ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-04-2024, 16:00
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ผลงานแก๊งใอ้เหลี่ยม!!...หลอกรากโง่สุดช้ำกับชีวิตข้าว2551 (ทุนสามานย์ที่ชื่นชอบ) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ผลงานแก๊งใอ้เหลี่ยม!!...หลอกรากโง่สุดช้ำกับชีวิตข้าว2551 (ทุนสามานย์ที่ชื่นชอบ)  (อ่าน 1943 ครั้ง)
Aha555
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 168



« เมื่อ: 01-05-2008, 17:06 »

ชาวนาสะอื้น'ยาฆ่าหญ้า'ขึ้นราคาขวดละเกือบพันบาท บริษัทใหญ่กวาดซื้อเรียบ
 
วันที่ 01 พฤษภาคม 2551 - เวลา 11:08:26 น. 
 

   
ยาฆ่าหญ้าขึ้นราคากันยกใหญ่ หลัง'มอนซานโต้'กว้านซื้อสารไกลโฟเซตลอตใหญ่จากจีน ทำยาฆ่าหญ้าขาดตลาด ราคาพุ่งพรวด 3 เท่าตัว


นายสมพงษ์ จินานนท์ นายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงผลกระทบจากภาวะต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทผู้ค้าสารเคมีการเกษตร "จำเป็น" ต้องปรับราคาจำหน่ายสินค้าให้สอดคล้องกับภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่าง สารกำจัดเชื้อรา มีการปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 70-80% ส่วนสารกำจัดแมลงมีการปรับราคาขึ้นบ้าง แต่อยู่ในเกณฑ์ที่เกษตรกรยอมรับได้

แต่ที่เป็นห่วงที่สุดก็คือ กลุ่มสารเคมีกำจัดวัชพืชประเภท "สารไกลโฟเซต (glyphosate)" ขณะนี้พบว่ามีการปรับราคาเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 120% แล้ว  ... จากเดิมที่ซื้อขายในอัตราเพียง 100 กว่าบาท/ลิตร   ปัจจุบันราคาซื้อขายอยู่ที่อัตราไม่ต่ำกว่าลิตรละ 600-800 บาท/ลิตร

สาเหตุสำคัญที่ทำให้สารเคมีกำจัดวัชพืช (ยาฆ่าหญ้า) ปรับราคาเพิ่มขึ้นก็คือ บริษัทมอนซานโต้ซึ่งเป็นผู้นำตลาดสารเคมีการเกษตรของโลกได้กว้านซื้อสารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทสารไกลโฟเซตลอตใหญ่จากประเทศจีน ทำให้สินค้าขาดตลาดและมีราคาแพงมาก ส่งผลให้ผู้ค้าสารเคมีของไทยต้องหยุดนำเข้าสารไกลโฟเซตนานถึง 3 เดือนจนถึงปัจจุบัน สินค้าสารไกลโฟเซตที่มีจำหน่ายในประเทศเป็นสินค้าลอตเก่าในสต๊อกทั้งหมด หากผู้ค้าสารเคมีนำเข้าสินค้าลอตใหม่คาดว่าเกษตรกรอาจจะต้องควักเงินซื้อยาฆ่าหญ้าในราคาแพงขึ้นกว่าลิตรละ 900 บาทอย่างแน่นอน   

อย่างไรก็ตาม สมาคมแนะนำให้เกษตรกรปรับตัวโดยการหันไปใช้ยาฆ่าหญ้าประเภทสาร paraquat ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันแต่มีราคาต่ำกว่าแทน และนำระบบบริหารจัดการที่เหมาะสมมาใช้ในแปลงเพาะปลูกเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิต เช่น ใช้สารเคมีการเกษตรเท่าที่จำเป็น หรือเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่ต้านทานกับปัญหาวัชพืช เป็นต้น

 
http://matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?id=1000&catid=2


****************************************************

คอยดูหาเสียงคราวหน้า  ...พวกเหรื้ยแก๊งใอ้เหลี่ยม อ้างข้าวยุคใอ้หมักขายได้ราคาแพง ชาวนาร่ำรวย

ก๊าก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (เข้าสู่ยุคทุนสามานย์แก๊งเหรื้ยเหลี่ยม)

หลอกได้แต่รากหญ้ารากโง่เด้อ!!....สิบอกให้ เอิ๊ก เอิ๊ก


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2008, 22:28 โดย Aha555 » บันทึกการเข้า
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #1 เมื่อ: 01-05-2008, 17:15 »

ทำเกษตรอินทรีย์สิครับ เหนื่อยกว่าเดิมอีกหน่อย
แต่ต้นทุนลด ผลผลิตเพิ่ม มีคนพิสูจน์มาแล้ว
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #2 เมื่อ: 01-05-2008, 19:04 »

ทำเกษตรอินทรีย์สิครับ เหนื่อยกว่าเดิมอีกหน่อย
แต่ต้นทุนลด ผลผลิตเพิ่ม มีคนพิสูจน์มาแล้ว


การจะเปลี่ยนไปทำเกษตรอินทรีย์ ต้องมีความมุ่งมั่นพร้อมรับปัญหาในช่วงแรกๆ ครับ
เท่าที่เคยดูข้อมูลเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ มันมีปัญหาคือในช่วง 2 ปีแรกจะยังไม่เห็นผล
และบางทีผลผลิตจะตกต่ำในช่วง 2 ปีแรกอีกด้วย ทำให้มีคนถอดใจกันจำนวนมาก

ในขณะที่การทำเกษตรเคมี ก็ไม่มีการวิเคราะห์ดินทำให้กลายเป็นการใส่ปุ๋ยเคมีส่งเดช
ทั้งสิ้นเปลืองค่าปุ๋ย ทั้งเป็นผลเสียต่อดิน

ในส่วนของการใช้ยาฆ่าแมลงก็ไม่มีการวิเคราะห์ว่ามีแมลงที่ดีอยู่ในพื้นที่ด้วย ก็เลยทำให้
พื้นที่เกษตรของไทยเป็นพื้นที่ประหลาดที่ไม่มีแมลงอะไรอยู่ในพื้นที่เลย

อีกเรื่องหนึ่งคือการบริหารจัดการน้ำซึ่งมีการใช้แบบสิ้นเปลืองมากๆ เพราะไม่เคยมีการ
ประเมินปริมาณน้ำที่จำเป็นต้องใช้กับแปลงเกษตรเพื่อจัดสรรให้พอดี ทำให้มีการขาดน้ำ
ในพื้นที่ปลายน้ำ กลายเป็นความสูญเสียซ้ำซากอยู่ทุกปี
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #3 เมื่อ: 01-05-2008, 19:39 »

เกษตรอินทรีย์ต้องเหนื่อยกว่าเดิมในตอนแรก
เพราะต้องฟื้นฟูสิ่งที่เคยเสียไป ต้องปรับปรุงพฤติกรรมเดิมๆที่เสียนิสัย
ต้องปรับปรุงดิน น้ำ เลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสม การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ฯลฯ

จะว่าไปที่ทุกวันนี้ "จน เจ๊ง เจ็บ" ก็เพราะพึ่งพาเคมีมากเกินไป
รักสบายมากเกินไป ใช้สมองน้อยเกินไป เอาแต่เชื่อพ่อค้า พึ่งพาคนอื่น
เลยไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้หลุดจากวงจรได้
ในเมื่อชาวบ้านยังชอบเรื่องเคมี ชอบเรื่องง่ายๆ
ชอบให้เขาเอาเปรียบอยู่ ถึงรู้ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงละครับ
บันทึกการเข้า
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #4 เมื่อ: 01-05-2008, 20:44 »

พอดีกระทู้ค่าแรงพูดถึงข้าว เลยจะขอต่อเรื่องข้าวในนี้ซักหน่อย

ชาวนาไทยนิสัยเสียมากๆจริงๆ การปลูกปลูกข้าวเชิงเดี่ยว
เสร็จแล้วก็ขายทุกอย่างทั้งข้าวทุกเมล็ด ทั้งฟาง
ข้าวที่ตัวเองปลูกก็ไม่เก็บไว้กิน ต้องไปซื้อข้าวสารจากคนอื่นที่แพงกว่ามากิน
ไม่ได้เก็บเมล็ดพันธุ์ คัดเลือกเมล็ดข้าวที่ดีให้ผลผลิตสูง
ไปซื้อพันธุ์จากคนอื่น ต้องลุ้นว่าปีนั้นๆจะได้ข้าวดีหรือเปล่า
ฟางแทนที่จะทำปุ๋ย ก็ขายหมด
นาแทนที่จะไถกลบก็เผาทิ้ง แมลงและความร่วนซุยของดินก็หายไปด้วย
ปูปลา หนูนา ก็ไม่เหลือ

กลายเป็นว่าต้องซื้อทุกอย่าง ทั้งปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง
ปลุกไปได้ซักพักผลผลิตลดลง ก็ต้องซื้อปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักมาใส่ จ้างรถมาไถ
อัดปุ๋ยเคมี อัดยาเข้าไปมากๆ แล้วก็จนลงๆ

หากรู้จักแก้หันมาใช้ของที่ตัวเองมีให้มากขึ้น
ซื้อให้น้อยลง ทำเกษตร ให้เป็นเกษตรที่กินได้อยู่ได้ซักที
ชาวนาคงลืมตาอ้าปากได้บ้าง
บันทึกการเข้า
Tuba ✿゚✎..✿.。.:。ღ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 660


ทักษิณที่ดี คือทักษิณที่.......ตายแล้ว


« ตอบ #5 เมื่อ: 01-05-2008, 21:27 »

ต้นทุนอาจจะลดในระยะยาว แต่ว่าในช่วงแรกนี่ เหนื่อยหนักเลยครับ

ทำเกษตรอินทรีย์ ต้องแก้ปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งด้วยครับ

คือถ้าพื้นที่รอบ ๆ แปลงของเรา เขายังใช้ยาฆ่าแมงอยู่

ไอ้แมงที่มันรอดมาได้ มันจะไปไหนเสีย ถ้าไม่ใช่วิ่งมาที่แปลงของเรา

เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราเป็นแปลงเดียวที่ทำเกษตรอินทรีย์ เราก็จะต้องหาทางป้องกัน

สุดท้าย เราอาจจะต้องทำนากันในมุ้ง เหมือนปลูกผักในมุ้งแหละครับ

ดังนั้น ถ้าจะทำเกษตรอินทรีย์ จึงควรจะทดลองทำในที่ขนาดใหญ่มาก ๆ

พอที่จะป้องกันผลกระทบจากแมงหนีตายจากที่ข้างเคียงได้ครับ
บันทึกการเข้า

ทหาร เป็นอะไรก็ไม่ได้ดี นอกจากเป็นทหาร

ตำรวจ เป็นอะไรก็ดีไม่ได้ แม้กระทั่งเป็นตำรวจ
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 01-05-2008, 23:57 »

ได้ความรู้เรื่องการเกษตรไปอีกอื้อเลย ขอบคุณมากๆครับ 

ข้าวขึ้นราคา

น้ำตาลขึ้นราคา

ยาฆ่าหญ้าขึ้นราคา

เวรกรรมประเทศไทยที่ไอ้พวกเหลือบไลพวกนี้มาเป็นรัฐบาล
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


oho
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 712


« ตอบ #7 เมื่อ: 02-05-2008, 16:25 »



สบายใจหายห่วง  ... อย่างน้อยพวกรากโง่แก๊งใอ้เหลี่ยมก็แดกหญ้าแทนข้าว
ข้าวยังเหลือให้พวกเรารับประทานอีกแยะ
เอิ๊ก เอิ๊ก!!

 


*  (7.71 KB, 100x100 - ดู 231 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
(ลุง)ถึก สไลเดอร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,026



« ตอบ #8 เมื่อ: 02-05-2008, 16:36 »

ข้าวแพงก็ไม่ต้องแดรก หันไปกินเผือกกินมันแทน สมัยหนึ่งผู้นำHereเคยแนะ
นำให้แดรกก๋วยเตี๋ยวแทนข้าว หมักก็เคยบอกให้แดรกซี่โครงไก่ต้มฟัก.......เอิ้กกกกก

 
บันทึกการเข้า

(ลุง)ถึก สไลเดอร์
Aha555
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 168



« ตอบ #9 เมื่อ: 03-05-2008, 19:32 »

ฝันร้ายของชาวนา / หัวโขน หัวคน
วิทยา ตัณฑสุทธิ์2/5/2551
 
ฝันร้ายของชาวนา
http://www.siamrath.co.th/UIFont/Articledetail.aspx?nid=745&acid=745

                ชาวนาจากสุพรรณบุรีคุยให้ฟังว่า ตอนนี้ขายข้าวนาหว่านน้ำตมได้เกวียนละหมื่นกว่าบาท เป็นราคาสูงสุดที่เคยได้ในชีวิต   แต่ชาวนาก็ยังแบกทุกข์หนักเหมือนเดิม และดูเหมือนจะแย่ยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการลงทุนเพิ่มสูงลิ่ว

                ชาวนาผู้นี้ฝากบอกไปยัง รมต.และผู้รับผิดชอบด้านการเกษตรในภาครัฐให้ทราบว่าอย่าเอาแต่พูดชาวนาไทยรวยแล้วเพราะมันไม่จริง เงินที่ได้จากการขายข้าวช่วงนี้คำนวณแล้วไม่พอกับค่าลงทุน ซึ่งทุกอย่างต้องจ้างแรงงานดังนี้

                1. ค่ารถไถปรับดินพรวนดิน ตบแต่งขอบคันนาเก็บกักน้ำ รวมทั้งค่ารถหว่านเมล็ดพันธุ์ ซึ่งแต่ก่อนใช้แรงคนเดินสาดไปตามท้องนา แต่ตอนนี้ต้องพึ่งรถหว่านเพื่อทุ่นแรงและความรวดเร็วจึงจะทันกิน

                2. ค่าปุ๋ยซึ่งขึ้นราคาทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยไนเตรด ปุ๋ยฟอสเฟต ปุ๋ยโปแตซ ทุกตัวขึ้นราคาเป็นสองเท่า เดิมเคยซื้อกระสอบละ (50 กก.) ราคา 400 บาท ตอนนี้เป็น 800 บาท และบางตัวเดิมซื้อกระสอบละ 500 บาท ขึ้นเป็น 1,000 บาท แถมยังขาดแคลน ชาวนาบางคนก็โชคร้ายเจอปุ๋ยปลอมปน ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร

                3. ค่ายาฆ่าหญ้า ยาปราบศัตรูพืชซึ่งจำเป็นต้องใช้และใช้หลายตัว เนื่องจากยาเหล่านี้มีคุณสมบัติเฉพาะด้าน ต้องซื้อมาปราบศัตรูพืชให้ตรงกับชนิดของมัน มิฉะนั้น จะโดนแมลงทำลายข้าวเสียหาย ก็ขึ้นราคาไปด้วย โดยร้านค้าอ้างว่าค่าขนส่งสูง เนื่องจากน้ำมันแพง

                4. ชาวนาไม่มียุ้งฉางเก็บข้าว เมื่อข้าวในนาแก่จัดต้องจ้างรถมาไถเก็บเกี่ยว แล้วหาที่ผึ่งข้าวไล่ความชื้น ซึ่งมีกว่า 20% ให้เหลือไม่เกิน 14% มิฉะนั้น จะโดนพ่อค้าข้าวกดราคาด้วยข้ออ้าง ข้าวคุณภาพต่ำ ต้องขายในราคาขาดทุน

                5. ชาวนาบางคนพอมีฐานะ ขนข้าวไปขายที่โรงสีเอง แต่ก็โดนโรงสีตั้งเงื่อนไขต่างๆ นานา เช่น ข้าวคุณภาพดีเกรดเอ แต่โรงสีบอกว่าคุณภาพต่ำ และกดราคารับซื้อ โดยไม่ฟังเสียง ชาวนาจำต้องยอมขายเพราะตกอยู่ในสภาพหามผีถึงป่าช้า

                6. สิ่งที่ชาวนาทุกข์หนักที่สุด ก็คือ แม้จะเป็นคนปลูกข้าวแต่ต้องไปซื้อข้าวสารจากร้านค้ามากินในราคาแพงเหมือนชาวบ้านทั่วไป กินไปหัวอกกลัดหนองไป เพราะขายข้าวเปลือกราคาถูก แต่ซื้อข้าวสารราคาแพง

                บทสรุปของชาวนาจากสุพรรณบุรีผู้นี้ ก็คือ ใครจะดีใจที่ข้าวไทยมีมากมายเหลือเฟือ แถมขายได้ราคาสูงเป็นประวัติการณ์ ก็ดีใจไป ชาวนาไม่ดีใจด้วย เพราะคนร่ำรวย ก็คือ พ่อค้าคนกลางกับโรงสี ตลอดจนร้ายขายข้าวสาร พ่อค้าปุ๋ยเคมี พ่อค้าขายยาปราบหญ้าขายยาฆ่าแมลง ซึ่งกอบโกยกำไรกันทั่วหน้า ส่วนชาวนาก็ยากจนต้องตรากตรำทำงานหนักเหมือนเดิม รายได้เพิ่มเท่าไหร่ก็ไล่ไม่ทันค่าลงทุน และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นไม่หยุดยั้ง

                ผมนั่งฟังกระดูกสันหลังของชาติระบายความทุกข์แล้วก็นึกไม่ออกว่าใครจะช่วยชาวนาได้

                ปัญหาของชาวนาไทยมีมากมาย และรัฐบาลทุกชุดตลอดจนกลไกภาครัฐได้ปล่อยปละละเลยจนปัญหาทับถมกองใหญ่เป็นภูเขา แม้แต่เรื่องน้ำซึ่งเปรียบเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของประเทศที่ทำการเกษตร จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถบริหาร-จัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจนถึงขณะนี้ มีพื้นที่อยู่ในระบบชลประทานมีน้ำพอเพียงแก่การเพาะปลูกตลอดปีเพียง 26 ล้านไร่ จากพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด 130 ล้านไร่

                ไม่มีรัฐบาลชุดไหนประกันราคาพืชผลเกษตร (แม้แต่สหรัฐน กับญี่ปุ่น ซึ่งเกษตรกรรวยกว่าคนอาชีพอี่น รัฐบาลของเขาก็ยังประกันราคาและรับซื้อผลิตผลทั้งหมด)

                ยุ้งฉาง (ไซโล) ก็ไม่มี ตลาดกลางในแหล่งผลิตใหญ่ ซึ่งชาวนาและพ่อค้าจะไปซื้อ-ขายข้าวโดยเสนอราคาแข่งกัน และทำให้ชาวนามีอำนาจต่อรองสูงขึ้น ก็ไม่มี

                แย่นะครับชีวิตชาวนาไทย]


****************************************************************

อย่างงี้ต้องให้ทักซวยหัวคินช่วย ช่วย ช่วย ช่วยไปพูดกับนายทุน(พวกเดียว ๆ กัน)
"ทุนสามานย์ดีกว่าศักดินาล้าหลัง"
 นายทุน รวย รวย รวย รวยอย่างเดียว..ช่วยไม่ได้
อิอิ+

 
บันทึกการเข้า
Aha555
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 168



« ตอบ #10 เมื่อ: 06-05-2008, 10:20 »

สภาพัฒน์ตะลึงชาวนา"เหนือ-อีสาน"ขายข้าวเกลี้ยง
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdNekEyTURVMU1RPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBd09DMHdOUzB3Tmc9PQ==

นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า จากราคาข้าวที่สูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรนำข้าวที่มีออกมาขายกันจนหมด  โดยเฉพาะข้าวที่เก็บไว้ในยุ้งฉาง ซึ่งเป็นข้าวที่เกษตรกรรายย่อยจะเก็บไว้เป็นคลังอาหารของตนเอง หรือไว้ใช้เป็นพันธุ์ข้าวต่อไป    

แต่ปรากฏว่าจากการสำรวจข้อมูลล่าสุดของ สศช.พบว่าเกษตรกรรายย่อยในภาคอีสานและภาคเหนือ ต่างนำข้าวในยุ้งฉางของตนเองออกมาเทขายกันจนหมด เพื่อต้องการขายข้าวในราคาแพง แต่กลับไปซื้อข้าวสารในราคาแพงเช่นกัน จึงอยากฝากถึงชาวนาให้ระวังการใช้จ่ายให้มาก


*********************************************
อย่าว่าแต่สภาพัฒน์ตะลึงเลย..
ตูก็งง.. รากหญ้าของแก๊งใอ้เหลี่ยม (ขายข้าวได้10..เอาไปซื้อข้าวสาร 100)
มิน่าละ..แก๊งใอ้เหลี่ยมถึงได้หลอกแล้วหลอกอีก
อิอิ+


*  (45.41 KB, 371x276 - ดู 204 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2008, 10:22 โดย Aha555 » บันทึกการเข้า
Aha555
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 168



« ตอบ #11 เมื่อ: 07-05-2008, 22:20 »

รอแก๊งใอ้เหลี่ยมใอ้เภกสมองแถ แถ แถ อิอิ+
 
บันทึกการเข้า
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 07-05-2008, 22:30 »

มันจะไปแถ อะไรได้ ความผิดจะๆขนาดนี้

ส่งข้อมูลฝ่ายค้านอภิปรายดีกว่าครับ ดูแล้วเรื่องใหญ่มาก

บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


ล้างโคตรทักษิณ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 903



« ตอบ #13 เมื่อ: 08-05-2008, 07:52 »

ไม่เป็นไร แค่หมดตัว ขี้ข้าทักษิณเขาไม่แคร์หรอก

ไม่มีจะกินก็เข้ามาเร่ร่อน รับจ้างโชว์ไข่ที่หนามหลวงก็ได้ หิวก็กินหญ้าเอา บริโภคเป้นประจำอยู่แล้ว ช่ายหมาย
บันทึกการเข้า
phutorn connection
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 263



« ตอบ #14 เมื่อ: 08-05-2008, 09:55 »

สงสารความรู้สึกชาวนามากๆ อุตส่าห์ตั้งความหวังไว้สูง แต่แห้ว สุดท้ายไม่เหลืออะไรเช่นเคย

อย่าต่อว่าหรือดูแคลนชาวนากันเลยค่ะ แค่นี้เค้าก็แย่แล้ว ซวยสองเด้ง พอข้าวหมดมือชาวนาก็คาดว่าจะขึ้นต่ออีกค่ะ

บันทึกการเข้า

หลังจาก วาทะ"บกพร่องโดยสุจริต"ของอาชญากรหนีคดี ประชาชนได้ให้โอกาส แต่ไม่เคยได้ให้อภัยคนคนนี้

หลายคนบอกว่าสิ่งที่ทักษิณทำก็เหมือนนักธุรกิจคนอื่นๆนั่นแหละ ไม่ว่าหนีภาษี ซุกหุ้น ซื้อนักการเมืองเป็นพวก แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นลืมมองคือ ทักษิณมีอำนาจ นอกเหนือจากเงินทองในขณะที่นักธุรกิจคนอื่นไม่มี อำนาจที่สามารถชี้เป็นชี้ตายข้าราชการ อำนาจในการใช้กฏหมาย อำนาจในการตรากฏหมาย แต่สิ่งที่ทักษิณมีเหมือนนักธุรกิจคนอื่น คือ ความโลภ เมื่อความโลภรวมกับอำนาจ และสิ่งที่ทำร้ายทักษิณในปัจจุบันคือ ความโลภนี่เอง
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 08-05-2008, 10:06 »

ไม่เป็นไร แค่หมดตัว ขี้ข้าทักษิณเขาไม่แคร์หรอก

ไม่มีจะกินก็เข้ามาเร่ร่อน รับจ้างโชว์ไข่ที่หนามหลวงก็ได้ หิวก็กินหญ้าเอา บริโภคเป้นประจำอยู่แล้ว ช่ายหมาย


เดี๋ยวก็มาประท้วง ขอเงินพวกผมไปชำระหนี้อีก 
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
paper punch
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 672



« ตอบ #16 เมื่อ: 08-05-2008, 13:07 »

ทำไมทีกระทู้นี้ ไม่เห็นพวกลิ่วล้อมันออกมาช่วยกันระดมความเห็นเลยว่ะ ไหนบอกว่าทำเพื่อชาวรากหญ้าไง
ออกมาช่วยเค้าหน่อยซิว่ะ หรือเก่งแต่ปาก
บันทึกการเข้า

LOVE CHANGES EVERYTHING...
หน้า: [1]
    กระโดดไป: