณ์ราคาข้าวตกต่ำ ชาวนาประสบการขาดทุนจากการปลูกข้าว องค์กรระหว่างประเทศดูจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อความพยายามดิ้นรนในการยกระดับราคาข้าวของประเทศผู้ผลิตข้าว
ต่อเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ราคาข้าวในตลาดโลกได้พลิกกลับมามีราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวได้ว่าภายในเวลา 5 เดือน ราคาข้าวขยับขึ้นสูงไปจากเดิมกว่า 1 เท่าตัว โดยนักวิเคราะห์ระหว่างประเทศได้ให้เหตุผลว่าเกิดจากวิกฤตโลกร้อน
เวียดนามเกิดภัยแห้งแล้ง ตามมาด้วยเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดอย่างรุนแรงจนต้องประกาศลดการส่งออกจาก 4.5 ล้านตัน มาเหลือ 3 ล้านตัน และยังชะลอการส่งออกต่อไป
อินเดียก็กำหนดเพดานราคาส่งออกข้าวสูงกว่าราคาตลาด จนงดการส่งออกไปโดยปริยาย
จีนก็ประสบปัญหาภัยหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 50 ปี
สุดท้ายก็มาลงที่เกษตรกรว่าได้ปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชอาหารมาเป็นพืชพลังงานที่ใช้ทดแทนน้ำมัน จนกระทั่งกลายเป็นประเด็นของโลกในเรื่องวิกฤตขาดแคลนอาหารอยู่ในขณะนี้
การรวมกลุ่ม OREC ในสถานการณ์ราคาข้าวที่สูงขึ้นเช่นนี้ จึงหนีไม่พ้นที่จะถูกองค์กรระหว่างประเทศมองว่าประเทศไทยควรมีบทบาทในทางสร้างสรรค์มากกว่านี้ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ข้าวรายใหญ่จากตลาดโลกก็พูดเปรียบเทียบประเทศไทยกับการรวมกลุ่ม OREC ว่า มีลักษณะเป็นมาเฟียลุ่มแม่น้ำโขง เพราะเป็นผู้มีส่วนร่วมกันกับเวียดนามทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้น
ดังนั้น ในสายตาคนทั่วไปย่อมมองว่าเป็นเส้นทางเดินของปีศาจ
การที่องค์กรระหว่างประเทศจะมีมุมมองในบริบทของมนุษยธรรมต่อประชากรโลกที่อดอยากและหิวโหยนั้นเป็นเรื่องถูกต้องและดีงาม ทั้งเป็นการกระตุ้นให้สังคมโลกได้เกิดจิตสำนึกต่อความเอื้ออาทรกับมนุษยชาติมีทางออกของ OREC บนเส้นทางนักบุญคือ ประเทศผู้ผลิตข้าวต้องมาหารือร่วมกันและนำเสนอความเป็นจริงพร้อมทางออกต่อองค์กรระหว่างประเทศว่า ชาวนาของทุกประเทศที่ปลูกข้าวในภาคพื้นเอเชียเป็นประชากรที่ยากจน
ความจริงที่พบมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ การทำนาจะขาดทุนจากต้นทุนที่สูงขึ้น เช่น น้ำมัน ปุ๋ยเคมี สารเคมี การเผชิญกับความเสี่ยงภัยจากธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ฝนแล้ง โรคและแมลงระบาด ความเป็นหนี้ได้พอกพูน จนชาวนาต้องขายที่ดินเปลี่ยนจากทำนาในที่นาของตนเองมาเป็นผู้เช่านา ซึ่งเป็นวิกฤตของชาวนาที่ท้าทายต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน หนี้สินและคุณภาพชีวิตของชาวนา
กลุ่มประเทศ OREC ต้องนำเสนอทางออกด้วยการประกาศต้นทุนมาตรฐานของการผลิตข้าวของชาวนาและผลตอบแทนอย่างเป็นธรรมให้กับชาวนา ซึ่งจะเป็นการกำหนดราคาจากต้นน้ำ เช่นเดียวกับสินค้าอุตสาหกรรมที่กำหนดต้นทุนและกำไรที่เหมาะสมจากโรงงาน แล้วจึงไปสู่ตลาดและผู้บริโภคเป็นจุดสุดท้าย เช่นนี้จึงจะเป็นทางออกเพื่อความอยู่รอดของชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง
ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ ชาวนาต้องอยู่รอดได้ก่อน จึงจะมีคนปลูกข้าวเพื่อเป็นหลักประกันให้กับโลกได้ว่า จะไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนอาหารและความอดอยากของประชากรโลก
สุดท้าย OREC จะต้องเรียกร้องให้ OPEC และประเทศที่ร่ำรวยจากการค้าและการลงทุนในตลาดโลก หันมาร่วมมือกันในนามของความมีมนุษยธรรม เพื่อช่วยเหลือผู้ที่อดอยากและหิวโหย
ทั้งนี้ จะได้เป็นบทพิสูจน์ว่าการค้าเสรีที่ดีนั้น จะต้องมีคุณธรรมกำกับอยู่ด้วย จึงจะสมกับความเป็นศิวิไลซ์ของโลกาภิวัตน์