ขาประจำตอกแม้วฉกคำขวัญภาคประชาชน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2547 10:23 น.
พิภพ ธงไชย ที่ปรึกษาครป.และสุริยะใส กตะศิลา เลขาฯครป.ร่วมกันแถลงคัดค้านนโยบายแจกเงิน2หมื่นล้าน ให้ประชาชนของนายกฯ
ครป. ระบุ SML รวบอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจเอกชน อัด แม้ว ฉกฉวยคำขวัญภาคประชาชนไปหาเสียง แต่กลับบิดเบือนแปลงร่าง เงินผัน ย้อนนายกฯ พูดความจริง ที่ไม่มีใครยอมจ่ายเงินตัวเองในการเลือกตั้ง แต่ใช้ภาษีประชาชนมาซื้อเสียงแทน จี้ กกต. ทำความชัดเจนว่าเป็นการให้สินบนหรือไม่
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย หรือ ครป. แถลงถึงนโยบาย SMLในหัวข้อ รวบอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจเอกชน ว่านโยบาย SML เป็นนโยบายประชานิยมภาคสอง มีลักษณะติดสินบนทางนโยบาย โดยหวังผลคะแนนเสียงในช่วงเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เพราะเป็นการสัญญาว่าจะให้ ซึ่งนอกจากจะหมิ่นเหม่ต่อการขัดกฎหมายเลือกตั้งแล้ว และกระบวนการจัดสรรและบริหารงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จะเปิดช่องให้ผู้รับเหมาหรือบรรดาหัวคะแนนของพรรคการเมืองเข้าไปแสวงหาประโยชน์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่กลุ่มผู้รับเหมาจะถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นและอาจเข้าไปใช้อำนาจชี้นำการบริหารงบประมาณของชาวบ้านได้ นอกจากนี้งบประมาณดังกล่าวเมื่อไม่ถูกจัดสรรผ่านกลไกรัฐราชการหรือองค์กรปกครองส่วนถิ่นแล้วโอกาสที่จะตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณก็ทำได้ยากขึ้น ทำให้เกิดการคอรัปชั่นที่มีลักษณะฟาสต์ฟู๊ด โพลิซี อย่างที่อาจารย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสระบุไว้
เลขาธิการ ครป.กล่าวต่อว่า ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะแก้ไขกฎหมาย แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่นเพื่อตัดลดงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนถิ่นลง และเลื่อนการจัดสรรงบประมาณออกไปในปี 2553 เพราะวิธีการดังกล่าว ยังเป็นการเบียดบังงบประมาณที่รัฐบาลต้องสนับสนุนให้กับอง์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ตาม พรบ.แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ระบุไว้ชัดเจนว่าในปี 2549 รัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 35 % ของงบประมาณประจำปี การขโมยเงินงบประมาณที่องค์กรปกครองส่วนถิ่นควรจะได้เพื่อไปสนับสนุนนโยบายประชานิยมนั้นเท่ากับเป็นการวางยาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ให้เติบโตได้อย่างที่ควรจะเป็น สุดท้ายแล้วรัฐบาลอาจจะหาเหตุยุบหรือควบรวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ในที่สุดอย่างที่เคยพยายามมาก่อนหน้านี้
สนับสนุนนโยบายลดอำนารัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน แต่ไม่เชื่อว่านโยบาย SML จะมีส่วนทำให้ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน เพราะแนวนโยบายที่ใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยไม่มีวินัยทางการเงินและวินัยการคลังและมุ่งกระตุ้นการบริโภคภายใต้นโยบายประชานิยมที่ผ่านมา ทำให้เกิดการบริโภคอย่างเข้มข้น ฟุ่มเฟือยและเกินตัวของชาวบ้าน จนมีหนี้สินเพิ่มมากผิดปกติ ที่สำคัญพบว่าบรรดาธุรกิจเอกชนบางกลุ่มได้ประโยชน์และมีผลประกอบการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภาคประชาชนอ่อนแอและหวังพึ่งการสงเคราะห์จากรัฐเป็นหลัก ซึ่งการดำเนินนโยบาย SML จะยิ่งทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า รวบอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจเอกชน สวนทางกลางนโยบายของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย นายสุริยะใส กล่าว
ด้านนายพิภพ ธงไชย ที่ปรึกษา ครป. กล่าวว่า เป็นนโยบายหาเสียงของพรรคไทยรักไทยที่ต้องขอชื่นชมพรรคไทยรักไทยที่ได้นำคำขวัญของเอ็นจีโอและองค์กรชาวบ้านที่ใช้มาตลอด 25 ปีมาใช้เป็นนโยบาย แต่น่าเสียดายที่นายกฯ กลับนำมาเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปใช้ด้วยวิธีการที่ล้าหลังและหลอกลวง ไม่ต้างจากสมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ในชื่อ นโยบายเงินผัน โดยการส่งเงินในรูปของงบประมาณลงไปในหมู่บ้าน ให้ประชาชนได้ใช้อย่างตามใจชอบ วิธีการนี้ นอกจากจะล้าหลังแล้ว ยังเป็นนโยบายที่เลียนแบบประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินทร์ ในการผันเงินไปสร้างสุเหร่าหรือมัสยิดต่าง ๆ ซึ่งระบบการเมืองของเขาล้าหลังกว่าเราหลายสิบปี
ที่ปรึกษาครป. กล่าวว่า รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ฉกฉวยคำขวัญของเอ็นจีโอและองค์กรชาวบ้านมาบิดเบือนและหลอกลวงว่า ในอีกสี่ปีข้างหน้าจะลดอำนาจรัฐและเพิ่มอำนาจประชาชน นโยบายนี้ขัดแย้งต่อนโยบายของพรรคไทยรักไทยเอง ที่ตลอดสามปีที่ผ่านมา พรรคไทยรักไทยยังไม่มีอะไรที่เป็นการบ่งบอกเลยว่า จะให้ประชาชนเขาไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง มีแต่การเพิ่มอำนาจให้ผู้ว่าซีอีโอ เพิ่มอำนาจให้กำนันผู้ใหญ่บ้าน ในขณะเดียวกัน จะพยายามลดอำนาจและงบประมาณของ อบต. และ อบจ. ลง เมื่อได้มาเป็นรัฐบาลสมัยที่สอง วิธีการเช่นนี้เท่ากับเป็นการทำลายคำขวัญอันดีงามของเอ็นจีโอ
การใช้เงินงบประมาณลงไปในหมู่บ้านโดยตรงอย่างเอสเอ็มแอล ถือว่าเป็นการหลอกลวงทุจริตคอร์รัปชั่นที่นำงบประมาณของแผ่นดินมาใช้ในการหาเสียง ทำให้เราเข้าใจแล้วว่านายกฯ พูดถูก ที่ว่าไม่มีใครที่ยอมจ่ายเงินของตัวเองในการเลือกตั้งถึงสามหมื่นล้านบาท เพราะนายกฯ ได้ปฏิบัติให้ดูแล้วว่า จะไม่ยอมจ่ายเงินสามหมื่นล้านบาทไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือของพรรคไทยรักไทย แต่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินจ่ายแทนไปแล้วสองหมื่นล้านบาท และอาจจะตามมาอีกเป็นหมื่น ๆ ล้านนายพิภพกล่าว
ที่ปรึกษา ครป. ย้ำว่า นายกฯ ทักษิณไม่ได้มีความจริงใจ ในการตจรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่นระดับใหญ่ ๆ เลย ไม่เคยปรากฎการตรวจสอบในรัฐบาลชุดนี้ แม้แต่เรื่องทุจริตตคอร์รัปชั่นที่มีหลักฐานแน่นอนอย่างทุจริตยา รัฐบาลทักษิณก็ดองเรื่องไว้ ทำให้เกิดคำถามว่านายกฯ ทักษิณ อาจไม่ได้เป็นแค่ฟาสต์ฟู๊ดโพลีซีหรือเป็นบุฟเฟคาบิเนตแบบรัฐบาลชาติชาย แต่ประชาชนอาจจะตั้งคำว่ารัฐบาลชุดนี้กำลังกินบ้านกินเมืองหรือเปล่า (Who is eating Thailand?) อันนี้เป็นความสงสัยจากประชาชนทั่วไป เพราะการคอรร์รัปชั่นจากรัฐบาลชุดนี้เหนือกว่ารัฐบาลชุดเก่าๆ เมื่อเทียบกับรัฐบาลชุดก่อนนี้ต้องถือว่ารัฐบาลชุดนี้อยุ่ในระดับที่กินบ้านกินเมือง
ดังนั้น เราจึงเรียกร้องให้หยุดนโยบายจอมปลอม หยุดนโยบายที่หลอกลวงประชาชน หยุดใช้เงินงบประมาณแผ่นดินลงไปซื้อเสียงเพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้านายพิภพกล่าว
นายพิทยา ว่องกุล ประธานกรรมการเผยแพร่และส่งเสริมงานพัฒนา กล่าวว่า องค์กรภาคเอกชนจะมีการทำวิจัยในโครงการแอสเอ็มแอล โดยการลงไปพบปะประชาชนในพื้นที่ เพื่อนำมาวิเคราะห์และสรุปผลว่านโยบายนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างไร เนื่องจากนโยบายเก่าอย่างกองทุนหมู่บ้านที่ได้ทำวิจัยมาแล้ว พบว่าส่งผลประทบต่อประชาชนเป็นอย่างมาก ทำให้ประชาชนมีหนี้เพิ่มขึ้นสองถึงสามล้านบาทต่อหมู่บ้าน ดังนั้น เงินที่จะลงไปหมุนเวียนเช่นนี้ จะเป็นการสร้างหนี้และเพิ่มภาระให้ประชาชนหรือไม่ เนื่องจากไม่มีวินัยในการใช้จ่าย จะก่อให้เกิดอันตรายอย่างยิ่ง เราจะร่วมมือกับนักวิชาการร่วมกันเก็บข้อมูลในชนบท เพื่อจะนำมาแถลงให้ประชาชนรับทราบในช่วงปลายปี
เวลานี้ชาวบ้านเขากู้เงินธนาคารออมสิน เสร็จแล้วก็กู้ ธกส. มาใช้ จากนั้นก็มายืมเงินจากกองทุนหมู่บ้านไปให้ ธกส. พอเงินกองทุนหมู่บ้านหมด ก็ต้องไปยืมเงินนอกระบบ เมื่อเม็ดเงินในโครงการเอสเอ็มแอลลงไปอีก ก็จะยิ่งทำให้ชาวบ้านไม่มีวินัยในการใช้เงิน เราควรจะเลิกแนวคิดแบบนี้ได้แล้ว เพราะเป็นการทำลายศีลธรรมวัฒนธรดังเดิมของชาวบ้าน ร่วมทั้งทำลายเศรษฐกิจพอเพียงของชาวบ้านนายพิทยากล่าว
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9470000024225มีการพูดถึงเรื่องเหล่านี้มาหลายครั้งแล้วครับ